หลิวเสี่ยวเตาคลี่ยิ้มลามไปถึงดวงตา “หากมีตรงไหนไม่เหมาะสมก็รีบนำกลับไปให้บิดาข้าแก้ไขได้”
“เ้าค่ะ”
เมื่อส่งเสี่ยวเตากลับไปแล้ว ลู่เสี่ยวหมี่ก็เรียกพี่รองของตนมาช่วยกันประกอบเหล็กพวกนี้ให้เป็เตาแบบที่นาง้าด้วยความตื่นเต้น
เตาขนาดไม่ใหญ่นัก ้าและด้านล่างเล็ก ตรงกลางหนาป่องออกมา ลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนที่ลงพุงน้อยๆ ด้านล่างสุดมีหัวเตาขนาดเท่ากำปั้นเด็ก ด้านหลังมีปล้องเหล็กยื่นออกไป
เมื่อยัดหญ้าและกิ่งไม้เข้าไปแล้วจุดไฟ เพียงไม่นานเตาก็มีไฟสีแดงลุกโชน
ลู่เสี่ยวหมี่หยิบหม้อก้นแบนที่เข้าคู่กันมาวางลงเหนือเตา เพียงไม่นานน้ำครึ่งหม้อที่ใส่ไว้ก็เดือดปุดๆ ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มเอ่ย “ท่านลุงหลิวฝีมือดีจริงๆ เตานี่ทำออกมาตามที่ข้าคิดทุกอย่าง”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านี่ก็คือเตาเหล็กแบบดั้งเดิมที่เห็นได้ทั่วไปแถบตะวันออกเฉียงเหนือในยุคปัจจุบัน ใช้ต้มน้ำหรือปรับอุณหภูมิห้องให้อบอุ่น เป็อุปกรณ์ที่สะดวกอย่างยิ่ง
แต่ในสายตาของชาวแคว้นต้าหยวนในยุคนี้ สิ่งนี้แปลกใหม่และไม่เคยเห็นมาก่อน
เทียบกับเตาถ่านที่คนที่นี่ใช้กันทั่วไปแล้ว เตาเหล็กลูกเล็กนี่ให้ความอบอุ่นได้ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีตัวระบายควันยื่นออกไปทางด้านหลัง จึงมีส่วนช่วยในเื่ความปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่านอนหลับอยู่แล้วจะถูกรมควันจนต้องไปพบยมบาล
อีกทั้งหม้อก้นแบนก็เป็อีกสิ่งหนึ่งที่แสนมหัศจรรย์ ใช้ผัดผักก็ได้ ใช้ต้มน้ำก็ได้
“ดียิ่งนัก เตาเหล็กนี่ดูธรรมดา แต่ประโยชน์ใช้สอยมากมาย”
ผู้เฒ่าหยางชมเปาะออกมาเป็คนแรก เฝิงเจี่ยนก็พยักหน้าติดๆ กันอย่างเห็นด้วย
ในสายตาของชาวต้าหยวน ทองแดงมีราคาแพงแต่เหล็กกลับไร้ค่า เตาเหล็กเช่นนี้หากสั่งทำคงไม่เกินสามร้อยอีแปะ แต่จะต้องเป็ของดีที่ช่วยให้คนทางเหนือผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างแน่นอน
หากสามารถนำขายออกสู่ท้องตลาด ย่อมนำประโยชน์มาสู่แว่นแคว้นได้มหาศาล
ลู่เสี่ยวหมี่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจสอบหม้อก้นแบนว่ามีจุดใดรั่วบ้างหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วจึงปรบมือยิ้มแย้มด้วยความยินดี “ท่านลุงหลิวฝีมือดีจริงๆ ข้าต้องหาเวลาไปเจรจากับเขาสักหน่อย ฤดูหนาวนี้ก็ช่างเถอะ แต่หากเริ่มทำั้แ่ต้นฤดูใบไม้ผลิ และนำไปขายในเมืองปีหน้าใน่หิมะแรก เราต้องรวยแน่ๆ”
“ดียิ่งนัก ถึงตอนนั้นข้าจะเป็คนเข้าเมืองไปขายเอง” พี่รองลู่ตบอกตัวเองพลางรับปากอย่างหนักแน่น
พี่ใหญ่ลู่เองก็พยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ กลับเป็พี่สามลู่ที่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าลู่เสี่ยวหมี่จะคิดเผื่อเขามากขนาดนี้ กระทั่งเตาสร้างความอบอุ่นก็เตรียมไว้พร้อมสรรพ ความรู้สึกผิดราวกับน้ำค่อยๆ ท่วมท้นขึ้นมาเต็มหัวใจ ในฐานะพี่ชายไม่สามารถรับผิดชอบเื่ในบ้าน ดูแลอาหารการกิน อาภรณ์เสื้อผ้าของน้องสาวได้ กลับยังต้องให้นางมาแบกรับภาระของตระกูลและดูแลเขาอีก เสียทีที่เกิดเป็บุรุษจริงๆ
“เสี่ยวหมี่...”
พี่สามลู่รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รีบยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว “พี่สามแค่นี้ก็คิดถึงบ้านแล้วหรือ วางใจเถอะ ข้าจะต้องเหลือของอร่อยๆ ไว้รอท่านกลับมาแน่นอน”
ทุกคนพากันหัวเราะ เข้ามารวมหัวหยอกล้อ “แย่แล้ว เช่นนั้นเดือนกว่านับจากนี้พวกเราจะทนใช้ชีวิตกันอย่างไร”
ไม่ว่าจะตัดใจไม่ได้อย่างไร ไม่พร้อมอย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้นพี่สามลู่ก็ยังต้องตื่นแต่เช้าขึ้นไปนั่งบนเลื่อน ส่วนลู่อู่นั่นเดิมก็เป็คนชอบเคลื่อนไหวไม่ชอบอยู่นิ่ง จึงคึกคักเป็อย่างยิ่ง ในมือถือแส้ไม่รอให้ทุกคนได้ร่ำลากันมากนัก ก็รีบสะบัดแส้ใส่ม้าแดงให้พุ่งทะยานออกไป
เมืองอันโจวหิมะตกหนักมาหลายวัน ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีหิมะร่วงลงมาจากฟ้า แต่เพราะมีลมหนาวพัดมาอยู่ทุกขณะจึงพัดเอาหิมะที่ตกไว้ก่อนหน้านี้ให้ค่อยๆ ลอยขึ้นมา
เพียงไม่นาน เงาร่างของสองพี่น้องสกุลลู่ก็กลืนหายไปกับหิมะ ลู่เสี่ยวหมี่เป็กังวลมาก ด้วยนิสัยซื่อๆ ของพี่สามและนิสัยมุทะลุของพี่รอง เกรงว่าจะเกิดเื่ขึ้นระหว่างทาง แต่จะให้นางติดตามเดินทางไปด้วยก็ไม่ได้ มีแต่ต้องเก็บความกังวลเอาไว้ในใจ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น หลิวเสี่ยวเตาก็นำเตาเหล็กชุดที่สองมาส่ง ลู่เสี่ยวหมี่เรียกให้พี่ใหญ่ของนางมาช่วยนำท่อนไม้สำหรับทำราวจับ และเตาเหล็กที่เพิ่งได้มานี้ไปติดตั้งในเรือนพักฝั่งตะวันออก
เมื่อจุดไฟ ในห้องก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมาทันควัน เฝิงเจี่ยนขยับกายลงจากเตียง เขาสวมรองเท้าผ้านุ่มนิ่ม เคลื่อนกายไปจับราวไม้ที่ติดตั้งไว้รอบห้องทั้งสี่ด้านแล้วเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ
อาจเพราะสามารถลุกออกมาชมแสงอาทิตย์ภายนอกได้แล้ว ความหงุดหงิดงุ่นง่านที่ฝังอยู่ในจิตใจของเขาจึงค่อยๆ สลายไปทีละน้อย
ตอนที่เขาเห็นลู่เสี่ยวหมี่เดินกอดเสื้อคลุมหนังกระต่ายและกางเกงตัวใหม่เข้ามาให้เมื่อเช้า ความหงุดหงิดงุ่นง่านที่หลงเหลืออีกเพียงเล็กน้อยในจิตใจก็สลายหายไปเป็ปลิดทิ้ง...
…
ยามนี้ลู่เสี่ยวหมี่กำลังกำลังตีไข่ในถ้วยด้วยมือเดียว นางเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตู เห็นเฝิงเจี่ยนที่ถูกผู้เฒ่าหยางประคองอยู่ห่างออกไปไม่ไกล นางคลี่ยิ้มเจิดจ้า “ยาของลุงสามปี้ช่างดีจริงๆ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ยังไม่ทันข้ามปี อาการาเ็ที่ขาของพี่ใหญ่เฝิงก็คงจะหายเป็ปลิดทิ้งแล้ว”
เฝิงเจี่ยนได้ยินเสียงก็หยุดฝีเท้าลง ผู้เฒ่าหยางรีบถามขึ้นว่า “คุณชายเจ็บขาหรือขอรับ?”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าน้อยๆ ก่อนตอบกลับมาหนึ่งประโยคว่า “ออกแรงมากเกินไปก็ไม่ค่อยไหว”
“เช่นนั้นรีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ ข้ากำลังจะทำไข่ตุ๋น พี่ใหญ่เฝิงกินแล้วก็หลับสักตื่น การนอนหลับนี่ถือเป็ยาที่ดีที่สุดแล้วละ”
ลู่เสี่ยวหมี่รีบกลับไปยุ่งอยู่ในครัวของนาง จึงไม่ทันสังเกตขาของเฝิงเจี่ยนที่ไม่ได้ ‘กินแรง’ สักเท่าไร
เช้าวันนี้ ไม่รู้ว่า์มีเมตตาต่อสรรพชีวิตที่ต้องต่อสู้ยืนหยัดท่ามกลางหิมะหรือไม่ จู่ๆ ก็มีแดดออกเสียอย่างนั้น แสงแดดสะท้อนกับพื้นหิมะสีขาว ทำให้บรรดาใบหญ้าที่ถูกน้ำแข็งเกาะพลอยสะท้อนแสงแวววาวไปด้วย บรรดาเด็กน้อยที่ซุกซนทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมืออุดหูไม่ฟังเสียงดุด่าของมารดาพากันวิ่งออกมาด้านนอก บ้างเล่นเลื่อน บ้างปั้นหิมะ เสียงดังเอะอะไปทั่วบริเวณ
ลู่เสี่ยวหมี่ยืนอยู่มุมหนึ่งของเรือนบริเวณที่มีแท่นโม่หินตั้งอยู่ วันนี้นางตั้งใจจะบดข้าวโพดกับข้าวเหนียวให้เหลวเป็น้ำ บีบเอาน้ำออกจนแห้งแล้วนำมานวดจนเนื้อแป้งเนียนละเอียดก่อนจะตัดเป็ชิ้นๆ จากนั้นนำไปห่อถั่วบดที่ทำเป็ไส้ แล้วจึงนำไปนึ่งในหม้อ ของกินเล่นที่นางจะทำนี้ที่จริงแล้วก็คือซาลาเปาไส้ถั่วบดที่มีชื่อเสียงของทางภาคเหนือนั่นเอง
ถึงแม้ของกินเช่นนี้จะย่อยยาก แต่ก็เหมาะสำหรับกินรองท้องเป็ที่สุด ทั้งยังพกง่ายกินง่าย ในชาติก่อนตอนที่อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เสี่ยวหมี่กินมันอยู่เป็ประจำ และมักจะเป็ลูกมือช่วยผู้อำนวยการห่อไส้และปั้นซาลาเปาอยู่บ่อยครั้งจึงคุ้นเคยเป็อย่างดี ยามนี้แทบจะหลับตาทำได้
ตอนที่ท่านป้าหลิวพาสตรีสาวๆ สองสามคนมาหาที่บ้านนั้น ลู่เสี่ยวหมี่ก็บดข้าวโพดข้าวเหนียวได้ถังใหญ่แล้ว คิดจะเทใส่ผ้าขาวบางแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง
ท่านป้าหลิวรีบเข้าไปช่วยทันที ทั้งยังตำหนิว่า “เด็กคนนี้ เหตุใดไม่เรียกพี่ใหญ่ของเ้ามาช่วย ระวังเอวจะเคล็ด”
“นั่นน่ะสิ บ้านเ้าหากเ้าล้มไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีใครคอยทำอาหารแล้วนะ”
บรรดาสตรีเ่าั้เข้ามาช่วยจับผ้าขาวบางแทนลู่เสี่ยวหมี่ คนหนึ่งเข้าไปยกถังแป้งที่โม่เสร็จแล้ว เทใส่ผ้าขาวบางแล้วบีบน้ำส่วนเกินออกจนหมด
จากนั้นพวกนางแต่ละคนก็เข้ามาช่วยต่ออย่างกระตือรือร้น คนหนึ่งช่วยโม่แป้ง คนหนึ่งเทข้าวโพดข้าวเหนียวลงในแท่นโม่ เสร็จแล้วก็ช่วยกันเทใส่ผ้าขาวบางคนช่วยกันบีบน้ำส่วนเกินออกมาจนหมด
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของทุกคนได้ จึงไปหาน้ำชาและของว่างมารับรองพวกเขาแทน
“วันนี้ท่านป้าและบรรดาพี่สะใภ้มาหาข้าได้อย่างไร ที่บ้านไม่ยุ่งกันหรือเ้าคะ?”
ท่านป้าหลิวเป็คนตรงไปตรงมา อีกทั้งในบรรดาคนที่มาทั้งหมดนางก็สนิทกับเสี่ยวหมี่ที่สุด เห็นบรรดาสาวๆ พวกนั้นเอาแต่หัวเราะคิกคักแต่ไม่มีใครตอบอะไร นางจึงเอ่ยว่า
“ตอนนี้เป็เดือนล่าเยว่ [1] แล้ว ที่บ้านจะไม่ยุ่งได้อย่างไร แต่จะยุ่งแค่ไหนก็มีเื่สำคัญกว่าให้ทำ บรรดาพี่สะใภ้ของเ้าขอให้ข้าช่วยออกปากให้น่ะ”
“เื่อันใดหรือเ้าคะ?” ลู่เสี่ยวหมี่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าหรือพวกนางถูกใจของกินบางอย่าง อาภรณ์ใหม่ๆ บางชุดที่นางทำ จึงอยากจะขอเอาไปใช้? หรือว่ามีคนอยากยืมเงินนาง?
ดีที่ท่านป้าหลิวไม่ปล่อยให้นางคาดเดาไปเองนานนัก “ไม่ใช่เื่ใหญ่อันใด คนในหมู่บ้านเห็นว่าหลังจากล้มป่วยครั้งใหญ่ เ้าก็กลายเป็เด็กขยันขันแข็งทั้งยังเฉลียวฉลาด ทุกคนพากันอิจฉา อยากให้ลูกๆ ที่บ้านโดยเฉพาะลูกสาวเขียนได้อ่านออกกับเขาบ้าง จึงไปหาข้าให้พามาถามเ้าที่นี่”
“เขียนได้อ่านออก?” ลู่เสี่ยวหมี่หันไปมองห้องพักฝั่งตะวันออกในเรือนหลักทันที คล้ายว่าบิดาลู่ยังไม่อาจก้าวออกมาจากความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียภรรยาได้ หลายวันมานี้จึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
นางลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “่นี้บิดาของข้าร่างกายไม่แข็งแรง แม้แต่อาหารก็ยังทานได้น้อย ข้าเกรงว่า...”
“แหมๆ ไม่ใช่ๆ เ้าคิดไปไกลแล้ว” ท่านป้าหลิวรีบโบกมือยิ้มๆ “ความรู้ความสามารถของท่านลู่นั้นย่อมดีที่สุด แต่เด็กน้อยในหมู่บ้านนี้ ไม่มีใครคิดอยากจะสอบเข้ารับราชการเพื่อนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลแบบเชียนเกอร์ [2] แค่อยากจะเล่าเรียนเขียนอ่านอักษรให้พอรู้หนังสือไว้บ้าง ให้พอเขียนจดหมายได้ รู้วิธีคำนวณพื้นฐาน ยามที่ขายหนังสัตว์จะได้ไม่ถูกเขาหลอกก็เท่านั้น”
“อา ที่แท้เป็เช่นนี้เอง” ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกเบาใจลง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ท่านป้าหลิวพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครเหมาะไปกว่าข้าแล้ว”
“เด็กโง่ ก็มาหาเ้านั่นล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาสตรีสาวๆ เ่าั้ก็พากันดีอกดีใจ สตรีสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ก็วางมือจากงานล้อมวงสนทนาเข้ามา
“ยัยหนูสามที่บ้านข้าฉลาดมากนะ ข้าหวังให้นางพอรู้หนังสือบ้าง วันหน้าจะได้หาตระกูลแต่งเข้าไปได้ง่ายๆ”
“ใช่แล้ว ลูกหมาน้อยที่บ้านข้าก็ไม่โง่เหมือนกัน เรียนวิธีลอกหนังสัตว์จากบิดาจนตอนนี้ชำนาญแล้ว แต่เป็นายพรานจะมีดีอะไร หากรู้หนังสือ วันหน้าก็เข้าเมืองไปหางานดีๆ ทำได้ มีทางเลือกมากกว่าอยู่ที่นี่มากนัก”
แต่ละคนแย่งกันพูดถึงลูกสาวลูกชายบ้านตัวเองด้วยสีหน้าคาดหวังจนลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกอิจฉา ไม่ว่าในยุคไหน เด็กที่มีแม่มักจะได้รับการปฏิบัติราวกับเป็สมบัติล้ำค่าเสมอ
ท่านป้าหลิวที่รักและสงสารเสี่ยวหมี่มากกว่าใครๆ รีบโบกมือบอกให้พวกนางหยุด นางเข้ามาจับมือเสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มกล่าวว่า
“เสี่ยวหมี่ ทุกคนรู้ดีว่าเ้าเป็คนจัดการเื่ในบ้านทั้งหมด ยามปกติยากจะหาเวลาว่างได้ เ้าไม่ต้องสอนพวกเด็กๆ ทั้งวันหรอก แต่ละวันขอเวลาเ้าสักหนึ่ง ไม่สิ ครึ่งชั่วยามก็พอ บรรดาพี่สะใภ้พวกนี้ของเ้าต่างมือไม้คล่องแคล่ว หากที่บ้านเ้ามีงานอะไรก็ให้พวกนางมาช่วย ทุกเดือนให้เด็กๆ มอบแป้งข้าวโพดสิบจินเป็ค่าเล่าเรียนให้เ้า เ้าเห็นเป็อย่างไร?”
“หา ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ ในหมู่บ้านเราปกติมีเื่อะไรพวกพี่สะใภ้ก็มาช่วยข้าอยู่แล้ว แค่สอนเขียนอ่านอักษรไม่กี่ตัวข้าจะรับค่าเล่าเรียนได้อย่างไร?”
ลู่เสี่ยวหมี่ส่ายหน้าปฏิเสธทันที “จะอย่างไร่หน้าหนาวก็ไม่มีงานใหญ่อะไรให้ทำ แค่ทำอาหารสามมื้อต่อวันไม่นับว่ายุ่งอะไร วันพรุ่งข้าจะเก็บกวาดเรือนพักฝั่งตะวันตก ให้พี่ใหญ่เอาเตาเข้าไปตั้ง ห้องจะได้อบอุ่นเหมาะให้เด็กๆ เข้ามาเรียนเขียนอ่านกัน เริ่มเรียนแรกๆ ยังไม่จำเป็ต้องใช้พู่กันหมึกและอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ ใช้แค่กิ่งไม้และกระดานทรายก็พอ แต่ว่าบ้านข้าไม่มีโต๊ะเก้าอี้เหลือแล้ว บ้านพี่สะใภ้คนไหนมีมากหน่อยก็ย้ายมาให้ใช้ที่นี่ชั่วคราวเถอะเ้าค่ะ”
ทุกคนได้ยินเสี่ยวหมี่คิดอย่างรอบคอบเช่นนี้ก็ยิ่งพออกพอใจ ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้นางเหนื่อยเปล่า จึงพากันเอ่ยปากว่า “โต๊ะเก้าอี้ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าบ้านใครก็มีทั้งนั้น แต่ค่าเล่าเรียนจะอย่างไรก็ต้องรับ ไม่เช่นนั้นส่งเด็กๆ มาที่นี่พวกเราก็รู้สึกผิด”
“นั่นสิ นั่นสิ เรียนทำถังกับอาจารย์ยังต้องทำงานให้เขาเปล่าๆ สามปีเป็ค่าเล่าเรียนเลย แต่พวกเด็กๆ จะมาเรียนเขียนอักษรเชียวนะ จะไม่ให้ค่าเล่าเรียนได้อย่างไร”
ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกปวดหูปวดหัวเพราะบรรดาสตรีเหล่านี้แย่งกันพูด แต่ในใจกลับขบคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ใช่แล้ว มีของที่ข้าอยากได้อยู่อย่างหนึ่งจริงๆ หากพี่สะใภ้ตั้งใจจะมอบค่าเล่าเรียนให้จริงๆ ไม่สู้ให้สิ่งนี้กับข้าก็แล้วกัน”
“สิ่งใดหรือ?” ทุกคนฟังแล้วก็แปลกใจ บางคนถึงกับเริ่มลูบคลำปิ่นปักผมบนศีรษะ เดาว่าเสี่ยวหมี่จะอยากได้พวกเครื่องประดับสวยๆ หรือเปล่า
สุดท้ายเมื่อเสี่ยวหมี่พ่นคำนั้นออกมาทุกคนก็ตกตะลึงเป็อย่างมาก คิดไปว่าตนฟังผิดหรือไม่
เสี่ยวหมี่เล่นเปียสองข้างของตนเอง ยิ้มอย่างเบิกบานว่า “พวกพี่สะใภ้ฟังไม่ผิดหรอกเ้าค่ะ ข้า้าอุจจาระปัสสาวะเป็ค่าเล่าเรียน ไม่ว่าจะของหมูของคน ก็เอามาให้ข้าได้หมดเลย”
เชิงอรรถ
[1] เดือนล่าเยว่(腊月)ตามประเพณีดั้งเดิมของจีน การฉลองตรุษจีนจะเริ่มในวันที่ 23 หรือ 24 ของเดือน 12 ( 腊月 二十三 ) ซึ่งจีนเรียกเดือน 12 ในปฏิทินจันทรคติว่า “ล่าเยว่” (腊月) วันที่ 23 ของเดือนล่าเยว่นี้ ถือเป็เทศกาล“ตรุษจีนเล็ก”
[2] เกอร์(哥儿)ในที่นี้ใช้ต่อท้ายชื่อของเด็กผู้ชาย เป็คำที่ผู้ใหญ่มักใช้เรียกเด็ก ขณะเดียวกันหากเป็เด็กผู้หญิงจะใช้คำว่า เจี่ยร์ต่อท้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้