มู่เสวียนเย่รู้สึกขบขันนัก น้องสาวของเขาไม่เคยเป็เยี่ยงนี้มาก่อน แม้นางจะเรียกขานเขาว่าพี่ใหญ่ ทว่าก็เพียงทำไปตามมารยาทเท่านั้น มิได้รู้สึกชิดใกล้เช่นในยามนี้
รอยยิ้มจางแต่งแต้มเต็มดวงตาของมู่เสวียนเย่
บุรุษในตระกูลมู่ล้วนเ็า ดังเช่นมู่เอ้าเทียนหรือมู่เสวียนเย่ ฉะนั้นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นนี้จึงงดงามดั่งภาพวาด ทำสาวใช้ฮวาหงและหลิ่วลวี่ตกตะลึง
“พี่ใหญ่ ข้ามีเื่จะคุยกับท่านเ้าค่ะ...”
ฮวาเหยียนพ่นลมหายใจก่อนเอ่ยปาก ท่าทางดูน่าสงสารยิ่ง ดวงหน้าที่งดงามของนางคล้ายจะหลั่งน้ำตาอยู่รอมร่อ ทำให้คนที่มองใจอ่อนยวบ
“หืม มีเื่ใดหรือ? สำคัญหรือไม่? ท่านพ่อกำลังรอพวกเราไปประชุมรวมครอบครัวอยู่...!”
“เอ๋? ประชุมรวมครอบครัว? ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเ้าคะ?”
ฮวาเหยียนกะพริบตาปริบ
นางกับหยวนเป่าถูกความประทับใจเล่นงานจนลืมเลือนเื่สำคัญไปเสียแล้ว
“อืม ทุกคนรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า”
มู่เสวียนเย่กล่าว
“อ้อ เช่นนั้นพี่ใหญ่ พวกเราก็ไปด้วยกันเถิดเ้าค่ะ ข้าและหยวนเป่าไม่เห็นหน้าท่านมาทั้งวัน จึงคิดถึงท่านเป็อย่างยิ่งเ้าค่ะ”
“หืม? ข้าเพิ่งแยกกับหยวนเป่ามาแค่ประเดี๋ยวเดียวเองมิใช่หรือ?”
มู่เสวียนเย่ถามด้วยความสงสัย
ฮวาเหยียนกับหยวนเป่าสบตาและมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร
“เป็ข้าที่คิดถึงพี่ใหญ่เ้าค่ะ...!”
ฮวาเหยียนเหลือบตาจ้องไปที่มู่เสวียนเย่ก่อนเปิดปาก
“ไปกันเถิด เดี๋ยวนี้เ้าช่างออดอ้อนนัก ยังไม่โตพอๆ กับหยวนเป่าเลย”
มู่เสวียนเย่ลูบหัวฮวาเหยียน เขาอุ้มหยวนเป่าขึ้น ก่อนจะจับมือฮวาเหยียนเพื่อเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า
มือของมู่เสวียนเย่ทั้งใหญ่และอบอุ่นนัก สืบเนื่องจากการที่เขาถือดาบมาหลายปี ทำให้ิัชั้นนอกของเขาด้านแข็ง
แสงจันทราสะท้อนสีขาวเงิน รัศมีที่โปรยปรายลงมางดงามราวกับม่านนางฟ้าที่ปกคลุมคนทั้งสามเอาไว้
หัวใจของฮวาเหยียนอบอุ่นขึ้นทุกตารางนิ้ว
พี่ชายใหญ่แห่งตระกูลมู่สามารถทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกปลอดภัยได้อย่างแท้จริง เขามีบุคลิกเยือกเย็นทว่าก็มีด้านที่ละเอียดอ่อน ทั้งมีหัวใจเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ หากผู้ใดได้แต่งงานกับเขาจะต้องมีความสุขมากเป็แน่
ฮวาเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตำแหน่งพี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลมู่นี้ นอกจากมู่เฉิงอินแล้ว นางจะไม่ยอมยกให้ใครอื่นแน่นอน
...
เส้นทางจากลานด้านในไปยังห้องโถงด้านหน้าสั้นเป็อย่างยิ่ง เมื่อรวมกับมู่เสวียนเย่ที่ก้าวเดินฉับไว ส่งผลให้ฮวาเหยียนที่ฟุ้งซ่านเมื่อครู่ยามรู้สึกตัวอีกคราก็มาถึงที่หมายแล้ว
มู่เอ้าเทียนกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ครอบครัวรองทั้งสามคนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นับเป็การประชุมทั้งครอบครัวอย่างแท้จริง
“อาเย่กับอาเหยียน รีบเข้ามาเถิด รอแค่พวกเ้าสองคนแล้ว”
มู่จี้หงเปิดปาก น้ำเสียงดั่งกำลังขับกล่อมบทเพลง ท่าทางคล้ายอารมณ์ดียิ่ง
ผู้ที่นั่งอยู่ข้างเขาคือหลิ่วซื่อ นางยังคงมีสีหน้าที่มองไม่ออกว่ามีความสุขหรือไม่เช่นเดิม มิอาจหาความผิดปกติพบ อาจเพราะนางเคยทะเลาะกับผู้นำตระกูลมู่มาก่อน ในใจจึงกักเก็บอารมณ์เอาไว้ บนใบหน้าของนางไม่ปรากฏรอยยิ้มใด เพียงทักทายอย่างแ่เบา ไม่ได้ร้อนแรงหรือกระตือรือร้นมากนัก
เนื่องจากฮวาเหยียนเคยค้นพบความลับของท่านป้ารองมาก่อน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจึงอดรู้สึกรำคาญในใจมิได้
ในทางกลับกัน ท่านลุงรองมู่จี้หงกลับมีสีหน้าที่ใจดีดั่งคนซื่อ ด้วยรูปลักษณ์ที่สงบเรียบร้อยของเขา
มู่ชิงอวิ้นเองก็ลุกขึ้นมากล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม ราวกับลืมเลือนเื่ที่นางเคยเตะเสี่ยวไป๋มาก่อน นางเดินมาหาฮวาเหยียนด้วยท่าทีอบอุ่น พูดคำดีๆ สองสามคำ และไม่รู้ว่านางสรรหาขนมหวานมาจากที่ใดจึงยื่นให้หยวนเป่าต่อหน้า
“หยวนเป่า นี่ให้เ้าทานนะ”
“ท่านน้าอวิ้น ท่านแม่บอกว่ากินน้ำตาลจะทำให้ฟันผุ ข้าไม่กิน ขอบคุณท่านน้ามากขอรับ”
หยวนเป่ากล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“เช่นนั้นหรือ ไว้คราวหน้าน้าจะนำของอร่อยอื่นมาให้เ้า”
มู่ชิงอวิ้นตอบกลับ
หยวนเป่าพยักหน้า ค้อมตัวขอบคุณและไปนั่งกับฮวาเหยียนตรงที่นั่งถัดจากมู่เอ้าเทียน
“หยวนเป่าน้อย มานี่เถิด มานั่งตรงนี้”
มู่เอ้าเทียนเรียกหยวนเป่าน้อยให้เข้าไปหา พลางรับตัวอีกฝ่ายมาจากอ้อมแขนของมู่เสวียนเย่ ให้เด็กน้อยนั่งบนตักเขา โดยมิได้เก็บซ่อนความรักความเอ็นดูของตนเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะเริ่มพูดเสียที”
มู่เอ้าเทียนจิบชา เขาเหลือบมองมู่เสวียนเย่คราหนึ่ง จากนั้นมองไปที่ครอบครัวรอง ทันใดนั้นจึงเปิดปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“วันนี้ฮ่องเต้เรียกข้าเข้าวัง มีเื่หลักอยู่สองเื่ เื่แรกเกี่ยวข้องกับอาเย่”
มู่เอ้าเทียนกล่าว
ฮวาเหยียนเห็นว่าคิ้วของมู่เสวียนเย่ขมวดเข้าหากันแน่น ท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย
“เื่ราชโองการอภิเษกสมรสหรือขอรับ?”
มู่เสวียนเย่ถาม เขาจำคำที่หยวนเป่าเคยเตือนได้ ซึ่งเป็เื่ที่ติดอยู่ในความคิดของเขาตลอดมา ทว่าเขาไม่มีโอกาสให้เอ่ยถาม ยามนี้เมื่อมู่เอ้าเทียนเป็ฝ่ายเริ่มประเด็น มู่เสวียนเย่จึงถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาตรงๆ
สิ้นคำ สมาชิกทั้งสามของครอบครัวรองก็เงยหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกตะลึงกับคำพูดของมู่เสวียนเย่เป็อย่างยิ่ง
อภิเษกสมรส?
อภิเษกสมรสอันใด?
มู่เอ้าเทียนเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า ด้วยกลัวว่าบุตรชายผู้นี้จะโกรธฮวาเหยียน จึงรีบพูดต่อว่า “ฝ่าาตั้งใจจะให้เ้าเป็ราชบุตรเขยขององค์หญิงใหญ่”
เมื่อได้ยินคำตอบที่แน่ชัด ใบหน้าของมู่เสวียนเย่ก็กลายเป็สีดำดั่งก้นหม้อทันที มือที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นจนกลายเป็กำปั้น
ราชบุตรเขยหรือ? เขามิได้ดีเลิศเช่นนั้น
แต่งงานกับฉู่รั่วหลานหรือ? นั่นย่อมเป็ไปไม่ได้
มู่เสวียนเย่สีหน้าดำทะมึน มิได้เปิดปากกล่าวอันใด แต่กลับได้ยินมู่จี้หงแห่งครอบครัวรองร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “อะไรนะ? อาเย่ของพวกเราจะกลายเป็ราชบุตรเขยแล้วหรือ? นี่นับเป็เกียรติจาก์”
ฮวาเหยียน “...!”
หยวนเป่า “...!”
มู่เสวียนเย่ “...!”
มู่เอ้าเทียน “...!” ทุกคนล้วนพูดไม่ออก ลุงสอง เ้าช่วยไปอาบน้ำนอนก่อนได้หรือไม่
สืบเนื่องจากคำพูดของมู่เสวียนเย่ บรรยากาศในห้องโถงจึงเงียบสนิทลงทันที เพราะไม่มีผู้ใดกล่าวต่อ
แต่มู่จี้หงกลับไม่ได้สังเกตถึงความกระอักกระอ่วนนี้เลยแม้แต่น้อย เขาตบเข้าที่ต้นขา ดูมีความสุขและตื่นเต้นยิ่ง “ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อตระกูลมู่ของเราดียิ่ง ถ้าอาเย่กลายเป็ราชบุตรเขย เช่นนั้นท่านพี่ก็จะได้ดองกับราชวงศ์อย่างแท้จริงแล้ว”
เมื่อพูดถึงการดองกับราชวงศ์ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ฮวาเหยียนส่ายหน้า ท่านลุงรองผู้นี้สมองกลวงเหลือเกิน สายตาไม่กว้างไกล ทั้งไม่เก่งในการอ่านสีหน้าคนเลยจริงๆ เขาไม่เห็นใบหน้าของพี่ใหญ่ที่ดำทะมึนราวกับก้นหม้อหรือ พี่ใหญ่แสดงท่าทีไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ จิตใจท่านลุงรองยังยินดีจนโบยบิน ช่างโง่เง่าเหลือทนเสียจริง
“น้องรอง นั่งลงเถิด เ้าหาได้มีความสงบสักนิดไม่”
มู่เอ้าเทียนถอนหายใจเสียงเบา มู่จี้หงจึงระงับความตื่นเต้นของตนและสงบใจนั่งลง
“พี่ใหญ่ ท่านตอบไปว่าอย่างไร?”
“ข้าปฏิเสธไปแล้ว!”
มู่เอ้าเทียนตอบ
“หา? ปฏิเสธไปแล้ว เหตุใดจึงปฏิเสธเล่า? โอกาสดีเช่นนี้...”
มู่จี้หงยังคง้าพูดต่อ แต่เมื่อถูกสายตาอันเฉียบคมของมู่เอ้าเทียนเหลือบมองมา เขาจึงนั่งลงอย่างไม่ใคร่เต็มใจ “ฮ่องเต้เพียงถามความเห็นของเปิ่นหวางเท่านั้น ยังมิได้มอบราชโองการอภิเษกสมรสลงมา อีกทั้งอาเย่กับแม่นางมู่ก็เจรจาเื่งานแต่งกันแล้ว กระทั่งรวมอักษรแปดตัวก็ทำแล้วเช่นกัน ทั้งสองเป็คู่แท้์สร้าง ตราบใดที่ตัดสินใจเื่การสมรสครั้งนี้ไปแล้ว ย่อมถือว่าสองฝ่ายได้พูดคุยตกลงกัน และอาเย่เองก็พึงใจในตัวแม่นางมู่ ดังนั้นเขาย่อมมิอาจรับเกียรติเป็ราชบุตรเขยนี้ได้
ตระกูลมู่ของพวกเรามิใช่พวกประจบหรือฝักใฝ่ในอำนาจ อีกทั้งตระกูลของแม่นางมู่ยังเป็ตระกูลนักปราชญ์ที่อยู่มานานนับร้อยปี หากได้เจรจาเื่งานแต่งจนลุล่วง ย่อมเป็คู่บ่าวสาวที่เหมาะสมทั้งฐานะและวงศ์ตระกูล”
ดวงตาสง่างามของมู่เอ้าเทียนเหลือบมองไปยังมู่จี้หง
มู่จี้หงกลืนน้ำลาย ไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ
เมื่อฮวาเหยียนได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึงของมู่เอ้าเทียน ใจของนางที่เต้นแรงด้วยความตระหนกก็บางเบาลงได้ครึ่งหนึ่ง คำที่นางเอ่ยกับท่านพ่อก่อนเขาจะเข้าวังถือเป็การกันไว้ดีกว่าแก้ แต่นางไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ ท่านพ่อเชื่อคำพูดของนางอย่างหมดหัวใจ เชื่อว่ากุญแจทองคำนั้นเป็แม่นางมู่ตั้งใจมอบให้กับพี่ใหญ่ มิฉะนั้นหากท่านพ่อตกปากรับคำเื่ราชโองการอภิเษกสมรส แล้วเื่ราวของพี่ใหญ่กับแม่นางมู่จะดำเนินต่อไปเช่นใดเล่า?
“ทว่าตระกูลมู่จะต่อกรกับราชวงศ์ได้อย่างไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้