หนทางทำเงินใหม่ของหลินฟู่อินต้องไม่ถูกทำลายลง เพราะสองพี่น้องที่ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดคู่นี้
เห็นหลินฟู่อินกล่าวเช่นนี้ แม่นางฉินก็รีบรับปาก “แม่นางน้อยพูดถูกแล้ว สตรีเราแก่ตัวไว ควรดูแลั้แ่ยังเด็ก!” จากนั้นคนก็ยิ้ม “แม่นางน้อย ราคาถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ไฉ่จือไจมีกฎอยู่ ตราบใดที่ยังรับสินค้าเ้านี้ ราคาต้องตายตัว!”
แม่นางฉินพูดความจริง เป็เพราะกฎนี้ทำให้กิจการไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน ทว่ากำไรที่ได้กลับมากกว่าเดิม…
ได้ยินว่าไม่ให้ต่อรองราคา หลินเฟินก็ยิ่งวิตก กล่าวด้วยใบหน้าหมองหม่น “ไอ้หยา ท่านเป็ผู้ดูแลทั้งยังเป็เถ้าแก่เนี้ยนี่ ทำไมเล่า? เหตุใดจึงไม่ให้คนต่อราคา?”
หลินฟางได้ยินก็รีบรับคำ “ใช่แล้วท่านผู้ดูแล ข้าเห็นคนในเมืองทำกิจการ มีที่ไหนบ้างไม่มีส่วนลดหน้าร้านให้? แค่ซื้อให้ถูกเวลาเท่านั้น!”
คำนี้ยังมีความหมายว่าหากเ้าไม่ลด ข้าก็ไม่ซื้อ
แม่นางฉินอดมิได้ที่จะยิ้มขม “แม่นางน้อย ข้ายังทราบอีกว่าการค้าขายในเมือง ที่ที่มีการลดราคาต่างก็ต้องเกิดจากทั้งสองฝ่ายยินยอมทั้งสิ้น”
“มีเหตุผล!” สองพี่น้องหลินเฟินหลินฟางพยักหน้า
แต่แม่นางฉินกลับเปลี่ยนคำ “แต่ที่ไฉ่จือไจมีราคาตายตัวไม่ยอมให้ส่วนลด หากข้าลดให้พวกท่านแล้วถูกทางผู้ตรวจบัญชีของไฉ่จือไจจับได้ เช่นนั้นข้าก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
ดวงตาหลินฟู่อินทอวาบ ไม่นึกว่าต้าเว่ยจะมีความคิดดีๆ เช่นนี้ด้วย การค้าขายแบบงดต่อราคาถือเป็แนวทางของสินค้าชั้นนำและพวกร้านค้าสมัยใหม่ นับเป็วิธีทางการตลาดที่ดีมาก!
เห็นอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ หลินเฟินหลินฟางก็พูดไม่ออก
คิดๆ ดูแล้วหลินเฟินก็หันไปหาหลินฟู่อิน “ฟู่อิน ไปกันเถอะ ที่นี่แพงเกินไป!”
แต่หลินฟู่อินกลับคิดว่าชาดทาหน้าราคานี้คงไม่ใช่ของที่ดีที่สุดในร้านของแม่นางฉินแน่นอน หากของชิ้นนี้ยังมีราคาเท่านี้ ของที่ดีกว่าย่อมต้องแพงกว่า
นางโบกมือเป็สัญญาณให้พี่ๆ ทั้งสองสงบใจลง
“ผู้ดูแลฉิน ชาดที่ดีที่สุดของร้านนี้ราคาเท่าไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินถามด้วยรอยยิ้ม
ผู้ดูแลฉินผงะไปชั่วครู่ ลูกค้าที่มาร้านของนางเพื่อซื้อชาด ขอเพียงของแพงเกินไป นางก็จะบอกพวกเขาเช่นนี้
หนึ่ง ของพวกนี้มีไว้ช่วยขายให้ผู้อื่น ต่อให้ท่านไม่ซื้อก็ไม่เป็ไร
สอง คนร่ำรวยหลายคนต่างก็ซื้อ อย่างไรขอเพียงเป็สินค้าของไฉ่จือไจก็ล้วนแต่กล่าวว่าเป็ของดีทั้งนั้น ลูกค้าต่างพากันกลับมาซื้อซ้ำ
แต่ไม่มีใครเหมือนหลินฟู่อิน ถามถึงของที่แพงที่สุดทั้งที่ตอนแรกนางแนะนำของราคาต่ำที่สุดไปให้
เห็นแม่นางฉินตกตะลึง หลินฟู่อินก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มถาม “เถ้าแก่เนี้ยไม่สะดวกใจกล่าวหรือเ้าคะ?”
“ไม่ใช่ว่ากล่าวยาก ร้านของเราเล็กนัก ไม่อาจสั่งซื้อชาดที่แพงที่สุดมาได้! ชาดที่ดีที่สุดคือในตลับเงิน ราคาหกตำลึงเงิน” แม่นางฉินมองหน้าหลินฟู่อิน “กล่าวจากใจจริง ข้าได้ชาดทาหน้าราคาหกตำลึงเงินนี้มาไม่มากนัก”
หลินฟู่อินพยักหน้า เมืองห่างไกลเช่นนี้ซื้อชาดทาหน้าราคาหกตำลึงเงินก็ถือว่าราคาสูงเสียดฟ้าแล้ว นางจึงเชื่อในคำพูดของแม่นางฉิน
ในทางหนึ่งก็ถือว่านางประเมินกำไรมหาศาลของวงการเครื่องสำอางโบราณต่ำเกินไป
ชาดทาหน้าราคาหกตำลึงเงินทำเอาสามพี่น้องสหุลหลินตกตะลึงจนเวียนหัวไปหมดแล้ว
เื่นี้ไม่มีอะไรให้พูดกันอีก
เื่นี้ถือว่าแม่นางฉินทำการค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ทีเดียว ชาดราคาสามสิบห้าอีแปะนับว่าราคาถูกที่สุดในร้านแห่งนี้แล้ว…
“ทราบแล้วเ้าค่ะผู้ดูแลฉิน ขอบคุณท่านที่ช่วยชี้แนะ ดังที่ท่านว่าเถอะเ้าค่ะ พวกข้าขอเป็ชาดทาหน้าสามตลับ” หลินฟู่อินกล่าวด้วยท่าทางยินดี
แม้ชาดสามตลับนี้ราคาไม่สูง แต่ขายได้ก็คือขายได้ ทำให้แม่นางฉินเองก็ยินดียิ่งนัก น้ำเสียงกระจ่างใสยิ่งขึ้น “ได้ ประเดี๋ยวข้าหยิบตลับใหม่ออกมาให้พวกท่านทั้งสาม”
หลินฟู่อินยิ้มพยักหน้ารับ
แม่นางฉินหมุนตัวไปมองเสี่ยวเอ้อร์แล้วกล่าว “ไปนำชาดทาหน้าสีส้มอมแดงมาสองตลับ สีชมพูหนึ่งตลับ”
เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งไปจัดเตรียมของด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อรับตลับชาดทั้งสามแล้ว แม่นางฉินจึงส่งให้พวกหลินฟู่อินแล้วยิ้ม “ทั้งหมดหนึ่งตำลึงเงินห้าอีแปะเ้าค่ะ”
หลินฟู่อินหยิบเงินตำลึงออกมาจากถุงใส่เหรียญ จากนั้นนับเงินอีกห้าอีแปะแล้วมอบให้แม่นางฉิน
อีกฝ่ายรับเงินไว้ หันไปหาเสี่ยวเอ้อร์ “ไปนำถุงเครื่องหอมออกมาสามถุง”
เช่นนี้เองหลินฟู่อินจึงได้ประทับใจ คิดว่าแม่นางฉินผู้นี้ดูเรียบง่ายซื่อตรงพูดไม่ค่อยเก่ง ทว่ากลับรู้วิธีการค้าขายจริงๆ! มิน่าเล่าคนของไฉ่จือไจจึงได้ชอบนาง…
“แม่นางน้อยทั้งสาม ถุงหอมนี้มีประโยชน์มาก ปกติขายสองอีแปะต่อถุง วันนี้แม่นางทั้งสามมาซื้อของที่ร้านแห่งนี้เป็ครั้งแรก ข้าขอมอบให้พวกท่าน” สีหน้าสุภาพ แววตาจริงใจ คนยังกล่าวต่อ “หากแม่นางน้อยช่วยแนะนำร้านแห่งนี้ให้คนรู้จัก เช่นนี้ข้าจะยินดีเป็อย่างยิ่ง!”
เมื่อหลินเฟินหลินฟางเห็นว่าแม้เถ้าแก่เนี้ยในคราบผู้ดูแลหญิงจะไม่ยินยอมให้ต่อรอง แต่ให้ของแถมเป็ถุงหอมมาเช่นนี้ก็ให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แต่พอคิดว่าหลินฟู่อินเพิ่งจะจ่ายเงินออกไปหนึ่งตำลึงเงินห้าอีแปะในครั้งเดียวก็ทำให้หัวใจของพี่สาวทั้งสองลุกลี้ลุกลนขึ้นมา
หลินฟู่อินและแม่นางฉินกล่าวขอบคุณกันและกัน ก่อนจะรับปากว่าหากใช้ดีจะกลับมาซื้ออีก แล้วจึงจากไปพร้อมกับพี่ทั้งสามคน
ลำดับต่อไปคือซื้อพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกให้กับหลินซานหลาง
พู่กัน หมึก และแท่นฝนหมึกสามอย่างนี้ราคารวมกันแล้วแพงยิ่งกว่าชาดทาหน้าเสียอีก แม้เครื่องเขียนที่หลินซานหลางเลือกด้วยตัวเองจะมีคุณภาพต่ำที่สุด ก็ยังต้องใช้เงินของหลินฟู่อินออกไปถึงสามตำลึงเงินสองอีแปะ
เดิมทีราคาควรจะแพงกว่านี้อีกหน่อย แต่ได้ราคาลดเพราะซื้อครบชุดพร้อมกัน
หลินฟู่อินยังซื้อวัตถุดิบและเครื่องปรุงสำหรับทำไข่ดอกสนและไข่เยี่ยวม้า จากนั้นทั้งสี่คนจึงพากันเดินทางกลับ เมื่อเดินจนถึงถนนสายแรกที่มีคนเสนอขายดอกไม้ หลินฟู่อินก็จ่ายเงินออกไปอีกห้าอีแปะซื้อมงกุฎดอกไม้ที่ทำจากผ้าไหม
หลินเฟินหลินฟางคนหนึ่งเลือกสีแดง คนหนึ่งสีชมพู ส่วนหลินฟู่อินเลือกสีม่วงสดใส
เข้าเมืองครั้งนี้จ่ายเงินออกไปรวมๆ ไม่ถึงห้าตำลึงเงิน แต่ได้รับเงินมาถึงยี่สิบตำลึงเงิน เหลืออยู่สิบห้าตำลึงเงิน
“ฟู่อิน เ้าไม่ควรจ่ายเงินซื้อชาดให้ข้ากับอาฟางเลยจริงๆ ยังไงพวกข้าก็ต้องออกมาเจอแดดเจอลมทุกวันอยู่แล้ว ทาไปก็เสียเปล่า!” หลินเฟินยังอดเสียดายเงินเจ็ดสิบเฉียนที่หลินฟู่อินจ่ายให้พวกนางไม่ได้
หลินฟู่อินส่ายหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่อาเฟินอย่ามัวแต่คิดเื่นั้นเลย ข้าคำนวณเอาไว้แล้ว อีกอย่าง ยิ่งตากแดดตากลมมากเท่าไรก็ยิ่งต้องดูแลผิวหน้ามากเท่านั้น พวกพี่อายุเพิ่งเท่านี้เอง อย่าให้ใบหน้าปะทะลมหนาวนักเลย จะดูไม่ดีเอานะ”
หลินเฟินรู้สึกขายหน้ากับสิ่งที่ตนพลั้งปากออกไปขึ้นมา
อันที่จริงหลินซานหลางรู้สึกเครียดกว่าใคร แต่ก็ยิ่งซาบซึ้งกว่าใครเช่นกัน!
หลินฟู่อินจ่ายเงินซื้อของให้สองพี่น้องหลินเฟินหลินฟางเพียงเจ็ดสิบอีแปะแต่กับเขานางจ่ายออกไปถึงสามตำลึงเงิน
ราคานี้ต้องขายไข่ดอกสนหนึ่งร้อยฟองเพื่อซื้อของให้เขา อีกหนึ่งร้อยฟองเพื่อให้คืนทุน รวมๆ แล้วนางน่าจะได้เงินมาเพียงสองอีแปะเท่านั้นเอง…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้