บุรุษผู้นี้มีเรี่ยวแรงมากจนนางยากจะต้านทาน เช่นเดียวกับวันนั้นที่ถูกข่มเหงที่หอนางโลม หากนางไม่เสี่ยงชีวิตกัดหูผู้ดูแล ตอนนี้นางคงยังตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของพวกเขา
เมื่อนึกถึงวันนั้น ปลายลิ้นของนางก็รู้สึกขมและยังไม่สามารถลืมกลิ่นคาวเืได้ เมื่อนึกถึงก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนั้นนางไปเอาความกล้าจากไหนมาต่อต้าน? แต่ตอนนี้กลับตัวสั่นจนไม่อาจหาทางหลบหนีได้?
“อาการาเ็ของข้ายังไม่หายดี” นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ข้ออ้างเพื่อเลื่อนเวลาหลับนอนออกไป
“ข้ารู้” โม่ซีกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อเห็นใบหน้าของนางแดงก่ำ ดวงตาเป็ประกาย แสดงความเขินอายผสานกับความคาดหวังที่มีต่อเขา โม่ซีก็รู้สึกดีขึ้นทันที ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงเริ่มอยากหยอกล้อนางขึ้นมา เขาโน้มตัวเข้าหา กระซิบเบาๆ ว่า "แต่ข้ารอไม่ไหวแล้ว ──มาร่วมหลับนอนกันดีหรือไม่?"
จิตใจของฉีซีว่างเปล่าราวกับถูกสายฟ้าฟาด
โม่ซีมองด้วยสายตาคลุมเครือ จงใจลดเสียงลงพูดด้วยท่าทีเย้ายวนใจ เขาไม่เคยพูดเช่นนี้กับสตรีมาก่อน สำหรับเขาแล้วมันเป็เื่แปลกใหม่ เมื่อเห็นใบหูของฉีซีแดงก่ำ สายตาดูตกตะลึงและสับสน เขาจึงแอบหัวเราะกับความไร้เดียงสาของฉีซีและรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็อย่างมาก โดยคิดว่ารูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้เลวร้ายเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้หลิวชวนอวิ๋นและเหล่านางบำเรอตกหลุมรักเขา ขณะที่เขากำลังจะพูดเย้าแหย่นางให้มากขึ้น ทว่าก็เห็นฉีซีะโราวกับได้สติขึ้นมาแล้ว
“ไม่ดี!” ฉีซีมองเขาด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นบุรุษรูปงามตามธรรมชาติตรงหน้ามีท่าทียั่วยวน นางจึงโพล่งออกมา "ไม่ว่าท่านจะหล่อเหลาถึงเพียงไหนก็ไม่ได้!"
“ข้าหล่อเหลาอย่างนั้นหรือ?” โม่ซีหัวเราะ รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
เขาโน้มตัวเข้ามาจนห่างกันเพียงแค่่เอื้อมแขน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า "หล่อเหลาเสียจนเ้าควบคุมตัวเองไม่ได้เลยหรือ?"
"...ท่าน...ท่าน..." ฉีซีรู้สึกเสียใจทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่นางพูดติดอ่าง ความตั้งใจเดิมของนางคือการบอกว่าไม่ว่าจะหล่อเหลาเพียงไหนก็ไม่ควรใช้รูปลักษณ์นี้มาล่อลวงผู้คน! ทว่าเหตุใดใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความพึงพอใจ ดวงตาเป็ประกาย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ ยิ่งทำให้ยากจะมองข้ามล่ะ?
นางวางมือบนหน้าอกของโม่ซีโดยตั้งใจที่จะต่อต้าน ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นาแที่แขนของตน เมื่อจำได้ว่าบุรุษตรงหน้าดูแลาแของนางอย่างอ่อนโยน นางจึงคิดมาตรการตอบโต้ขึ้นมาได้ในทันที
ฉีซีขมวดคิ้วและกัดริมฝีปาก ชักมือกลับไป และคร่ำครวญด้วยความเ็ป
โม่ซีตกตะลึงและเอ่ยถามว่า "เป็อะไรไป?"
ฉีซีจิกนิ้วเข้าไปในแผลที่ถูกแส้ฟาดที่พันด้วยผ้าพันแผลอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นเืก็ไหลซึมออกมาจากาแ ในไม่ช้าผ้าพันแผลก็ถูกย้อมด้วยสีแดง ทำให้นางร้องไห้ออกมา
“แผลที่แขนของข้าดูเหมือนจะปริออก เจ็บมาก──”
โม่ซีก้มศีรษะลงและเห็นว่าเป็เช่นนั้นจริงๆ เขาจึงลุกขึ้น เดินไปที่ประตูตำหนักอย่างรวดเร็ว และะโสั่งเสียงดัง "เรียกหมอหลวงโจวมา!"
……
หลังจากแกะพันผ้าพันแผลออก สีหน้ากังวลของโม่ซีก็เปลี่ยนเป็เ็า สายตาเ็าของเขาตรวจดูาแและเห็นว่ามีรอยวงรีหลายรอย
เพื่อไม่ต้องร่วมหลับนอนกับเขา นางจึงเลือกทำร้ายตัวเองอย่างนั้นหรือ?
หมอหลวงโจวมาถึงและต้องประหลาดใจเมื่อเห็นาแของฉีซี เขาไม่รู้ว่าควรพูดกับซีอ๋องอย่างไร ทว่าโม่ซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า "ในเมื่อแผลเปิดแล้ว คงต้องให้หมอหลวงโจวเย็บใหม่อีกครั้ง"
สีหน้าของซีอ๋องเ็าจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว หมอหลวงโจวรีบสั่งให้ผู้ติดตามเตรียมผงหม่าเฟ่ย ทว่าซีอ๋องเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง "สตรีผู้นี้มีร่างกายพิเศษ ไม่ควรใช้ผงหม่าเฟ่ยทั่วไป กูเห็นว่าาแนี้ไม่ใหญ่มาก แค่เย็บตรงแผลที่ปริออกเข็มเดียวคงไม่ต้องใช้ผงหม่าเฟ่ยหรอก"
ทันใดนั้นฉีซีก็เงยหน้าขึ้นมองเขา นางปฏิเสธการร่วมหลับนอนและทำร้ายแขนของตน ทำให้เขาสงสัยอย่างนั้นหรือ?
ไม่ต้องใช้ผงหม่าเฟ่ย เขาจงใจทรมานนาง!
"ซี..."
ฉีซียัง้าจะวิงวอน ทว่าก็รู้สึกหวาดกลัวกับสายตาเ็าของซีอ๋อง
“ใครก็ได้!” โม่ซีะโอย่างเ็า “ไปจับมือเท้าของนางไว้เสีย!”
หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ทุกคนต่างรุมจับตัวฉีซีทันที นางขยับตัวไม่ได้ มองเขาด้วยความกลัวและพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าโม่ซีกลับหันหลัง เอามือไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง
หมอหลวงโจวลงมือเย็บแผล ฉีซีก็กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความเ็ป
ไม่น่าเชื่อเลยว่าซีอ๋องที่อ่อนโยนเหมือนยามแรกรัก ทว่ายามโกรธกลับเ็าราวกับธารน้ำแข็ง!
ฉีซีร้องไห้ด้วยความเ็ป โม่ซีก็กำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างจนแน่น
ด้านนอกไม่รู้ว่าสายฝนโปรยปรายลงมาั้แ่เมื่อใด เขาขมวดคิ้วมองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาทึบโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขา้าให้นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเมื่อใดที่สามารถทำตัวดื้อดึงได้ และเมื่อใดที่ไม่ควรทำเช่นนั้น!
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เสียงของฉีซีก็แ่ลงราวกับถูกกลืนหายไปในผ้าห่ม เหลือเพียงเสียงครวญครางอันแ่เบา
โม่ซีอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและเห็นว่าใบหน้าของฉีซีซีดเผือด อาภรณ์ของนางเปียกชื้นเหงื่อ แสดงให้เห็นชัดว่ากำลังจะหมดแรง
เขาเดินตรงไปหานาง ป้อนยาหอมระงับปวดที่กำไว้ในมือมานานเข้าปากนาง
สุดท้ายแล้วก็ใจอ่อน
เขากัดฟันและถามตัวเองว่าทำไมถึงใจอ่อนกับนางถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่มีคำตอบ
ฉีซีอมยาหอมไว้ในปาก กลิ่นหอมของดอกไป๋เหอและดอกมะลิกระจายไปทั่วช่องปากของนาง
ดวงตาของนางพร่ามัวด้วยน้ำตา จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของโม่ซีได้ชัดเจน
เมื่อนางตื่นขึ้นมา ตำหนักสว่างไสวด้วยแสงไฟ ราตรีช่างยาวนาน
โม่ซีนั่งอยู่บนตั่งนุ่มไม่ไกลจากเตียง ถือหนังสืออยู่ในมือ ดูเป็ธรรมชาติและผ่อนคลายราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่าความเ็ปบริเวณแขน เป็การย้ำเตือนความทรงจำอันเลวร้ายที่นางเคยได้รับจากบุรุษผู้สง่างามตรงหน้า
นางกัดฟันยันตัวเองขึ้น โม่ซีเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสีหน้าเ็า ไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังมีความสุขหรือกำลังโกรธ
นางรู้สึกอึดอัดจึงเบือนหน้าหนี ไม่มองเขาอีก
ใบหน้าหล่อเหลาแล้วอย่างไร ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ชอบรังแกและใช้กำลังข่มขู่ผู้อื่น
หลังจากทำตัวอ่อนโยนมาเป็เวลานาน นิสัยโหดร้ายก็ปรากฏออกมา ช่างไม่น่าคบหาเสียจริง
นางมีความคิดจะหลบหนี ทว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร หรือนางควรยอมหลับนอนกับเขาเพื่อรับความโปรดปรานจากเขา รอให้เขาลดความระวังแล้วจึงหาโอกาสหลบหนี? แต่ควรทำอย่างไร? นางไม่ใช่หญิงคณิกา เหตุใดจึงต้องครุ่นคิดเื่เหล่านี้ด้วย? น่ารังเกียจเสียจริง!
ฉีซีนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่บนเตียง โม่ซีวางหนังสือในมือลงแล้วเดินเข้าไปหานาง
เขาวางฝ่ามืออุ่นบนหน้าผากของนาง ใช้มือลูบหน้าผากแล้วถามว่า "ยังเจ็บอยู่ไหม?"
น้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าฉีซีกำหมัดแน่น เต็มไปด้วยความโกรธและความคับข้องใจ
ทว่านางรู้ดีว่าไม่อาจต่อต้านเขาได้ จึงพยักหน้าเพียงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร
“เช่นนั้น จดจำความเ็ปนี้เอาไว้” เขากล่าวเสียงเบา ทว่าเหมือนหม้อหนักพันจินทุบลงกลางใจนาง “อย่าทำเหมือนกูเป็คนโง่”
ฉีซีใเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทว่าเขาเดินออกจากตำหนักไปแล้ว
หลังจากนั้นกลุ่มสาวใช้ก็ทยอยเดินเข้ามา ต่างจากเมื่อวานที่เหยียดหยามนาง วันนี้กลับพูดกับนางด้วยน้ำเสียงสุภาพ "ซีอ๋อง สั่งให้แม่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วไปทานอาหารที่ห้องโถงด้านข้าง "
เหล่าสาวใช้คอยปรนนิบัตินางอย่างระมัดระวัง ชำระล้างร่างกายและกลิ่นคาวเื แม้กระทั่งผมยาวของนางก็สระอย่างเอาใจใส่ น้ำอุ่นไหลผ่านร่างกายของนาง ทว่าไม่โดนแผลที่แขน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้