เย่เฟิงพึมพำในใจด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม
เขาทำจิตให้มั่นคง จากนั้นไปััพลังดั้งเดิมที่สุดนั่นที่อยู่ในหลิงหยวนดั้งเดิม ซึ่งด้วยพลังของหยดน้ำสีเขียวที่มอบให้เขา เย่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองลงทุนลงแรงไปน้อยมาก
สิบปีมานี้ เขาต้องทนกับความอัปยศอดสู ถูกผู้คนหัวเราะเยาะที่มีพลังไร้ค่า ถูกตระกูลหนานกงเนรคุณ ซ้ำยังถูกเฉินอ้าวเทียนมองเห็นเป็มดแมลงที่ด้อยค่า
ความรู้สึกทุกอย่างในนาทีนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็แรงผลักดันของเย่เฟิง
สงบเสงี่ยมมานับสิบปี ในที่สุดก็ปะทุออกมา หลิงหยวนดั้งเดิมวิวัฒนาการ จากนั้นเย่เฟิงเพ่งจิตออกไป
ท้องฟ้าผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก มีเพียงดวงดาวที่อาศัยอยู่ ไร้ซึ่งวัตถุใด ๆ
เย่เฟิงทอดมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว เหมือนกับว่ามีพลังสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขา
สายตาของเขามองทะลุอากาศ ลึกเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เขาราวกับเห็นการวิวัฒนาการของดาว จักรวาลหมุนโคจร จากนั้นเย่เฟิงเข้าสู่สภาวะการเรียนรู้
ภายในหัวมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ท่ามกลางท้องฟ้าก็คล้ายมีประตูดวงดาวบานหนึ่งค่อย ๆ เปิดออก พร้อมกับมีแสงจ้า
เงาประตูดวงดาวสะท้อนในดวงตาของเย่เฟิง แต่จากนั้นมันเข้าไปในร่างกายของเย่เฟิง ทำให้ภายในร่างกายของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ราวกับสร้างขึ้นใหม่ก็ไม่ปาน
“ประตูิญญา จงเปิด!”
ดวงตาของเย่เฟิงเปล่งแสงจ้า เขาแผดเสียงคำราม รู้สึกได้ถึงความราบรื่นของเส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้น จากนั้นมีประตูบานหนึ่งถูกเปิดขึ้นภายในร่างกาย ประตูบานนี้ก็คือประตูิญญาของเขา
“ประตูบ่มเพาะของข้าเปิดออกแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะมีิญญาาของตัวเอง!” เย่เฟิงพึมพำในใจ แสงประหลาดโคจรรอบกาย จากนั้นบีบจิตสำนึกของตัวเองให้เข้าสู่ประตูิญญา
ประตูิญญาแสนกว้างขวางราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังมีเงามายาปรากฏอยู่มากมาย
ประเภทสัตว์อสูร “เสือ วานร แรด กระเรียนขาว...”
ประเภทอาวุธ “มีด หอก ดาบ ทวน...”
ทั้งยังมีเงาิญญาาประเภทพิเศษอยู่บางส่วน
อย่างไรก็ตาม ประเภทของเงาิญญาาที่อยู่ภายในประตูิญญามีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบล้าน ประหนึ่งดวงดาวบนเก้าชั้นฟ้า
“น่ามหัศจรรย์นัก!” เย่เฟิงอุทานด้วยความประหลาดใจ นี่เป็ครั้งแรกของเขาที่ได้ัักับการปลุกิญญาา ไม่นึกว่าจะอลังการเพียงนี้
เขารู้ว่าการใช้จิตสำนึกของตัวเองสื่อสารกับเงาเหล่านี้ จะสามารถปลุกิญญาาได้
มีเงาหมีเทาตัวหนึ่งอยู่ใกล้จิตสำนึกของเย่เฟิงที่สุด และยังมีแสงสีแดงโคจรรอบร่างของมัน
“ิญญาาหมีเทาขั้นแดง พลังที่มอบให้ผู้ฝึกยุทธ์มันน่าทึ่งมาก ทั้งยังมีพลังป้องกันที่กล้าแกร่ง หากข้าปลุกิญญาานี้ ก็คงผ่าหินก้อนใหญ่ได้ง่ายดาย”
เย่เฟิงตาทอประกาย จากนั้นบีบให้จิตสำนึกของตัวเองเดินหน้าต่อ
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าิญญาาแบ่งเป็ 7 ขั้น ซึ่งมีดังนี้ “แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม ฟ้า ม่วง”
ิญญาาขั้นแดงอ่อนแอที่สุด จึงไม่เพียงพอต่อความ้าของเย่เฟิง
“ิญญาาสิงโตขั้นส้ม หากปลุกิญญาาประเภทนี้ จะทำให้พลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์กล้าแกร่งขึ้นหลายเท่า ส่วนพลังต่อสู้จะยิ่งทวีคูณ”
เย่เฟิงยิ้ม ขณะนั้นยังคงไม่หยุดคิด จากนั้นจิตสำนึกลอยออกไปจากด้านนี้
ิญญาาสิงโตไม่เหมาะกับเขา
“ิญญาาดาบยาวขั้นเหลือง ดาบแหลมคม พลังโจมตีล้ำเลิศ หากนักดาบเป็ผู้ใช้จะยิ่งสำแดงฤทธิ์ได้ดี”
เย่เฟิงครุ่นคิดในใจ ในอาณาจักรจ้าว ผู้ที่สามารถปลุกิญญาาขั้นเหลืองได้ จะถือว่าเป็อัจฉริยะที่น่าทึ่ง
ทว่าเขาไม่เชี่ยวชาญในเื่ดาบ ดังนั้นจึงไม่สนใจ
จิตสำนึกของเย่เฟิงล่องลอยไปต่อ พลังิญญาภายในประตูิญญาก็ไม่ได้ผูกมัดเขา จิตสำนึกของเขาจึงเข้าสู่เขติญญาาขั้นเขียว
ที่ด้านหน้ามีเงาหงส์ปลดปล่อยเพลิงลอยอยู่ตรงนั้น รอบกายเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของหงส์ที่ไร้สิ้นสุด
เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อยขณะมองไปทางด้านนั้น
“ิญญาาหงส์ขั้นเขียว หนานกงหลิงซวงก็ปลุกิญญาาระดับนี้ ขั้นเขียวคือขั้นที่ 4 ของิญญาา แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้!” เย่เฟิงพึมพำในใจ ใครที่ปลุกิญญาาขั้นเขียวได้ก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนหนานกงหลิงซวง
แต่เขาเย่เฟิงดูดซับพลังจากหยดน้ำสีเขียวเพื่อเพิ่มพูนพลังแล้ว จะด้อยกว่าหนานกงหลิงซวงหรือไม่?
สำหรับเย่เฟิงแล้ว ิญญาาขั้นเขียวยังไม่เพียงพอ เขากระตือรือร้นในการปลุกิญญาาอย่างมาก จึงกัดฟันเดินหน้าต่อไป
ขณะนั้นมีแรงดันิญญาที่น่าสะพรึงกลัวเข้ากดดันจิตสำนึกของเย่เฟิงอย่างต่อเนื่อง
ทว่าผ่านการบำรุงจากหยดน้ำสีเขียว จิตสำนึกของเย่เฟิงจึงเปลี่ยนไปทรงพลังขึ้น ผ่านแรงกดดันหลายชั้น จนในที่สุดเขาก็มาถึงเขติญญาาขั้นคราม
เงาิญญาาขั้นครามแต่ละประเภทปรากฏที่เบื้องหน้าเขา พลังน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ไม่ใช่ิญญาาสี่ขั้นก่อนหน้าจะเทียบเคียงได้
“เทพวานร คชสารั์ ขวาน พิณ” สิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนอยู่ขั้นา
“ิญญาาเหล่านี้แม้จะแกร่งมาก แต่ก็ดูยังไม่เหมาะกับข้า”
เย่เฟิงสงบสติอารมณ์ จากนั้นสายตาไปหยุดอยู่ที่เงาร่างหนึ่งที่อยู่ใจกลางเขตแดน
เงานี้คือัั์ มีปราณัรายล้อมร่างอันใหญ่โต ดูน่าเกรงขามอย่างมาก
“ิญญาาเทพัขั้นคราม!”
เย่เฟิงตะลึงงัน เผ่าันั้นคือชนชั้นสูงในหมู่สัตว์อสูร ิญญาาเทพัยังเป็าาในหมู่ิญญาาประเภทสัตว์อสูร มีพลังกลืนกิน สามารถกลืนกินได้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีพลังที่น่ากลัวอย่างมาก
“พลังกลืนกิน เหมาะกับลักษณะของไข่มุกนั่นพอดีเลย เลือกมันนี่แหละ!” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นจิตสำนึกลอยไปหาเงาัั์นั่น
ทันทีที่จิตสำนึกของเขาลอยเข้าไปใกล้เงานั่นก็ถูกปราณัเข้าปกคลุม เย่เฟิงทำจิตให้มั่นคง ก่อนจะไปสื่อสารและไปัั
ครู่ต่อมา เย่เฟิงก็เข้าสู่สภาวะเรียนรู้เต็มรูปแบบ
เวลาหนึ่งก้านธูป จิตสำนึกของเย่เฟิงก็เชื่อมต่อกับเงาัั์ได้ และด้วยการเชื่อมต่อนี้ เย่เฟิงจึงลองให้จิตสำนึกของตัวเองผสานกับเงาัั์
ขั้นตอนการผสานดำเนินไปอย่างเนิบช้า เย่เฟิงไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่นิดเดียว พลังจิตเทพก็ถูกปล่อยถึงขั้นสูงสุด
ขณะเดียวกัน พลังของหยดน้ำสีเขียวในกายก็ถูกปลดปล่อยออกมาต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเย่เฟิง
ผ่านไปสองชั่วยาม แสงส่องระยิบระยับ ในที่สุดจิตสำนึกของเย่เฟิงก็ผสานเป็หนึ่งกับเงาัั์
นาทีต่อมา พลังหยวนมหาศาลไหลผ่านเส้นลมปราณ หลอมรวมกับประตูิญญา จากนั้นมีแสงพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง ผ่านหน้าต่างในคุกใต้ดิน แล้วพุ่งขึ้นฟ้า
แสงจ้าโคจรรอบกายเย่เฟิงต่อเนื่อง ปราณัที่น่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อย พลันมีเงาัั์ปรากฏที่ด้านหลังเย่เฟิงเลือนราง จากนั้นมันค่อย ๆ ชัดเจนมีตัวตน แล้วบินรอบตัวเย่เฟิง
นี่คือัั์สีครามอ่อน มีปราณัที่กล้าแกร่ง ในนั้นแฝงด้วยความน่าเกรงขามของเทพั ต่อหน้ามัน ทุกอย่างต้องยอมศิโรราบ
เงาเทพัสีครามอ่อนปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง บนท้องฟ้า สาดส่องแสงสู่พื้นดิน จุดประกายแสงสว่างในท้องฟ้ายามราตรีของเมืองโยวโจว
“ดูนั่น ดูเหมือนจะมีคนปลุกิญญาาระดับสูงได้! ดูจากลักษณะแล้ว อาจเป็ิญญาาขั้นเขียว!”
เหล่าผู้คนต่างเงยหน้ามองเงาเทพับนท้องฟ้าด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่นั่นอาจเป็ตำแหน่งของตระกูลหนานกง” มีคนหนึ่งกล่าวขณะชี้ไปยังตำแหน่งที่ลำแสงพุ่งขึ้น
“ตระกูลหนานกง? ใครกันที่ปลุกิญญาาครั้งนี้? หรือจะเป็หนานกงหลิงซวง? นางปลุกิญญาาที่สอง? หรืออาจเป็หนานกงหลิงยวี่บุตรสาวของหนานกงเฉิน?”
“หากเป็เช่นนั้น ตระกูลหนานกงคงรุ่งเรืองอย่างแท้จริง”
ผู้คนต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา พวกเขานึกถึงหนานกงหลิงซวงที่เพิ่งปลุกิญญาาหงส์ กระทั่งนึกถึงน้องสาวของหนานกงหลิงซวง หนานกงหลิงยวี่
แต่ทุกคนหารู้ไม่ว่า ผู้ที่ปลุกิญญาาเทพันี้ได้ก็คือเย่เฟิง ผู้ถูกผู้คนเยาะเย้ยว่าเป็คนไร้ค่า
บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่นอกเมืองโยวโจว เยว่กู่ยืนมือไพล่หลัง แววตาเฉียบคมขณะทอดมองเงาเทพับนฟ้า กล่าวว่า “ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าตอนที่หนานกงหลิงซวงปลุกิญญาาหงส์ ในที่สุดคนที่ข้าตามหาก็ปรากฏตัวแล้ว!”
กล่าวจบ เยว่กู่กะพริบร่าง ก่อนจะหายตัวไป
พลันมีเสียงะเิดังจากคุกใต้ดินของตระกูลหนานกง พลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวส่งเสียงคำรามทะลวงผ่านประตูคุก ทันทีที่ทหารยามสองนายมาถึงที่นี่ก็ต้องตกตะลึงจนหมดสติไป
เย่เฟิงค่อย ๆ เก็บพลัง ขณะมองทหารยามสองนายที่ใจนเป็ลมไปก็ค่อยๆ แสยะยิ้ม
“ข้าบรรลุขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 แล้ว ทั้งยังปลุกิญญาาเทพัขั้นครามได้อีก ไม่รู้ว่าพละกำลังจะแกร่งกว่าก่อนหน้าเท่าไร” เย่เฟิงคิดในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
ตระกูลหนานกง้าฆ่าเขา เช่นนั้นเขาก็ต้องออกไปจากที่นี่ก่อน
เย่เฟิงเดินออกจากคุกใต้ดิน เดินทอดน่องท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี จนกระทั่งไปถึงหอศัสตราวุธของตระกูลหนานกง
เย่เฟิงซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง พลางคิดในใจว่า “อาวุธที่ท่านพ่อเคยใช้ในสนามรบก็อยู่ที่นี่ ข้ารับไปเสียจะดีกว่า”
บิดาของเย่เฟิงเคยเป็แม่ทัพของอาณาจักรจ้าว มีชื่อเสียงโด่งดัง ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตระกูลเย่ถึงล่มสลายในชั่วข้ามคืน
ดังนั้นเย่เฟิงจึงมาที่ตระกูลหนานกง แต่ตอนนั้นในเงื่อนไขที่ตระกูลหนานกงรับเลี้ยงเขาก็มีอาวุธชิ้นนี้ด้วย
เห็นทหารยามสองนายหลับตาสนิท เย่เฟิงก็แสยะยิ้มคล้ายเย้ยหยันในความหละหลวมของการป้องกันของตระกูลหนานกง
เย่เฟิงเดินออกไป เขาในระดับขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 จึงเคลื่อนไหวได้ว่องไวราวกับภูตผีที่ล่องลอยในหอศัสตราวุธ
ภายในหอได้เก็บอาวุธไว้มากมาย มีหลากหลายประเภท มีดหอกดาบทวนล้วนมีหมด
“วี้ด ครืน!”
เย่เฟิงเพิ่งผ่านเข้าประตูก็ได้ยินเสียงอาวุธเริงระบำจากในนั้น
เย่เฟิงมองไปทางนั้น ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่ใจกลางหอ
เย่เฟิงรู้จักคนผู้นี้ ซึ่งก็คือเซียวเจี๋ยลูกพี่ลูกน้องของหนานกงหลิงซวง เมื่อวานที่แท่นบูชา เซียวเจี๋ยยังดูถูกเย่เฟิงอยู่เลย
ขณะนั้นสิ่งที่อยู่ในมือของเซียวเจี๋ยที่เป็อาวุธชิ้นหนึ่งกำลังร่ายรำและก่อให้เกิดพายุโหม
รอบตัวของเซียวเจี๋ยมีอาวุธทุกชนิด ในนั้นมีหอกเล่มหนึ่งสีเงินที่ดูสะดุดตาเป็พิเศษ
“หอกัเงินประกาย!”
เย่เฟิงตาทอประกาย รู้สึกใจเต้นแรง นั่นคืออาวุธที่บิดาเขาเคยใช้ เมื่อเห็นหอกเล่มนี้ก็ราวกับเห็นบิดาผู้ให้กำเนิด
“คือเ้า เย่เฟิง!”
ขณะนั้นเซียวเจี๋ยเห็นเย่เฟิง เขาจึงหยุดสิ่งที่ทำ หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ขยะอย่างเ้าไม่ใช่ว่าถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินหรอกหรือ? ทำไมมาที่นี่ได้? หรือมารนหาที่ตาย?”
“พล่ามอะไรไร้สาระ ข้าแค่มาเอาของของข้าแล้วจะออกไป พวกเราก็ต่างคนต่างอยู่”
เย่เฟิงไม่รู้สึกโกรธ เวลามีค่า เขาไม่อยากเสียเวลากับเซียวเจี๋ย
เซียวเจี๋ยเหยียดยิ้มเยือกเย็น กล่าวว่า “ต่างคนต่างอยู่งั้นหรือ? ขยะอย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า? แม้ตอนนี้ข้าเซียวเจี๋ยจะฆ่าเ้าได้ แล้วเ้าจะทำอะไรได้?” เสียงของเซียวเจี๋ยแฝงด้วยความหยิ่งผยองราวกับว่าเย่เฟิงเป็เหยื่อของเขา ที่เขาคิดอยากฆ่าก็ฆ่า
“กำจัดข้า? เ้าทำได้หรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ในแววตาแฝงด้วยความเหยียดหยามเซียวเจี๋ย เขาในตอนนี้ไม่ใช่เย่เฟิงคนเดิม แล้วจะยอมให้เซียวเจี๋ยรังแกได้อย่างไรเล่า
เซียวเจี๋ยเผยแววตาดุดัน มองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “ก็แค่เศษขยะคนหนึ่ง ทำไมข้าเซียวเจี๋ยจะกำจัดไม่ได้?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้