“เหอะๆ แน่นอนว่าผมเป็คน และก็ยังมีชีวิตอยู่ เื่ที่นี่คุณจัดการให้เรียบร้อยล่ะ ผมให้เวลาคุณอีกสามวัน คุณจะต้องจัดการแก้ไขให้เป็ที่น่าพอใจสำหรับผม ไม่อย่างนั้นครอบครัวของคุณก็จะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล”
เจียงไป๋หัวเราะเสียงดัง แต่ไม่ได้จะฆ่าจางฉางเกิงอย่างที่ทุกคนคิด และก็ไม่ได้ลงมือกับเขา เพียงใช้มือตบเบาๆ จนล้มลงกับพื้น ทำให้ใบหน้าใหญ่ๆ ที่แก่หง่อมของจางฉางเกิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แล้วเจียงไป๋ก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
“รอ … รอฉันด้วย … ”
พวกฉวีเจี๋ยที่ได้สติเมื่อเห็นเจียงไป๋จะจากไปก็เพิ่งรู้สึกตัว ในระหว่างที่ฉวีเจี๋ยะโเสียงดัง ลูกน้องสิบกว่าคนก็ตามฉวีเจี๋ยที่วิ่งไปทางเจียงไป๋ด้วยสายตาที่คลั่งไคล้
เื่ราวก็จบลงไป่หนึ่งแล้ว หลินหว่านหรูถูกส่งตัวกลับไปยังมหาวิทยาลัยในเย็นวันนั้น ส่วนเจียงไป๋ก็กลับมาถึงบ้านอย่างราบรื่น เหมือนกับว่าไม่เคยมีเื่อะไรเกิดขึ้นเลย
แต่เื่นี้ก็ไม่ได้สงบลงเสียทีเดียว
ความจริงแล้ว หลังจากที่เจียงไป๋คนเดียวสามารถจัดการคนสองร้อยกว่าคน มือปืนสิบกว่าคน ยอดฝีมือวูซูจีนสิบกว่าคน และปรมาจารย์วูซูจีนอีกหนึ่งคนไปได้ เื่นี้ก็ไม่มีทางปิดได้ และก็ไม่มีทางทำให้ผู้คนสงบได้
ก่อนเย็นวันนั้น คนที่อยู่ข้างกายเ้าพ่อจ้าวก็โผล่เข้ามาที่บ้านกลางดึกโดยไม่ได้สนใจร่างกายที่อ่อนล้าของเ้าพ่อจ้าว เขานำเื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาเล่าให้จ้าวอู๋จี๋ฟัง และหลังจากที่ฉวีเจี๋ยส่งเจียงไป๋แล้วเขาก็เดินเข้าไปยังลานบ้านในชนบทที่ไม่เคยกลับเข้าไปมาห้าปีแล้ว
แค่สองชั่วโมง คนที่มีความสัมพันธ์ หรือมีเส้นสายสักหน่อยในเทียนตูก็รู้เื่นี้กันหมดแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ เทียนตูในฐานะหัวใจสำคัญทางเศรษฐกิจของหัวเซี่ย และเมืองแห่งนานาชาติล้วนมีการติดต่อกับทั่วราชอาณาจักร ข่าวนี้มีผู้คนรับรู้โดยผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย แต่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็เื่คุยโวเท่านั้น ไม่มีใครเชื่อว่าคนคนเดียวจะสามารถทำได้ถึงขั้นนั้น นี่เป็เื่เหลวไหลชัดๆ
เื่ราวที่เล่าลือกันทั่วบ้านทั่วเมืองผู้าุโก็ล้วนเห็นมามาก และก็ไม่คิดว่าจะเป็เื่จริง แค่จำไว้เพียงว่าเทียนตูมีคนแกร่งคนหนึ่งชื่อเจียงไป๋ ต่อสู้เก่งมาก สงสัยว่าน่าจะเป็ปรมาจารย์วูซูจีนคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ทั้งประเทศแล้ว ปฏิกิริยาของทั้งเทียนตูก็มีความแตกต่างออกไป
ถึงอย่างไรครั้งนี้จางฉางเกิงก็ทำให้เป็เื่ใหญ่ไปแล้ว คนมากมายต่างก็รู้เื่นี้ โดยเฉพาะคนที่เข้าร่วมมีสองร้อยกว่าคน เสียงจากปากของคนจำนวนมากย่อมทำให้เื่ถูกกลายเป็ผิดได้ ถึงแม้จะยังคงทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกคาดไม่ถึง แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็ยอมรับผลการต่อสู้อันกล้าหาญที่เจียงไป๋คนเดียวสู้กับคนสองร้อยกว่าคนได้ เื่นี้ทำให้ชื่อเสียงของเจียงไป๋โด่งดังขึ้นมาทันที เศรษฐีใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างก็กำชับคนข้างกายให้พวกเขาอย่าไปยั่วยุเจียงไป๋เด็ดขาด
ชื่อของเจียงไป๋ดังกระฉ่อนไปทั้งเทียนตูเป็ครั้งแรก แม้แต่พวกฉวีเจี๋ยก็ล้วนมีชื่อเสียงตามไปด้วย ถึงแม้ไม่มีข้อดีที่แท้จริง แต่ในภายนอกชื่อเสียงนี้ก็คือข้อดีที่แท้จริง แค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น
“แค่ก แค่ก แค่ก … เป้าจื่อที่นายพูดมาล้วนเป็เื่จริง? ข่าวเชื่อถือได้ไหม?”
่กลางดึก จ้าวอู๋จี๋ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนล้าฟังรายงานของลูกสมุนที่จงรักภักดีที่สุดของตนเองอยู่ เขาไอไม่หยุด และฝืนลุกนั่ง พลางถามอย่างจริงจัง
คนที่เข้าใจเขาต่างก็รู้ว่า หลายปีแล้วที่จ้าวอู๋จี๋ไม่ได้เกิดอาการอย่างนี้
“เชื่อถือได้ครับ! คนที่ไปกับจางฉางเกิงในครั้งนี้มีคนของเราด้วย ทั้งสามคนล้วนเห็นมากับตา และพูดเป็เสียงเดียวกัน โดยเฉพาะผมก็เข้าใจสถานการณ์ของคนอื่นๆ แล้ว ต่างก็พูดเป็เสียงเดียวกัน จึงไม่น่าผิดพลาดครับ”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างจริงจัง
ในฐานะลูกสมุนมือขวาที่จงรักภักดีที่สุดของจ้าวอู๋จี๋ เขาที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้ว เวลานี้ก็ยังหวั่นเกรง
เขากับโจวชื่อหลงเป็ยอดฝีมือมวยหงฉวนเหมือนกัน เขาฝึกฝนกระบองอู่หลางแปดทิศ ทั้งด้านกำลังก็ยังเหนือกว่าโจวชื่อหลง ทั้งสองคนเคยต่อสู้กันมาถึงสองร้อยกระบวนท่า กว่าเขาจะเอาชนะได้
ก็เพราะอย่างนี้ เขายิ่งเข้าใจว่าปรมาจารย์วูซูจีนที่แท้จริงที่ซัดโจวชื่อหลงจนปลิวคนนั้นต้องมีพลังที่น่ากลัวมากเท่าไร และยิ่งเข้าใจว่าแค่ยี่สิบสามสิบวินาทีซัดคนสองร้อยกว่าคนจนหมอบได้นั้นมันคืออะไร แต่สำหรับการรับลูกะุมือเปล่าก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่ามีคนทำได้เหมือนกัน
“ปรมาจารย์ใหญ่?” เงียบไปชั่วขณะ จ้าวอู๋จี๋ก็เงยหน้าถาม
“เกรงว่าจะไม่ใช่แค่นี้ น่าจะเหนือกว่าปรมาจารย์ใหญ่ อาจารย์ของฉวีเจี๋ยท่านนั้นก็ว่าเหมือนกับปีศาจแล้ว เื่ที่รับลูกะุมือเปล่าท่านก็ทำได้ แต่ให้ล้มคนสองร้อยกว่าคนภายในเวลายี่สิบสามสิบวินาทีนั้น ในนี้ยังรวมถึงปรมาจารย์อีกหนึ่งคน เขาก็ทำไม่ได้หรอก หากเป็เขาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเป็ต้นไป และเกรงว่าผลที่ออกมานั้นก็คงจะบอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย ถึงจะชนะ ก็ต้องทุ่มเทเป็อย่างมาก”
เขาเงียบไปสักพัก ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หวางเป้าจะไม่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้
“แค่ก แค่ก แค่ก … เหนือกว่าปรมาจารย์ใหญ่? ไม่ใช่ว่า ปรมาจารย์คือขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วหรือ? ทั้งหัวเซี่ยก็มีปรมาจารย์แค่สามท่าน เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเชียว?”
จ้าวอู๋จี๋จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“ยี่สิบสามครับ ตามการสืบของผมน่าจะยี่สิบสาม น่าจะไม่ได้ปลอมแปลง แต่หากถึงขั้นตำนานจริงๆ ก็มีแค่ขั้นที่เขียนไว้ในบันทึก ไม่ใช่ว่ามนุษย์จะอนุมานได้ คำเล่าลือในยุคโบราณมียอดฝีมืออายุแปดสิบกว่า หนวดผมดำขลับ โฉมหน้าอ่อนละมุนราวกับเด็ก นี่ผม … ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ”
หวางเป้าหน้าแดงและก็สับสน ในน้ำเสียงมีความหวาดกลัว ความสงสัย และความไม่มั่นใจ ในฐานะปรมาจารย์คนหนึ่ง นี่ไม่น่าจะเป็อาการที่จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาได้
“เดิมทีฉันคิดว่าเขาก็แค่กล้าบ้าบิ่นเฉยๆ ถึงจะให้ความสำคัญไปหน่อย ก็รู้สึกว่าหากเขาสามารถผ่านด่านนี้ได้ก็ถือว่าเป็ผู้มีความสามารถที่จะปลุกปั้นได้ อีกสองสามปีข้างหน้าไม่แน่ว่าจะเป็ัที่อยู่ในวงการตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูแล้ว … ไม่ต้องรออีกสองสามปีข้างหน้าหรอก ตอนนี้ก็เป็ัั์ปริศนาตัวหนึ่งแล้ว แค่ยื่นกรงเล็บออกมาก็ะเืไปทั่ว นายไปเถอะ จัดการสักหน่อย เขาไม่ใช่ว่าให้จางฉางเกิงชดใช้ให้หรือ บอกจางฉางเกิง ฉันจะออกหน้าเป็คนกลางให้ เชิญอาจารย์ของฉวีเจี๋ยมาเป็พยานด้วย พวกเราไปพบัยอดฝีมือคนนี้ด้วยตัวเองเถอะ”
“ครับ … ”
ทั้งเทียนตูสั่นะเืเป็อย่างยิ่ง เพียงไม่นานเจียงไป๋ก็มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่ว แต่สำหรับเื่นี้เขากลับไม่รู้อะไรเลย และก็ไม่ได้สนใจ เพราะเวลานี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงที่มาจากระบบอย่างเงียบๆ
“ยินดีด้วย หนุ่มน้อย ชื่อเสียงของเ้าดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเทียนตูแล้ว ชื่อเสียงของเ้าทำให้กลุ่มผู้มีอำนาจในเทียนตูหวั่นไหว ทั้งยังทรมานจางเทียนอั๋ง โค่นล้มจางฉางเกิง ซัดปรมาจารย์และคนอีกนับร้อยคน เ้าได้สยบกลุ่มผู้มีอำนาจ สำเร็จภารกิจสร้างบารมีอย่างต่อเนื่อง รางวัลแต้มบารมีหนึ่งหมื่นสองพันแต้ม!”
แค่ครั้งเดียวได้รับแต้มบารมีหนึ่งหมื่นสองพันแต้ม นี่คือรางวัลใหญ่ที่สุดั้แ่เคยได้รับมาของเจียงไป๋ ทำให้เขารู้สึกดีใจสุดๆ
ตั้งหนึ่งหมื่นสองพันแต้ม …
ก่อนหน้านี้ตอนที่กลับมา เจียงไป๋ที่ยังเ็ปรวดร้าวกับความรู้สึกที่ใช้สองพันแต้มจับรางวัล แต่เวลานี้กลับตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
แต่ไม่นานเจียงไป๋ก็เหมือนกับถูกสาดน้ำเย็นใส่ เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว ความตื่นเต้นเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว เขาอดร้องไห้ไม่ได้ เพราะเสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้ง
“เนื่องด้วยผลลัพธ์ที่เ้าได้มาเป็ใน่ที่ใช้การ์ดเทพา รางวัลจะลดลงครึ่งหนึ่ง”
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้รางวัลลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต้มบารมีหนึ่งหมื่นกว่ากลับเหลือเพียงหกพันไปเสียได้ เจียงไป๋จึงอดที่จะต่อว่าไม่ได้
ยังดีที่แค่ลดลงครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ทำให้หมดไป หกพันแต้มก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
เื่นี้ทำให้เจียงไป๋ต่อว่าและบ่นพึมพำอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรมาก เพราะเขากำลังถูกอีกเื่หนึ่งดึงความสนใจไปแทน
เจียงไป๋พบว่าเมื่อบวกกับสามพันแต้มที่ตนเองใช้ไปก่อนหน้านี้ และแต้มบารมีหลายร้อยแต้มที่เหลืออยู่ รวมแล้วเขามีแต้มบารมีสามพันสี่ร้อยกว่าแต้ม บวกกับหกพันแต้มในครั้งนี้ ก็ขาดแต้มบารมีอีกแค่สองสามร้อยแต้มเท่านั้น เขาก็จะมีแต้มบารมีรวมหนึ่งหมื่นแต้มแล้ว
หากสะสมแต้มบารมีครบหนึ่งหมื่นแต้มก็จะได้จับรางวัลระดับกลางฟรีหนึ่งครั้ง …
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เจียงไป๋ก็อดที่จะร้อนรนไม่ได้ เขาโยนอาการไม่พอใจก่อนหน้านี้ทิ้งไปด้านหลังหมดแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้