ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของมู่ชิงอวิ้น เสียงชัดแจ๋วของหยวนเป่าพลันดังขึ้น
มู่ชิงอวิ้นเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหาร ดวงตาทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ นางสูดจมูก "พี่หญิงแพ้กุ้งหรือเ้าคะ? เป็เื่ั้แ่เมื่อใดกัน? แต่ก่อน พี่หญิงโปรดปรานกุ้งมากที่สุดนะเ้าคะ? "
ใบหน้าของมู่ชิงอวิ้นเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ นางเอ่ยอย่างไร้เดียงสา
หยวนเป่าเม้มปาก เขาไม่มีทางจำผิดแน่นอน แต่ก่อนที่เขาอาศัยอยู่ในหุบเขา ครั้งหนึ่งเขากับอาจารย์ไปที่ลำธารเพื่อจับกุ้งมามากมาย เขาตั้งใจลอกเปลือกกุ้งแล้วรมควันกุ้งเพื่อทำน้ำแกงให้ท่านแม่ ผลก็คือหลังจากที่กินเข้าไปเพียงคำเดียว ท่านแม่ก็มีผื่นขึ้นทั่วตัว แม้แต่ใบหน้าที่งดงามของนางก็ไม่เว้น เพราะเื่นี้ เขาจึงโทษตัวเองอยู่นาน จนสามารถจำเื่นี้ได้อย่างชัดเจนยิ่ง
ชั่วขณะนั้น ทันทีที่สิ้นเสียงของมู่ชิงอวิ้น มู่เอ้าเทียนและมู่เสวียนเย่ล้วนมองไปทางฮวาเหยียนทั้งสิ้น
“หลานเหยียน เ้าหายไปถึงสี่ปี เหตุใดเมื่อกลับมาแล้ว ความชอบถึงเปลี่ยนไปเล่า?”
ในยามนั้นหลิวซื่อพลันเปิดปากเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง
ฮวาเหยียนวางตะเกียบลง นางเม้มริมฝีปาก
“ใช่น่ะสิเ้าคะ ข้าแพ้กุ้ง ั้แ่จำความได้ ข้าก็ไม่สามารถกินกุ้งได้เ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนเปิดปากเอ่ย นางกดเสียงจนต่ำ แม้แต่ใบหน้าของนางก็ยังเฉยเมยอยู่บ้าง เดิมทีอาหารที่ขึ้นโต๊ะล้วนเป็อาหารจานโปรดของนาง แต่เพราะท่านอาสะใภ้รอง นางจึงหมดสิ้นความยากอยากอาหารเสียแล้ว
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่ามู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ชอบกินกุ้ง
นางรู้แค่ว่าตัวเองไม่ชอบกุ้งเพราะมันทำให้เกิดอาการแพ้
หากเป็เมื่อก่อน นางอาจสร้างเหตุผลหลอกลวงมากมายเพื่อจะโต้แย้งกลับไป แต่ตอนนี้นางไม่เต็มใจที่จะทำ
ท่านพี่ใหญ่ตระกูลมู่เอ่ยว่า ยามนี้นิสัยของนางยอดเยี่ยมยิ่งนัก ท่านพ่อมู่เองก็บอกว่า ตราบใดที่นางมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดนางถึงต้องโกหกท่านพ่อและท่านพี่ใหญ่เพียงเพราะ 'อาการแพ้กุ้ง' กันเล่า?
ฮวาเหยียนเป็คนประเภทที่มีกลิ่นอายประจำตัว ในยามนั้นใบหน้าของนางไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่มองมาที่มู่ชิงอวิ้นและหลิวซื่อด้วยความเ็าเล็กน้อย นางเปิดปากกล่าวว่า "เมื่อสี่ปีก่อน ข้าโปรดปรานมากเพียงใด ข้าจำไม่ได้แล้ว ข้ารู้แต่เพียงว่ายามนี้ข้าไม่โปรดมัน มิเช่นนั้นตัวข้าจะเป็ผื่น ของมากมายที่แต่ก่อนข้าเคยโปรดปรานข้าล้วนจำไม่ได้ทั้งสิ้น อีกทั้งหลายๆ คนที่แต่ก่อนข้าชอบมาก บัดนี้ข้าก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน”
ถ้อยคำเหล่านี้ช่างนุ่มนวลเบาบาง หาได้มีความรุนแรงใดๆ ไม่ แต่ไม่ว่าผู้ใดล้วนฟังออกถึงความเฉยเมยและความหมายที่แฝงไว้อยู่ในนั้น
ดวงหน้าของมู่ชิงอวิ้นขาวซีด
นางเข้าใจความหมายของคำที่ฮวาเหยียนเอ่ยเกือบจะในทันที สิ่งที่นางเอ่ยคือ ของที่แต่ก่อนเคยโปรดปรานตอนนี้ไม่โปรดปรานแล้ว รวมถึงคนที่แต่ก่อนเคยชอบบัดนี้ก็ไม่ชอบแล้วเช่นกัน
นางมองออกว่าพี่หญิงที่อยู่ตรงหน้านางโมโหแล้ว
สตรีเมื่อสี่ปีที่แล้วคนนั้นไม่เคยมีด้านที่คมกริบเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดล้วนไว้ไมตรีอยู่สามส่วนเสมอ ไม่มีวันทำให้คนอื่นอับอายขายหน้าตรงๆ
ทว่าพี่หญิงในวันนี้แสดงออกอย่างชัดเจน นางไม่เก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ
ดวงหน้าของมู่ชิงอวิ้นซีดจนขาวด้วยความรู้สึกตกตะลึง
"หลานเหยียน เหตุใดเ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ อาสะใภ้ทำเพื่อเ้านะ และอวิ้นเออร์เองก็เป็ห่วงเ้าด้วย"
หลิวซื่อถูกฮวาเหยียนพูดจนมีใบหน้าไม่น่ามอง นางจึงเปิดปากกล่าวด้วยความโมโหอยู่เล็กน้อย
ฮวาเหยียนเงยหน้าขึ้น ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านอาสะใภ้รองและน้องหญิงชิงอวิ้นแล้ว ทว่าข้าไม่้ามันจริงๆ เ้าค่ะ”
ถ้อยคำเหล่านี้ฟังดูมีมารยาทนอบน้อม แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วกลับพบการเยาะเย้ยเสียดสีอย่างชัดเจน
“หลานเหยียน เ้า...”
เพราะคำเอ่ยเยาะเย้ยของฮวาเหยียนใบหน้าของหลิวซื่อแดงขึ้นด้วยความโกรธ นางผุดลุกขึ้นยืนจนเกิดเสียงดัง ‘ตึง’ ก่อนจะเปิดปากกล่าวต่อว่า "หลานเหยียน นี่คือท่าทีที่เ้าสมควรจะแสดงต่อท่านอาสะใภ้รองของเ้าหรือ? เ้าหายสาบสูญไปถึงสี่ปี ไม่ใช่ว่าเ้าลืมสิ้นแม้กระทั่งมารยาทขั้นพื้นฐานและความกตัญญูกตเวทีไปแล้วกระมัง? เ้าดูท่าทางของเ้าในยามนี้ ท่าทีของหญิงผู้สูงศักดิ์ของตระกูลใหญ่หายไปที่ใดหมดแล้ว?”
ใบหน้าของนางมืดครึ้ม เปล่งเสียงสั่งสอนฮวาเหยียนออกมาทันที
ทันทีที่นางเอ่ยจบ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารพลันหยุดนิ่งทันที สีหน้าของมู่เอ้าเทียนและมู่เสวียนเย่พลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามองอย่างยิ่ง
“ซินเหยา เ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ยังไม่นั่งลงเร็วๆ อีก”
กลับเป็มู่จี้หงที่ไม่สามารถนั่งเฉยๆ ต่อไปได้อีก เขาหันไปกระซิบกับหลิวซื่อทันที
มู่จี้หงไม่เอ่ยก็นับว่ายังดี ทว่าเมื่อเขาเปิดปากพูดก็ยิ่งทำให้ความโกรธของหลิวซื่อเพิ่มพูนมากขึ้นทันที เห็นเพียงท่าทางเ็ปหัวใจ นางหันไปะเิอารมณ์ใส่มู่จี้หงทันที "มู่จี้หง เ้าพุ่งเป้าใส่ข้าทำไม ข้าเอ่ยอันใดผิดหรือ? ข้าเอ่ยไปมากมายถึงเพียงนั้นก็เพราะหวังดีกับหลานเหยียน ข้าถือว่านางเป็บุตรสาวคนหนึ่งของข้านี่นา
หลานเหยียนเสียมารดาไปั้แ่เด็ก ตอนนั้นยังเป็เ้าตัวน้อยก้อนกลม ถูกโอบอุ้มในอกของข้า กินน้ำนมจากข้าอยู่เลย ฮือๆๆ
ทว่าเ้าดูสิ ยามนี้หลานเหยียนยังมีอาสะใภ้รองคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”
หลิวซื่อกรีดร้องด้วยอารมณ์ ดวงตาคับข้องหมองใจของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ใบหน้าของมู่จี้หงกระอักกระอ่วน เมื่อถูกคำรามด้วยเสียงต่ำจากลำคอ เขาพลันส่งยิ้มเจื่อนให้มู่เอ้าเทียน ชายหนุ่มเป็คนที่ค่อนข้างกลัวภรรยา เมื่อฮูหยินของเขาโกรธ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดแล้ว
ฮวาเหยียนกะพริบตา นางคาดไม่ถึงว่าจะเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นมา มู่อันเหยียนเคยกินน้ำนมจากท่านอาสะใภ้รองผู้นี้หรือ?
หากคำนวณตามอายุแล้ว มู่ชิงอวิ้นผู้นี้อายุน้อยกว่ามู่อันเหยียนเพียงเดือนเดียว ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากคำกล่าวของหลิวซื่อแล้ว มู่อันเหยียนผู้นี้ั้แ่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นมารดาของนางใช่หรือไม่?
ฮวาเหยียนจมอยู่ในห้วงความคิด มู่เสวียนเย่บอกนางว่าอย่าเอ่ยถึงท่านแม่ต่อหน้าท่านพ่อ เช่นนั้นแล้วท่านแม่จากไปเพราะว่าให้กำเนิดลูกหรือ? นางจากไปเพราะให้กำเนิดมู่อันเหยียนหรือ?
ฮวาเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้ว่านี่เป็การคาดเดาของนางเอง นางส่ายหัว ก่อนจะโยนคำถามในหัวทิ้งไปแล้วมองไปยังท่านอาสะใภ้รองอีกครั้ง ดวงตาของนางแดงก่ำ ท่าทางเต็มไปด้วยโศกเศร้า ฮวาเหยียนเยาะเย้ยจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอาสะใภ้รองจะโมโหได้เต็มที่ถึงขนาดนี้ เดิมทีนางก็้าใช้เื่นี้เป็สะพานนั่นเอง
ฮวาเหยียนกระตุกมุมปาก รู้สึกขบขันอยู่เล็กน้อย ในวันแรกที่ตนกลับมา นางทำเื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ก็เพราะ้าจะก่อเื่อันใด?
นางเป็คนรู้สึกไวั้แ่ยังเด็ก นางสามารถมองออกได้ทันทีว่าใครหวังดีกับนาง ใครจริงใจหรือเสแสร้งกับนาง ทว่าเมื่อมองจากใบหน้าของสองแม่ลูกครอบครัวรองแล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงมู่ชิงอวิ้น แค่ท่านอาสะใภ้รองผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยยินดีกับการกลับมาของนางสักเท่าไหร่
บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ในคำพูดแฝงไว้ด้วยคมมีด
ฮวาเหยียนถอนหายใจ นางเงยหน้าขึ้นและมองไปทางหลิวซื่อ ท่านอาสะใภ้รองเองก็จ้องมองนางกลับมาเช่นกัน ดังนั้นเมื่อนางเงยหน้าขึ้น สายตาของพวกเขาจึงปะทะกัน ฮวาเหยียนหรี่ตาลงกำลังจะเอ่ยคำ ทว่ามู่เอ้าเทียนกลับใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ ใบหน้าของเขาดำสนิทราวกับหมึก ไม่น่ามองจนแทบจะทนไม่ไหว ดวงตาคู่นั้นเ็าราวกับน้ำแข็ง ยามที่มองไปทางหลิวซินเหยา พลันได้ยินเสียงตำหนิดังขึ้นมาหนึ่งเสียง "พอแล้ว! "
ทันทีที่มู่เอ้าเทียนส่งเสียง เสียงในห้องโถงสักเสียงหนึ่งก็หาได้มีไม่ มู่จี้หงยิ่งหดคอมากขึ้นไปอีก ท่าทีไม่สนใจไม่ถามไถ่ ช่างขี้ขลาดเหลือเกิน
มู่เอ้าเทียนลืมตาขึ้น เขาจ้องไปทางดวงหน้าของหลิวซินเหยา ได้ยินเพียงเสียงที่เอ่ยว่า "ภรรยาน้องรอง เ้ากำลังคิดจะทำอันใดอยู่? อาหารเย็นมื้อนี้เพื่อเป็การต้อนรับการกลับมาของลูกเหยียน เ้าต้องก่อเื่ให้ทุกคนไม่มีความสุขใช่หรือไม่?”
มู่เอ้าเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบ
แต่ยิ่งเขาสงบลงเท่าใดก็ยิ่งแสดงถึงความโกรธที่ถูกกดไว้มากขึ้นเท่านั้น
"ข้า..."
หลังจากที่มู่เอ้าเทียนเอ่ย อารมณ์ของหลิวซินเหยาก็อ่อนลง นางอ้าปากพะงาบๆ หลังจากนั้นดวงตาของนางก็แดงก่ำ "พี่ใหญ่ ข้าเห็นหลานเหยียนเป็ดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของข้า การที่นางเปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้หัวใจของข้าเป็ทุกข์เหลือเกิน..."
นางปาดน้ำตาก่อนเอ่ย
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิวซินเหยา มู่เอ้าเทียนพลันกระตุกยิ้มที่มุมปาก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน จากนั้นมู่เอ้าเทียนก็เปิดปากเอ่ยว่า “น้องสะใภ้รอง เ้าไม่จำเป็ต้องทุกข์ใจ ลูกเหยียนเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่ นางจะสง่างามเปี่ยมคุณธรรมจิตก็ดี หรือจะเย่อหยิ่งทระนงก็ช่าง นางก็ยังเป็บุตรสาวของข้า มู่เอ้าเทียนอยู่ดี คงไม่ต้องถึงมือผู้อื่นให้มาคอยยื่นปากสั่งสอนหรอก”
คำกล่าวของมู่เอ้าเทียนไร้ซึ่งความเกรงใจ และเขาก็ไม่ไว้หน้าของหลิวซินเหยาเลยสักนิดเช่นกัน ทันทีที่สิ้นเสียง ใบหน้าของหลิวซินเหยาแทบดูไม่ได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธที่เพิ่มขึ้น
แต่ดูเหมือนมู่เอ้าเทียนจะไม่ทันได้สังเกตอย่างไรอย่างนั้น เขาเปิดปากเอ่ยต่อว่า “ในปีนั้นเป็เพราะลูกเหยียนไม่มีนมแม่ให้ดื่ม เปิ่นหวางจึงเสนอว่าจะหาแม่นมมาให้ แต่เ้าอาสาพาลูกเหยียนกลับเรือนเพื่อเลี้ยงดูพร้อมกับหลานอวิ๋น แต่หลังจากให้นมมาครึ่งเดือน เ้าก็ไม่ได้ให้บุตรเหยียนดื่มนมจากเ้าอีก เหตุผลคืออะไร ทุกคนที่นี่รู้แจ้ง รวมถึงน้องรองด้วย
ทว่านี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ข้าผู้เป็พี่ใหญ่ก็ยังคงระลึกนึกถึงไมตรีจิตอันดีของเ้าเสมอ ในจวนหลู่หนานนี้ อาหาร เสื้อผ้ารวมทั้งค่าใช้จ่ายทุกอย่างล้วนถูกจัดสรรตามกำลังสูงสุดของจวนอ๋องทุกประการ และไม่เคยดุด่าวิจารณ์เ้า"
มู่เอ้าเทียนเคาะโต๊ะเป็จังหวะช้าๆ “แต่น้องสะใภ้รองยังต้องจำเอาไว้ว่า ลูกเหยียนคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนอ๋องแห่งนี้ ทั้งตัวตน สถานะ ล้วนเหนือกว่าเ้าทุกประการ หากเอ่ยถึงเื่ความกตัญญู ข้าผู้นี้ซึ่งเป็ท่านพ่อของนางก็ยังมีชีวิตอยู่ น้องสะใภ้รอง เ้าเพียงแค่ดูแลอาหารของจี้หงและอาหารกับเสื้อผ้าของอวิ้นเออร์ก็พอแล้ว สำหรับลูกเหยียน หลังจากนี้เ้าไม่ต้องเป็กังวล”
ถ้อยคำของมู่เอ้าเทียนนั้นหนักแน่นยิ่งนัก ร่างกายของหลิวซินเหยาสั่นสะท้าน มือของนางที่อยู่ข้างลำตัวประสานกันไว้แน่น ดวงตาของนางแดงก่ำ ท่าทีราวกับหัวใจถูกทำร้ายจนแสนสาหัส
มู่ชิงอวิ้นที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าเอ่ยอันใด นางดึงแขนเสื้อของหลิวซินเหยาอย่างระมัดระวัง
จากนั้นหลิวซินเหยาก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เปิดปากเอ่ยว่า "สิ่งที่พี่ใหญ่เอ่ย น้องสะใภ้คนนี้จะจดจำไว้ หลังจากนี้จะไม่กลับไปทำผิดอีกแล้วเ้าค่ะ"
หลังจากที่นางเอ่ยจบ นางก็นั่งลงบนเก้าอี้ ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย มีเพียงใบหน้าที่ซีดขาวราวกับว่านางถูกโจมตีด้วยความรุนแรงจากคำพูดของมู่เอ้าเทียน
ฮวาเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด เป็เพราะท่านพ่อระบายอารมณ์แทนนางแล้ว นั่นทำให้นางอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก ทว่าก็ยังมีความลึกซึ้งอยู่ ท่านอาสะใภ้ผู้นี้แตะเข้าที่เกล็ดย้อนของท่านพ่อ นางยั่วโมโหท่านพ่อเข้า
แต่สีหน้าที่หดหู่ของท่านอาสะใภ้รองในยามนี้ไม่ใช่เพราะนางถูกมู่เอ้าเทียนตำหนิ แต่เหมือน...
เหมือนถูกผู้เป็ที่รักตำหนิจนใจสลายกลายเป็ขี้เถ้า!
ฮวาเหยียนกะพริบตาอีกครั้งและอีกครั้ง นางตกตะลึงกับการค้นพบของตัวเอง
นางยืดตัวขึ้น พิจารณาท่านพ่อแห่งตระกูลมู่ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง มีความเป็ชายชาตรีสูงยิ่ง อีกทั้งยังมาจากตระกูลท่านแม่ทัพ ได้เป็ถึงท่านอ๋องั้แ่อายุยังน้อย ไม่รู้ว่าเป็ชายในฝันของสตรีมากน้อยเพียงใด
และเมื่อดูท่านอาแห่งครอบครัวรองผู้เป็น้องชายสายเืเดียวกัน ท่านอาผู้นี้รูปร่างผอมบาง นิสัยอ่อนแอขี้ขลาด แบกคานบ้านก็ยังไม่ขึ้น เขาไม่มีความเป็ลูกผู้ชายเลยสักนิด เมื่อประสบพบเจอปัญหาก็มีท่าทีราวกับนกกระจอกเทศ อีกทั้งไม่มีตำแหน่งการงานราชการ รู้จักแต่เล่นสำบัดสำนวน เป็ปราชญ์ตัวเหม็นเปรี้ยวทั่วไป
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
ดังนั้น…
ที่ท่านอาสะใภ้รองเอ่ยว่าเห็นนางเป็ดั่งบุตรสาว ทั้งยังเอ่ยถึงเื่มู่อันเหยียนกินนมแม่จากนาง เป็ไปได้หรือไม่ว่าในใจของนางกำลังคิดว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็ฮูหยินที่แท้จริงของจวนแห่งนี้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้