“เมื่อครู่พี่ใหญ่เฝิงตัวเปื้อนปุ๋ยและดิน ข้าจึงช่วยตักน้ำให้ จากนั้นก็คิดจะยกน้ำชาและของว่างไปให้ แต่เมื่อได้ยินเสียงน้ำมาจากด้านในข้าจึงหลบไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเที่ยงแทน เพิ่งทำเสร็จไปได้ครึ่งเดียว ก็ได้ยินเสียงร้องน่าอนาถของเจาตี้เอ๋อร์ที่กลางเรือน ข้าออกมาดูก็เป็แบบนี้แล้ว”
ทุกคนเห็นเศษแป้งที่แห้งแข็งเล็กน้อยติดอยู่ที่มือนาง จึงไม่มีใครสงสัยในคำพูดของนาง
ท่านป้าหลิวสิ้นไร้หนทาง ทำได้เพียงมองไปทางเฝิงเจี่ยน
“คุณชายเฝิงคือว่า นี่มัน...”
เฝิงเจี่ยนไม่รอให้นางพูดจบ ก็กล่าวเสียงเ็า “ข้ากำลังอาบน้ำ จู่ๆ ก็มีคนมาถูหลังข้า พอหันไปก็เห็นว่าเป็สตรีชั้นต่ำนางนี้ ครั้นออกปากไล่ นางกลับไม่ไป ข้าจึงใส่เสื้อคลุมแล้วถีบนางออกมา”
“อะไรนะ แม่นางดีๆ คนหนึ่งเหตุใดถึงทำเื่เช่นนี้ได้”
“นั่นสิ สกุลหลิวก็มีชื่อเสียงไม่เลว เหตุใดถึงมีหลานสาวเช่นนี้”
“แม่นางคนนี้ดูภายนอกก็ไม่ย่ำแย่อะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็คนเช่นนี้”
คนหมู่บ้านเขาหมีไม่เคยเจอเื่น่ารังเกียจเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้ทุกคนจะพยายามไว้หน้าสกุลหลิวบ้าง แต่ก็ยังอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้อยู่ดี
ท่านลุงหลิวและลูกชายโกรธจนหน้าแดง อับอายจนอยากจะเอาศีรษะกระแทกหินให้ตายๆ ไปเสีย
เจาตี้เอ๋อร์ที่คลานอยู่บนพื้นเดิมยังรู้สึกโชคดี ตอนนี้เห็นว่าทุกคนโจมตีนางแต่เพียงผู้เดียวก็ร้อนรนขึ้นมา
บิดาผีพนันที่บ้านขายทุกอย่างที่พอจะขายได้ในบ้านไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะเป็คราวของนาง มารดาก็ไม่ช่วยอะไร วันๆ เอาแต่พูดว่าลูกสาวสกุลซุนบ้านข้างๆ ไปเป็สาวใช้ที่หอบุปผาได้เงินรางวัลวันละไม่ใช่น้อยๆ ท่าทางเหมือนแทบจะส่งตัวนางไปอยู่รอมร่อแล้ว
เดิมทีนางมาที่บ้านท่านป้าเพราะคิดจะแต่งให้เสี่ยวเตา แต่เสี่ยวเตาไม่แม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ ครั้นนางได้เห็นเฝิงเจี่ยนก็พบว่าเขาไม่เหมือนคนทั่วไป ยามกลางคืนแอบฟังท่านลุงท่านป้าพูดกันว่าเขาน่าจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ยามนี้จึงตัดสินใจเอาตัวเข้าแลก หากสำเร็จก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายนับจากนี้ไป หากไม่สำเร็จก็ยังมีครอบครัวท่านป้าอยู่ เกรงว่าคงจะไม่ถึงชีวิตหรอกกระมัง...
“ฮือๆ ไม่ใช่เช่นนี้สักหน่อย คุณชายเฝิง ท่านจะทำร้ายข้าเช่นนี้ไม่ได้ ท่านบอกเองว่าชอบข้า จะให้ข้าอยู่ข้างกาย ข้าถึงได้ละความอายมาปรนนิบัติท่านอาบน้ำ ฮือๆ ข้าเป็ผู้หญิง หากท่านไม่พูดข้าจะกล้าได้อย่างไร ฮือๆ วันหน้าข้าแต่งให้ใครไม่ได้อีกแล้ว คงมีแต่ต้องตายอย่างเดียว”
ทุกคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เมื่อได้ยินเื่จากปากอีกคนเช่นนี้ก็พากันตกตะลึงมองไปทางเฝิงเจี่ยนรวมถึงเสี่ยวหมี่ด้วย
ถึงแม้ทุกคนในหมู่บ้านจะเป็พรานที่ไม่ค่อยฉลาดนัก แต่พวกเขาก็มองออกว่าแขกสูงศักดิ์ของสกุลลู่ผู้นี้ปฏิบัติต่อเสี่ยวหมี่ต่างออกไป ยามดึกดื่นค่ำคืนก็ยังพูดคุยซุบซิบเื่นี้กันบ่อยๆ
เสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาดมีความสามารถ ต่อให้ไม่ใช่เทพธิดาแห่งโชคลาภ ก็นับว่าเป็หงส์ในฝูงนกป่า พรานหนุ่มในหมู่บ้านนี้ต่อให้ดีแค่ไหนเกรงว่าคงไม่คู่ควรกับนาง ในอนาคตไม่รู้ครอบครัวไหนจะโชคดีได้แต่งนางไป หรือบางทีเมื่อบุตรชายคนที่สามของสกุลลู่สอบราชการได้ตำแหน่งแล้ว ก็อาจให้น้องสาวแต่งกับคุณชายตระกูลขุนนางก็เป็ได้
แต่เฝิงเจี่ยนาแที่ขาหายดีแล้วกลับยังไม่ยอมจากไปเช่นนี้ ต่อให้ทุกคนจะโง่แค่ไหนก็ย่อมมองออก
ยามนี้ ไม่ว่าเจาตี้เอ๋อร์จะละทิ้งศักดิ์ศรีเสนอตนเอง หรือเฝิงเจี่ยนเอ่ยวาจาล่อลวงนาง ล้วนไม่ใช่เื่ดี แล้วเสี่ยวหมี่จะทำเช่นไร...
บิดาลู่กับบุตรชายคนโตสกุลลู่กลับไม่คิดมากเหมือนคนอื่น พวกเขาเพียงไม่อยากให้เสี่ยวหมี่ได้รู้เห็นเื่สกปรกเช่นนี้มากเกินไป
บิดาลู่จึงโบกมือ แสดงท่าทีบอกให้บุตรชายคนโตพาเสี่ยวหมี่กลับเรือนหลัง
เฝิงเจี่ยนเห็นเสี่ยวหมี่หลุบตาลงต่ำ ไม่เห็นว่าสีหน้านางเป็อย่างไรก็ร้อนใจ เขาโกรธเคืองอย่างที่สุด มองเจาตี้ด้วยสายตาเหมือนจะฆ่าฟัน
“ได้ ในเมื่อเ้าพูดว่าข้ารับปากจะรับเ้ามารับใช้ข้างกาย เช่นนั้นก็เขียนสัญญาขายตัวเถอะ”
เขาเพิ่งพูดจบ ทุกคนก็พากันตกตะลึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฝิงเจี่ยนที่เมื่อครู่ยังะเิอารมณ์โกรธอยู่ ยามนี้กลับเปลี่ยนใจเสียแล้ว
เมื่อเคลื่อนสายตากลับไปยังเจาตี้เอ๋อร์ซึ่งสวมเสื้อตัวบางอยู่บนพื้น ก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนัก ทุกคนโดยเฉพาะพวกผู้ชายจึงสบตากันทีหนึ่งเหมือนจะเข้าใจเหตุผลแล้ว
คนตระกูลใหญ่ๆ รับอนุ หากว่าสกุลเดิมของนางมีสถานะอยู่บ้าง ก็คงจะส่งเกี้ยวไปรับตัวแล้วแบกเข้าทางประตูหลัง แต่หากชาติกำเนิดของสตรีนางนั้นต่ำต้อยก็จะเขียนสัญญาเป็สาวใช้ คอยรับใช้ปรนนิบัติในห้อง รอจนตั้งครรภ์หรือมีโอกาสเหมาะๆ ค่อยยกขึ้นเป็อนุ
ครอบครัวเจาตี้เอ๋อร์ต่ำต้อย แน่นอนว่าต้องเริ่มจากการเป็สาวใช้ก่อน
ชัดเจนว่าเจาตี้เอ๋อร์ก็คิดเช่นนี้ นางยิ้มกว้างอย่างปิดไม่อยู่
“ได้ ข้าจะลงนามในสัญญาขายตัว”
แต่ท่านป้าหลิวกลับรู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ นางเอ่ยปากห้ามไว้ก่อน “เจาตี้เอ๋อร์ เื่นี้วันหลังค่อยว่ากัน เ้าต้องปรึกษาบิดามารดาเ้าก่อน...”
“ท่านป้า ต่อให้ยามปกติข้าจะไม่ถูกใจท่านแค่ไหน ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขวางไม่ให้ข้าได้ใช้ชีวิตดีๆ นี่นา วันหน้าหากข้ามีเงิน จะต้องส่งมาให้ท่านมากๆ แน่”
เจาตี้เอ๋อร์กำลังวุ่นวายกับการคลานขึ้นมาจากพื้นจัดผมเผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ จึงไม่ได้สนใจฟังแม้แต่น้อย ท่านป้าหลิวโกรธจนกระทืบเท้า
ส่วนผู้เฒ่าหยางที่หน้าตายิ้มแย้มกลับลงมืออย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปในห้องเพียงครู่เดียวก็ถือกระดาษที่เขียนสัญญาเรียบร้อยแล้วออกมา
เจาตี้เอ๋อร์ลอบมองสีหน้าของเฝิงเจี่ยน นางไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย มารดาของนางเคยพูดไว้ว่า บุรุษนั้นปากอย่างใจอย่าง ต่อให้วันนี้นางจะทำให้เขาไม่พอใจ วันหน้าขอแค่ออดอ้อนสักนิด บีบน้ำตาเสียหน่อย ชื่นชมเขาเชิดชูเขาให้มาก บอกว่าเพราะอยากติดตามอยู่ข้างกายเขาจึงคิดวิธีเช่นนี้ออกมา เื่นี้ก็จะถูกลืมเลือนไปเอง
สิ่งที่รอนางอยู่มีแต่อาภรณ์งดงาม เครื่องประดับมากมาย และชีวิตอันสุขสบาย...
นางตื่นเต้นจนมือไม้สั่น นางไม่กลัวเจ็บกัดนิ้วชี้จนเืออกแล้วประทับรอยนิ้วมือลงไป
ผู้เฒ่าหยางตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีความผิดปกติอะไร เขาก็เก็บสัญญาขายตัวไว้ จากนั้นหันไปถามเฝิงเจี่ยน “คุณชาย สาวใช้นางนี้จะให้จัดการอย่างไรขอรับ”
เฝิงเจี่ยนส่งสายตาเ็ากวาดมองไปยังทุกคนที่ยืนมุงอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ พ่นคำสั่งออกมาช้าๆ
“ข้ารับใช้ล่วงเกินเ้านาย โบยให้ตาย!”
โบย...ให้ตาย
ทุกคนพากันสูดลมหายใจเข้าลึก คิดว่าตนฟังผิดไป ไม่ใช่เพราะลุ่มหลงในรูปลักษณ์ของเจาตี้เอ๋อร์ถึงคิดจะซื้อนางไปเป็อนุหรอกหรือ เหตุใดพริบตาเดียวก็จะตีนางให้ตายเสียแล้ว?
หรือว่าที่ให้ลงนามในสัญญาขายตัวก็เพื่อจะได้ตีเจาตี้เอ๋อร์ให้ตายได้อย่างชอบธรรม...
ทุกคนรู้สึกหนาววาบขึ้นมาจากปลายเท้า พากันถอยกรูด
ยามปกติเห็นว่าคุณชายเฝิงผู้นี้ไม่ค่อยพูด ปฏิบัติกับทุกคนอย่างมีมารยาท จึงลืมไปเสียแล้วว่าผู้สูงศักดิ์จะมีสักกี่คนที่มีเมตตาคบหาได้ง่าย...
เกาเหรินมองอยู่ด้านข้าง เขารู้สึกว่าน่าเบื่อยิ่งนัก ยามนี้เมื่อได้ยินเ้านายออกคำสั่งให้ตีเจาตี้เอ๋อร์ให้ตาย ก็ะโโลดเต้นอย่างร่าเริง เขาหยิบกิ่งไม้ขนาดใหญ่เท่าต้นแขนที่พิงอยู่ข้างกำแพงมายืนอยู่ตรงหน้าเจาตี้เอ๋อร์
อาจเพราะรำคาญที่กิ่งไม้นี้ยาวเกินไป เขาจึงออกแรงเหยียบลงไป
ป๊อก
เสียงไม้หักท่อน โผล่ให้เห็นเนื้อไม้ซีดขาวเหมือนสีหน้าของเจาตี้เอ๋อร์
“อ๊า ช่วยด้วย”
นางใรีบเข้าไปหลบอยู่หลังท่านป้าหลิวะโร้องเสียงดัง ท่านป้าหลิวเองก็ใจนโง่งมไปแล้ว ตอนนี้เมื่อดึงสติกลับมาได้ก็ตั้งใจจะปกป้องเจาตี้เอ๋อร์เต็มที่ ต่อให้หลานสาวนางจะเลวร้ายแค่ไหน แต่จะให้ทนดูนางถูกโบยจนตายก็คงไม่ได้
“คุณชายเฝิง เจาตี้อายุยังน้อย ท่านเป็ผู้ใหญ่ใจเมตตา ปล่อยนางไปเถอะเ้าค่ะ พวกเราไม่ขายตัวแล้ว ไม่ขายแล้ว”
เฝิงเจี่ยนคล้ายว่าไม่ได้ยิน หมุนกายกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนชุด สภาพน่าอนาถในวันนี้เรียกได้ว่าเป็ความอับอาย เป็จุดด่างพร้อยในชีวิตของเขา แล้วยังเกิดขึ้นต่อหน้าสตรีในดวงใจของเขาอีก...
ท่านป้าหลิวยังคิดจะเข้าไปขอร้องต่อ แต่ถูกผู้เฒ่าหยางขวางไว้
“ป้าหลิว ในเมื่อเ้ารู้อยู่แล้วว่าหลานสาวเ้าไม่ดี ก็ควรจะอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดไม่ให้คลาดสายตา หลายวันมานี้ท่านปล่อยให้นางเอาแต่วิ่งโร่มาที่เรือนนี้ทั้งเช้าเย็นได้อย่างไร”
“หา? เป็ไปไม่ได้ เจาตี้เอ๋อร์อยู่แต่ที่บ้านทุกวัน...” ท่านป้าหลิวคิดจะแก้ตัวทันที แต่คนอื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่พลันพูดแทรกขึ้นมา “อย่าว่าแต่มาที่เรือนเสี่ยวหมี่เลย เจาตี้เอ๋อร์ก็ไปที่บ้านข้าเช่นกัน อีกทั้งยังไป่เวลาอาหารทุกที หากมีเนื้อบนโต๊ะ นางก็จะลงมือกินทันที ช่าง...เฮ้อ...”
“นางมาที่บ้านข้าด้วยนะ กินไก่ป่าไปทั้งตัวเลย ทำเอาหู่จื่อของข้าร้องงอแงอยู่ค่อนคืน”
“เช่นนี้ก็เท่ากับว่า นางไปหาข้าวกินมาแล้วทุกบ้านสินะ แม่นางน้อยคนหนึ่งเหตุใดถึงไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าคุณชายเฝิงถึงได้รังเกียจยิ่งนัก ที่แท้เป็เพราะชอบวิ่งมาขอข้าวกินที่เรือนเสี่ยวหมี่นี่เอง”
“นั่นสิ เสี่ยวหมี่มีชื่อเสียงเื่ที่นางมักจะทำอาหารรสเลิศแบบใหม่ๆ ออกมา เจาตี้เอ๋อร์คนนี้จ้องแต่จะกินเนื้อ มาที่เรือนเสี่ยวหมี่บ่อยๆ ก็ไม่น่าแปลกใจ”
ถึงแม้ระยะเวลาสองเดือนมานี้เสี่ยวหมี่จะช่วยให้ทุกคนหาเงินได้เป็กอบเป็กำกว่าเมื่อก่อน ยามปกติก็แบ่งปันเสบียงอาหารให้ทุกคนอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกคนก็ยังไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายเท่าใดนัก
ไม่ง่ายเลยที่จะมีเนื้อขึ้นโต๊ะ ยามปกติพวกผู้ใหญ่ยังไม่กล้ากิน แต่เจาตี้เอ๋อร์ที่เพิ่งมาถึงไม่นานคนนี้ เข้าบ้านคนอื่นอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เห็นเนื้ออยู่บนโต๊ะอาหารก็จับตะเกียบกินทันที พอกินจนอิ่มแล้วก็จากไป ทิ้งให้เด็กๆ เ้าของบ้านร้องไห้งอแง ราวกับว่าเื่พวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างไรอย่างนั้น
พวกผู้หญิงต่างมีความใจแคบอยู่บ้างจึงไม่ค่อยพอใจนัก ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเหยื่อไม่ได้มีแค่ครอบครัวพวกเขา แต่โดนกันทั้งหมู่บ้านจึงอดผสมโรงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
ตอนนี้เองคนสกุลหลิวถึงได้รู้ว่าหลานสาวที่มักจะหายตัวไปเวลาอาหาร ที่แท้แล้วไปแห่งใด พวกเขาอับอายจนอยากจะแย่งไม้จากเกาเหรินแล้วพุ่งเข้าไปตีนางเองเสียเลย
เฝิงเจี่ยนเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดเรียบร้อยออกมา ส่งสายตาเ็าไปที่เกาเหรินทีหนึ่ง “ลงมือ”
“รับทราบ”
เกาเหรินดวงตาแดงก่ำ เขาแลบลิ้นเลียปากแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที
เจาตี้เอ๋อร์ใยกมือขึ้นบังศีรษะทันที เตรียมจะะโร้องแต่ยังไม่ทันส่งเสียงก็รู้สึกเ็ปที่ต้นแขนซ้าย ภาพตรงหน้าดำมืดหงายหลังล้มลงไป
“อา”
เสียงตกอกใดังขึ้นจากผู้คนที่มุงดูอยู่
เกาเหรินเตรียมจะลงมืออีกครั้ง กลับถูกท่านป้าหลิวกอดห้ามไว้
“ไว้ชีวิตด้วยๆ”
นางเองก็ใมากเช่นกัน ทำได้แค่พูดประโยคนี้ คนในหมู่บ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ไม่อาจทนดูเจาตี้เอ๋อร์ตายไปต่อหน้าต่อตาได้ อย่างไรเสียยามปกติก็มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหลิว จึงพากันช่วยห้าม
เกาเหรินกลับไม่สนใจ ตอนที่คิดจะยกแขนขึ้นอีกครั้ง แขนเขากลับถูกเสี่ยวหมี่จับไว้
เจาตี้เอ๋อร์สลบไปครู่เดียวก็ฟื้น ที่จริงแล้วนางก็เป็แค่เด็กสาวอายุสิบห้า ยามนี้แขนข้างหนึ่งถูกตีจนหัก เ็ปไปถึงหัวใจ นางหันไปมองเฝิงเจี่ยนที่ยืนสีหน้าเ็าอยู่ ตอนนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจว่านางได้ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้าให้แล้ว...
“ฮือๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว อย่าตีข้าให้ตายเลย ข้าไม่อยากตาย”
เจาตี้เอ๋อร์ดิ้นรนพยุงตัวขึ้นนั่งแล้วโขกศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “บิดามารดาจะขายข้าไปที่ซ่อง ข้ากลัว ข้าไม่อยากไป พวกเขาบอกว่าหากเรียนวิธีปลูกผักได้สำเร็จจะให้เงินกับบิดาข้า แล้วมารดาข้าจะหาครอบครัวดีๆ ให้ข้าแต่งออกไป แต่ข้าเรียนไม่ได้ ข้าไม่อยากตาย ไว้ชีวิตด้วยๆ”
นางใจนบ้าไปแล้ว พูดจาไม่ปะติดปะต่อ จากนั้นก็กอดขาท่านป้าหลิวร้องห่มร้องไห้ “ท่านป้า ถ้าท่านให้ข้าแต่งกับพี่เสี่ยวเตา ข้ารับปากว่าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งไปชั่วชีวิต จะไม่ทำตัวตะกละอีก ท่านป้าช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้