ร่างกายของลูกจิ้งจอกยังคงอ่อนแอ หลังจากกินจนอิ่ม ความง่วงงุนก็ถาโถมเข้ามา จิ้งจอกน้อยหาวหวอดพลางใช้อุ้งเท้าน้อยๆ ปิดปาก
หลังจากฮั่วเยี่ยนไหวกินเสร็จ จิ้งจอกน้อยก็หลับสนิทสงบนิ่งอยู่แทบเท้าของเขาไปตั้งนานแล้ว มันขดตัวเป็ก้อนกลมสีขาวปุกปุย โดยนำอุ้งเท้าหน้าสองข้างที่ดูน่ารักและเล็กกะทัดรัดหนุนไว้ใต้ศีรษะ
ฮั่วเยี่ยนไหวมุ่นคิ้ว เขาอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาพร้อมกับหยิบผ้าดิ้นเงินดิ้นทองที่มีกลิ่นสะระแหน่เจือจางมาจากไหนไม่ทราบ จากนั้นก็เช็ดทำความสะอาดคราบน้ำมันบนใบหน้าและกรงเล็บของจิ้งจอกน้อยด้วยความใส่ใจ
ตกกลางคืน จิ้งจอกน้อยนอนพิงอยู่ข้างหมอนของฮั่วเยี่ยนไหว ลมหายใจหอมหวานสม่ำเสมอ จิ้งจอกที่อยู่ในห้วงฝันรู้สึกเพียงว่าตนเองราวกับถูกอะไรบางอย่างที่อบอุ่นห่อหุ้มเอาไว้ ทั่วทั้งร่างรู้สึกสบายและผ่อนคลายจนถึงขีดสุด ความเหนื่อยล้ามลายสิ้น
ไป๋เซี่ยเหอตื่นขึ้นตอนรุ่งสาง นางมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีนอกหน้าต่าง หลังจากประเมินเวลาคร่าวๆ จิ้งจอกน้อยก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยทันที นึกไม่ถึงว่านางจะนอนหลับอยู่ข้างกายของบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งได้ตลอดทั้งคืน
นี่คือเื่ที่นางไม่เคยทำมาก่อน เมื่อครั้งที่นางเป็ทหารรับจ้าง แม้ว่าตอนที่นางนอนหลับหลังจากได้รับาเ็สาหัส นางก็จะระแวดระวังอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อคืนนางไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเองเข้าห้องมาเมื่อไร กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนนอนอยู่ข้างกาย
เมื่อหันไปมองบุรุษที่นอนอยู่ข้างๆ แววตาของไป๋เซี่ยเหอก็ฉายแววลึกล้ำ ในขณะนี้นางตระหนักรู้คร่าวๆ แล้วว่า ร่างกายของนางนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ความอ่อนแอและอาการาเ็ทั้งหมดราวกับสลายไปในชั่วข้ามคืน ต่อให้หวาถัว [1] ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
จู่ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ได้ลามขึ้นมาจากฝ่าเท้า ิัทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็ร้อนรุ่ม เหมือนว่าอะไรบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมาจากร่างกายของนางอย่างไรอย่างนั้น
แย่แล้ว!
สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็ตกตะลึง ก่อนจะหลบหนีออกจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ไป๋เซี่ยเหอจากไป บุรุษบนเตียงได้ลืมตาขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความจริงแล้วยามที่จิ้งจอกน้อยตื่นนั้นเขาก็ได้สติแล้วเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในสนามรบมานาน จึงมีนิสัยตื่นง่าย แม้จะง่วงงุนเพียงใด ตราบใดที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เขาจะตื่นขึ้นมาทันที นี่ถือเป็เงื่อนไขพื้นฐานในการรักษาชีวิตของตัวเองในสนามรบ
แม้ว่าเขาจะหลับตา ทว่าก็ยังสามารถรับรู้ถึงสายตาของจิ้งจอกน้อยที่จับจ้องอยู่บนร่างของตนเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขัดจังหวะ และแสร้งหลับต่อไป
ใครจะล่วงรู้ว่าจิ้งจอกน้อยจะละสายตาออกไปอย่างกะทันหัน ยามที่เขาลืมตาขึ้นมา เขาทันมองเห็นสีหน้าหม่นหมองของจิ้งจอกน้อยพอดิบพอดี ก่อนที่มันจะวิ่งออกไปข้างนอก
กระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม จิ้งจอกน้อยก็ยังไม่กลับมา
แววตาเย็นเยียบของฮั่วเยี่ยนไหวนั้นหนาวเหน็บขึ้นหลายส่วนในชั่วพริบตา เป็จิ้งจอกที่ไม่มีมโนธรรมอย่างที่คาด หลังกินอิ่มนอนหลับก็ชิ่งหนีไป ช่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกถลกหนังจริงเชียว หากเขาเจอจิ้งจอกใจดำตัวนี้อีกครั้งละก็ เขาต้องทำให้มันได้รับบทลงโทษอย่างแน่นอน!
.............................
จวนตระกูลไป๋
ในเรือนหลังหนึ่งที่แต่เดิมควรจะซอมซ่อจนปราศจากผู้คน ในเวลานี้กลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คนเสียอย่างนั้น
ไป๋หว่านหนิงได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ั้แ่เช้าตรู่ว่าไป๋เซี่ยเหอหายไป นางจึงรีบพาคนมาทันที หลังจากตามหาทั่วทั้งเรือนก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของไป๋เซี่ยเหอ
“ตามหานางให้ข้าโดยเร็ว แม้จะต้องขุดดินสามฉื่อก็ต้องลากนางแพศยาคนนั้นออกมาให้จงได้!”
ไป๋หว่านหนิงสวมชุดกระโปรงแบบชาววัง เนื้อผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีชมพูเข้ม กระบอกแขนกับชายกระโปรงปักลวดลายดอกโบตั๋นหลายดอก เครื่องหน้าโดดเด่นน่าประทับใจ นางนั่งบนเก้าอี้ที่ยกมาจากไหนไม่ทราบ และแทะเมล็ดแตงโมด้วยท่าทีสง่างาม
ใบหน้าของนางไม่มีความเคร่งเครียดแม้แต่น้อย กระทั่งแววตายังคงฉายแววตื่นเต้นออกมา นางปรารถนาให้ไป๋เซี่ยเหอตายตกอยู่ในมุมไหนสักแห่ง
“คุณหนูรองเ้าคะ พวกเราตามหาจนทั่วแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนูใหญ่เลย ไม่แน่ว่านางอาจไม่ได้อยู่ในจวนเ้าค่ะ”
ไป๋หว่านหนิงเลิกคิ้วทันที ดวงตาสีดำขลับเป็ประกายขึ้นมา “ถูกต้อง นางออกจากจวนไปแล้ว หากในจวนไม่มี เช่นนั้นก็ไปตามหาข้างนอกเสีย ใครจะรู้ว่านางคนเถื่อนที่ไม่มีคนอบรมสั่งสอนนี้จะออกไปมั่วสุมกับบุรุษเสเพลคนไหนหรือไม่”
หากออกไปมั่วสุมกับบุรุษก็ดีสิ เมื่อถึงเวลานั้น ตำแหน่งไท่จื่อเฟยย่อมตกลงบนศีรษะของนางเป็แน่
ไป๋หว่านหนิงครุ่นคิดอย่างลำพองใจ “นางอาจออกไปข้างนอกและมั่วสุมกับบุรุษแล้วกระมัง พวกเ้ารีบส่งคนไปตามหา โดยเฉพาะโรงเตี๊ยมหรืออะไรเทือกนั้น ทำให้เป็เื่ใหญ่ได้เท่าไรก็ยิ่งดี!”
ต่อให้ไป๋เซี่ยเหอจะไม่ได้มั่วสุมกับใคร ทว่าหากถูกผู้คนล่วงรู้ว่านางออกจากจวนตามอำเภอใจจนคนในครอบครัวต้องมาตรวจสอบที่โรงเตี๊ยมทุกแห่งละก็ ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้เป็แน่
“พวกเ้าตามหาใครอยู่หรือ?”
หลังจากไป๋เซี่ยเหอย่องเข้ามาทางประตูหลังแล้ว นางก็รีบเปลี่ยนเป็ชุดกระโปรงยาวตัวบางที่มีคราบสกปรกเปรอะเปื้อน
เส้นผมสีเข้มไม่ได้รวบอย่างประณีต เพียงมัดเป็หางม้าหลวมๆ ที่ท้ายทอยเท่านั้น แขนยังคงมีรอยแผลถลอกปอกเปิก ส่วนใบหน้าก็มีคราบสกปรกขนาดย่อมๆ
แม้ว่าจะดูน่าอดสู ทว่าร่างกายกลับแผ่กลิ่นไอที่เย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็ง
ไป๋หว่านหนิงเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ นางโบกมือไปมาตรงจมูกด้วยท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ พร้อมกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ ราวกับหากอยู่ใกล้ไป๋เซี่ยเหออีกเพียงเล็กน้อย นางจะแปดเปื้อนด้วยกลิ่นเหม็นอย่างไรอย่างนั้น
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้าช่างหาญกล้านัก คิดไม่ถึงว่าจะกล้าออกจากจวนตามอำเภอใจเช่นนี้!”
การได้เข้าใกล้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยเข้าไปอีกก้าวนั้นถือเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แล้วนางจะยอมแพ้ได้อย่างไร? นิ้วเรียวยาวของไป๋หว่านหนิงชี้ไปทางไป๋เซี่ยเหอ “พูดมา เ้าออกไปมั่วสุมกับบุรุษเสเพลมาใช่หรือไม่?”
แววตาของไป๋เซี่ยเหอนั้นไร้ความกริ่งเกรง ท่าทีของนางดูเฉยเมย ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน “หากคิดจะเล่นงานใคร ไม่ว่าข้ออ้างใดก็ย่อมหามาได้!”
แววตาของไป๋หว่านหนิงฉายแววตกตะลึง จากนั้นนางก็จ้องมองไป๋เซี่ยเหอด้วยความเ็า สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็อัปลักษณ์เล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าเถียงคำไม่ตกฟาก เ้าน่ะกินปูนร้อนท้อง ไม่อย่างนั้นเ้าจะเถียงทำไมกัน!”
ไป๋เซี่ยเหอไม่อนาทรร้อนใจ นางถามกลับอย่างเ็า “ขนาดเวลาที่ราชสำนักพิจารณาโทษ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้แก้ต่าง แล้วน้องสาวคิดจะใช้มือเดียวปิดแผ่นฟ้าอย่างนั้นหรือ?”
ในอดีตไป๋เซี่ยเหอนั้นอ่อนแอไร้ความสามารถ แม้ว่าจะถูกทุบตีจนแทบจะตายทั้งเป็ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงร้องสักแอะ เหตุใดวันนี้ถึงได้กล้าโต้เถียงเช่นนี้? โดนของอย่างนั้นหรือ?
ไป๋หว่านหนิงโกรธจัด คำกล่าวแต่ละประโยคของไป๋เซี่ยเหอเหมือนตบหน้านางทีละฉาดอย่างไรอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่านางแพศยาผู้นี้จะกล้าแข็งข้อกับนาง ในจวนแห่งนี้แต่ไหนแต่ไรมานางกับมารดาว่าอย่างไร ทุกอย่างย่อมเป็อย่างนั้น ใครเล่าจะกล้าไม่พอใจ?
“เ้าไม่ได้กลับจวนมาทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าพูดจาเช่นนี้! รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษข้าเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะป่าวประกาศเื่ที่เ้าไม่ได้กลับจวนทั้งคืนและออกไปมั่วสุมกับผู้บุรุษออกไป เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะดูว่าเ้าจะมีหน้าอยู่ที่จวนแห่งนี้ต่อไปได้อย่างไร!”
ผู้คนในยุคนี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก หากสตรีเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว ก็ไม่แตกต่างจากหนูข้ามถนน นับประสาอะไรกับไป๋เซี่ยเหอที่เป็สตรียังไม่ออกเรือน กอปรกับคู่หมั้นยังเป็ถึงไท่จื่อ หากถ้อยคำระคายหูเช่นนี้ลอยไปถึงวังหลวงละก็ เป็ไปได้ว่านางจะต้องสูญสิ้นชีวิตเป็แน่
ทว่าถึงแม้ไป๋เซี่ยเหอจะคุกเข่าขอโทษและขอความเมตตา และถึงแม้ไป๋หว่านหนิงจะรักษาคำพูดด้วยการไม่แพร่พรายเื่นี้สู่ภายนอก
แต่ด้วยอุปนิสัยของไป๋หว่านหนิง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนทั้งเมืองหลวงย่อมรู้ว่าบุตรีของภรรยาเอกคุกเข่าให้บุตรีของอนุภรรยา เมื่อถึงเวลานั้นไป๋เซี่ยเหอจะมีหน้ายืนหยัดต่อไปได้อย่างไร!
อย่างไรก็ตาม สีหน้าตื่นตระหนกอย่างที่ไป๋หว่านหนิงคาดการณ์ไว้กลับไม่ปรากฏบนใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอเลย นางมีท่าทีสงบนิ่งราวกับสายน้ำ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่จำเป็ต้องให้เ้าป่าวประกาศหรอก เช้านี้มีคนไม่น้อยเห็นข้าไปเก็บยากลับมาจากโรงยา”
หากไป๋หว่านหนิงมีหลักฐานว่านางออกจากจวนไปมั่วสุมกับบุรุษ คงเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองหลวงนานแล้ว นางคงไม่ทำเพียงเอะอะโวยวายหรอก เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งมาที่นี่เมื่อเช้าเท่านั้นเอง
ไป๋เซี่ยเหอคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว
ใบหน้าของไป๋หว่านหนิงมืดมนราวกับหมึก นางโมโหจนหน้าอกแทบจะะเิ จากนั้นก็รู้สึกขุ่นเคืองที่แผนการร้ายของตัวเองล้มเหลว “เ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? บุตรีของภรรยาหลวงแห่งจวนตระกูลไป๋อันมีเกียรติจะไปเก็บยาด้วยตนเองหรือ? เ้าจะให้จวนตระกูลไป๋เอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
หากผู้คนแพร่งพรายเื่นี้ออกไป นางคงไม่มีหน้าไปคบหาสมาคมกับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงอีกต่อไป ช่างเป็ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้องจริงๆ
“หน้าของจวนตระกูลไป๋น่ะหรือ? ข้ายังคิดว่ายามที่จวนตระกูลไป๋ให้อนุภรรยาดูแลจวน ส่วนบุตรีของภรรยาเอกถูกกลั่นแกล้งรังแก จวนตระกูลไป๋ก็ไม่หลงเหลือเกียรตินานแล้วกระมัง?” ไป๋เซี่ยเหอยกมุมปากขึ้น แสดงท่าทีของการเหยียดหยามออกมา ในเมื่อจะต้องถูกอีกฝ่ายทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว นางจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเองอีกทำไม
นางคือเซี่ยเหอผู้เป็ทหารรับจ้างจากยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ที่อ่อนแอไร้ความสามารถ นางเลือกที่จะยืนจนตาย ทว่าไม่ยินยอมคุกเข่าเพื่อเอาชีวิตรอดเป็อันขาด
เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นทันที คุณหนูใหญ่โดนของแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำให้คุณหนูรองเสียหน้า แม้แต่ฮูหยินรองยังถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก
“บังอาจ ตบปากนางจนกว่าหน้าของนางจะเสียโฉม!”
ใบหน้าของไป๋หว่านหนิงแดงก่ำ นางโกรธจนตัวสั่น นึกไม่ถึงว่านางแพศยาคนนี้จะกล้าแข็งข้อกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไป๋เซี่ยเหอกล้าที่จะยั่วยุนางต่อหน้าบ่าวรับใช้ เพราะฉะนั้นนางจะไม่ทุบตีเศษสวะที่ไม่อยากจะมีชีวิตอีกต่อไปคนนี้ให้ปางตาย แล้วค่อยปล่อยให้อีกฝ่ายหิวโหยไม่ได้กินอะไรไปอีกสามวันห้าวันได้อย่างไร!
“เดี๋ยวก่อน!”
------------------------
[1] หวาถัว หมายถึง แพทย์ชาวจีนในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้