เวินซีกลับมาถึงบ้าน
ทันทีที่จุดเทียน แสงที่สว่างขึ้นอย่างกะทันหันทำให้นางต้องหรี่ตาเพราะดวงตาปรับแสงไม่ทัน แต่เมื่อเริ่มชินก็เห็นจ้าวต้านที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เวินซีเลิกคิ้ว เขาเอาแต่อยู่รอนางกลับมาหรือ?
“ดึกแล้วข้างนอกก็ชื้น คราวหลังจะออกไปที่ใดสวมเสื้อผ้าให้มากหน่อย”
เวินซีมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง เหตุใดคำเหล่านี้จึงดูเหมือน... สามีที่รอภรรยากลับมาจากการเที่ยวเล่นในทุ่งเลยนะ?!
“เข้าใจแล้ว เข้านอนเถิด”
ทั้งสองแยกกันนอน มิได้ส่งเสียงอันใดอีก
วันต่อมา เวินซีไปหายายเฒ่าผู้หนึ่งที่เคยให้สูตรเครื่องหอมไป เพื่อให้นางไปป่าวประกาศว่าตนเองจะขายสูตรลับเครื่องหอม
ข่าวที่ว่าตระกูลเวิน้าซื้อสูตรลับได้แพร่ออกมา ยายเฒ่าจึงใช้โอกาสนี้ขายสูตรลับให้กับตระกูลเวิน
แท้จริงแล้วเวินอวิ๋นโปมิได้สนใจสูตรลับนี้มากเท่าไรนัก จนกระทั่งเขาได้เห็นตัวอักษรที่อยู่บนนั้น...
ลายมือบนสูตรเครื่องหอม เหมือนกับลายมือของเวินอี๋เหนียงที่ตายไปแล้วทุกประการ!
เมื่อเวินอวิ๋นโปถามยายเฒ่าถึงที่มาของสูตรลับ นางจึงตอบไปตามคำที่เวินซีได้ให้ไว้ว่าครั้งหนึ่งตนเคยช่วยสตรีนางหนึ่งไว้ สตรีผู้นั้นรู้สึกตื้นตันอยากขอบคุณจึงมอบสูตรลับนี้ให้ แต่ตัวยายเฒ่าเป็คนไร้การศึกษา ไม่รู้ประโยชน์ของมัน เวลานี้ที่บ้านขัดสนยิ่งนักจึงคิดอยากนำออกมาขาย
เวินอวิ๋นโปได้ยินเช่นนั้นก็มีความสุขมาก เขาส่งยายเฒ่าออกไปด้วยความเคารพ
ในคืนนั้นเอง โรงงานของตระกูลเวินก็ทำเครื่องแป้งกันทั้งคืน เพื่อเตรียมจะนำออกขายในวันถัดไป
เวินซีซ่อนตัวอยู่บนขื่อของเรือน นางเก็บเื่ทุกอย่างที่เห็นในวันนี้ไว้ในสายตา
ยิ้มไปเถิด อีกไม่กี่วัน เขาก็จะยิ้มไม่ออกแล้ว
นางกลับถึงบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าที่บ้านจะมีสภาพราวกับถูกรื้อค้น
ที่ลานเรือนเละเทะ เด็กทั้งสามคนมีรอยเท้าอยู่ทั่วทั้งตัว ใบหน้าของพวกเขาแดงบวม อาหารภายในบ้านก็หายไปหมดเช่นกัน
“เป็ท่านย่าเ้าค่ะ...” เอ้อเอ้อร์เอ่ยปากเล่าให้เวินซีฟัง
“ท่านย่าบอกว่านางเป็าุโ ของในบ้านทุกอย่างควรจะนำไปให้นางก่อน นางจึงแย่งของไปทั้งหมด พวกเรามิยอม นางก็ตีพวกเรา...” ยิ่งนางพูดก็ยิ่งเ็ปใจ เด็กทั้งสามคนกอดกันร้องไห้โฮเสียงดัง
สีหน้าของเวินซีเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ความโกรธที่อยู่ข้างในพลุ่งพล่านไปทั้งกาย
ดี เหมือนว่าการสั่งสอนคราวที่แล้วจะยังไม่พอ
นางหันหลังกลับพลันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ของพวกนี้ดีๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าบ้านน้องสามไปร่ำรวยจากที่ใดมา!”
“ใช่น่ะสิ สองวันก่อนข้ายังเห็นว่ามีคนนั่งรถม้านำอาหารมาส่งให้พวกเขาอีกด้วยนะ!”
“ดีนะที่เราไปได้เร็ว มิฉะนั้นของพวกนี้ต้องถูกเด็กเหลือขอพวกนั้นทานหมดแน่” ทุกคนพูดกันไปมา ครื้นเครงเป็อย่างยิ่ง
ท่านย่าจ้าวถูกลูกๆ หลานๆ ห้อมล้อมไว้ตรงกลาง นางถูกเยินยอเสียจนจิตใจอันจอมปลอมนั้นพองโต
“สิ่งของของเ้าสามย่อมเป็ของข้า ของพวกนี้พวกเ้าแบ่งกันนำกลับบ้านไปเถิด”
“ขอรับ ข้ารู้อยู่แล้วว่าในใจท่านมีพวกข้า ว่าแต่ร่างกายของท่านหายดีแล้วหรือขอรับ?”
เื่ที่ท่านย่าจ้าวมีมดขึ้นเต็มตัวนั้นทำให้พวกเขาหวาดกลัวกันมาก พวกเขาช่วยนางล้างตัวอยู่สองสามวันกว่าจะทำความสะอาดได้หมดจด
ท่านย่าจ้าวมองค้อนไปยังคนที่พูดถึงเื่นี้ “มิรู้จักกาลเทศะ!” ทำเอาคนที่เอ่ยขึ้นมารีบก้มหัวต่ำ ไม่กล้าพูดอันใดอีก
“จริงสิ สะใภ้ของน้องสามจะไม่มาหาเราหรอกใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงนาง ทุกคนก็มีใบหน้าซีดเซียว
ท่านย่าจ้าวเห็นพวกเขาขี้ขลาดขึ้นมา จึงตบโต๊ะด่าอย่างโกรธเคือง “นางเป็ผู้ใดกัน ไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้ข้าเสียด้วยซ้ำ หากนางกล้ามาล่ะก็ ข้าจะสั่งสอนนางแน่!”
ทุกคนตกตะลึงกับอารมณ์โกรธของท่านย่าจ้าว จึงวางใจลงได้ทันที
ใช่น่ะสิ ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ ท่านย่าเคยกลัวผู้ใดบ้าง! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็ผู้าุโอีก
“จริงหรือเ้าคะ?”
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงที่ราวกับปีศาจดังเข้ามา
เพล้ง!
ประตูที่ปิดอยู่แตกเป็เสี่ยงๆ ในฉับพลัน เวินซียืนอยู่ด้านนอก สายตาเ็าคู่นั้นกวาดมองทุกคนที่อยู่ด้านใน
ผู้คนในห้องเงียบเสียงลงฉับ สีหน้าของคนที่เคยโดนเล่นงานไปคราวก่อนก็มืดมนราวกับเถ้าถ่าน พวกเขาค่อยๆ ย่องถอยหลังกลับช้าๆ และคิดจะวิ่งหนีออกไปทางประตูหลัง
“ห้ามทุกคนออกไปจากห้องนี้ หากผู้ใดกล้าออกไปแม้ครึ่งย่างก้าว ข้าจะไม่เกรงใจ” น้ำเสียงของเวินซีนั้นไพเราะ แต่คำพูดทุกคำราวกับเป็มนต์สะกดแห่งความตาย ผู้ที่ได้ฟังล้วนขนหัวลุก
ทุกคนหยุดฝีเท้าลงทันใดและไม่กล้าขยับ
ท่านย่าจ้าวเห็นว่าพวกลูกหลานที่ปกติไม่กลัวผู้ใด แต่เมื่อได้พบกับเวินซีกลับเปลี่ยนไปเป็คนละคน ภาพนี้ทำให้นางทั้งโกรธและรำคาญใจยิ่ง
นางโมโหเหลือเกิน หญิงชราถลึงตามองไปทางเวินซี “ท่าทีอันใดของเ้า? ข้าเป็ประมุขของบ้านนี้นะ เ้ายังรู้มารยาทที่มีต่อบรรพบุรุษอยู่อีกหรือไม่?”
มารยาท?
เวินซีหัวเราะเยาะ
ก็นางไม่รู้จักมารยาทในยุคนี้จริงๆ น่ะสิ
“คำสั่งสอนคราที่แล้วไม่หนักหนาพอใช่หรือไม่เ้าคะ?” นางเอ่ยปากถามอย่างเ็า
เมื่อพูดถึงเื่คราก่อน ท่านย่าจ้าวก็หน้าซีดลงทันใด
“เ้าเป็คนทำหรือ?” นางคิดย้อนไปถึงตอนที่มดไต่ยั้วเยี้ยเต็มตัว ก็พาให้ทั้งกายรู้สึกสั่นสะท้าน ความคันเช่นนั้นทำให้นางทรมานราวกับตายทั้งเป็
แต่ในเวลานี้นางอยู่บนหลังเสือลงยาก มีลูกหลานมากมายมองอยู่ ย่อมไม่อาจยอมก้มหัวลงง่ายๆ
“ข้าเป็ย่าของพวกเ้า หากพวกเ้าร่ำรวยขึ้นมา แต่ไม่มาตอบแทนแสดงความเคารพต่อข้า นั่นถือเป็การเนรคุณ ข้ามิได้ไปคิดบัญชีกับเ้า แต่เ้ากลับมาหาข้าเอง เช่นนั้นก็ยอมรับผิดเสียดีๆ เถิด มิฉะนั้น...”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ ก็ถูกเวินซีขัดจังหวะเสียก่อน “เป็ผู้ใหญ่ทำตัวไม่น่าเคารพ แต่อยากได้ความเคารพ? ฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร?”
ท่านย่าจ้าวยืนขึ้น มือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นเทา ไม่รู้ว่าเป็เพราะโกรธจนตัวสั่นหรือเพราะความกลัวกันแน่
นางโบกมือให้ผู้คนที่อยู่ด้านหลัง “เหตุใดพวกเ้าจึงยืนอยู่เฉยๆ กัน? ตายกันหมดแล้วหรือ? ยังไม่รีบมัดนางไว้อีก! ข้าจะเอานางไปถ่วงน้ำตามกฎของตระกูล”
เวินซีเลิกคิ้ว
ถ่วงน้ำหรือ...
มันคือวิธีการลงโทษสตรีที่ไม่มีศีลธรรมมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาใช้กับนางกัน?
มีคนฟังคำสั่งของท่านย่าจ้าว จึงเดินเข้ามาใกล้เวินซี
เวินซีหัวเราะเยาะ ยกมือขึ้น วินาทีนั้น ผงสีขาวพลันกระจายตัวออกไปทันที
“อุดจมูกไว้เร็วเข้า...” มีคนไหวตัวได้รีบะโบอก
แต่น่าเสียดายที่ผงกระจายตัวเร็วเกินไป กว่าทุกคนจะไหวตัวทันก็สายไปเสียแล้ว
เวินซีเอ่ยพูดด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “วันนี้ข้าไม่อยากจะฆ่าพวกเ้า จึงใช้เครื่องหอมไปนิดหน่อย”
“เครื่องหอมชนิดนี้ทำให้มนุษย์กระดูกอ่อน หากพวกเ้าไม่เอาของที่ขโมยพวกเรากลับคืนมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ข้าจะเพิ่มผงสลายกระดูกให้พวกเ้า...”
ผงสลายกระดูก!
ที่ว่ากันว่าสามารถสลายกระดูกมนุษย์ผ่านิัได้นั่นหรือ?!
กระดูกของท่านย่าจ้าวค่อยๆ อ่อนลงทีละน้อย ทำเอานางใจนหน้าเขียวไปหมด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เวินซีก็แสยะยิ้มแล้วเดินออกไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ระหว่างทาง นางพบว่าผู้คนบนถนนต่างแห่กันไปที่ตระกูลเวิน เวินซีจึงเกิดความสงสัยเล็กน้อย นางเปลี่ยนทิศทางแล้วเดินตามผู้คนไปที่จวนตระกูลเวินทันที
ขณะนั้นมีคนมาตบไหล่นางจากด้านหลังอย่างไม่คาดคิด
เมื่อหันศีรษะไปก็เห็นจ้าวต้านยืนอยู่ข้างหลัง แสงแดดอุ่นๆ ที่ส่องลงบนผมสีดำขลับของเขา ทำให้ดวงตาสีดำของเขาดูลึกซึ้งมากขึ้น
เวินซีมองดูบุรุษตรงหน้านานกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม “ในเมื่อเ้ามาแล้ว ก็ไปทานแตง [1] ดูเื่สนุกด้วยกันเถิด”
แม้จ้าวต้านจะไม่เข้าใจว่านางหมายความอย่างไร แต่ก็ตามไปด้วยเงียบๆ
ขณะนั้นประตูใหญ่ของตระกูลเวินปิดแน่น ที่หน้าประตูจวน กลุ่มคนที่บ้าคลั่งกำลังเคาะอย่างแรง
“เวินอวิ๋นโป เก่งกาจนักมิใช่หรือ ออกมาเดี๋ยวนี้ หลบอยู่ด้านในเป็ตัวอันใดกัน”
“ตระกูลเวินของเ้าขายของบ้าบออันใดกัน บุตรสาวข้าหน้าพังยับเยินหมดแล้ว!”
“เวินอวิ๋นโป เมียข้าเสียโฉมหมดแล้ว นางกำลังจะฆ่าตัวตาย เ้าจะให้ครอบครัวเราอยู่ต่ออย่างไร?”
มีทั้งเสียงร้องไห้ เสียงะโด่า และเสียงทุบประตูดังสนั่นหวั่นไหว เวินซีที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ถามขึ้นเบาๆ “เ้าคิดว่าครานี้จะทำให้เวินอวิ๋นโปตายได้จริงๆ หรือไม่?”
สีหน้าของจ้าวต้านยังคงเ็า และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “น่าจะเป็ไปได้มากทีเดียว”
เวินซีเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อที่ประตูของตระกูลเวิน แล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “แม้จะทำให้เขาตายมิได้ แต่ตระกูลเวินก็ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียง “ครืน” ก็ดังขึ้น เป็เสียงของประตูใหญ่ที่ถูกคนเปิดออกจากด้านใน
เชิงอรรถ
[1] ทานแตง 吃瓜 เป็คำศัพท์วัยรุ่น หมายถึงสอดรู้สอดเห็น ติดตามเื่ราวที่เกิดขึ้น เหมือนกับคำไทยคำว่ากินเผือก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้