มีชีวิตอีกครา?
เวินซีเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่จ่างกุ้ยจัดเรียงขวดโหลให้เรียบร้อย เมื่อเปิดพวกมันออกก็มีกลิ่นที่คุ้นเคยโชยออกมา ทั้งหมดคือเครื่องหอมที่ตระกูลเวินเพิ่งจะเปิดตัวไป
“ทั้งเื่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเวินเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และคนรับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ทำเื่ยาทาผิวงาม หลังจากเกิดเื่ไม่ดีติดต่อกัน ตระกูลเวินจึงรู้สึกผิดและเสียใจเป็อย่างยิ่ง จึงตัดสินใจปิดร้านเพื่อปรับปรุงใหม่ เครื่องหอมทุกอย่างจึงถูกนำออกมาขายในราคาต่ำ”
“เพื่อที่จะกอบกู้ชื่อเสียง ฮูหยินใหญ่เวินและคุณหนูได้ลองใช้เครื่องหอมทุกชนิดด้วยตนเอง”
จ่างกุ้ยควักเครื่องหอมออกมาทาบนแขนของตนพลางอธิบาย
“ก่อนหน้านี้เครื่องหอมล้วนมีราคาไม่กี่ตำลึงเงิน ทว่ายามนี้ราคาเพียงสองสามอีแปะ สตรีในเมืองจึงพากันไปแย่งซื้อ ทั้งยังมีพวกคนรับใช้จากบ้านเศรษฐี ข้าเห็นว่าราคาถูกจึงให้คนไปซื้อมาสองสามอย่าง เครื่องหอมพวกนี้ล้วนเป็สูตรของเวินอี๋เหนียง ไม่รู้ว่าพวกเขายังมีสูตรของนางอีกมากน้อยเพียงใดนะขอรับ”
เวินซีมองไปที่เครื่องหอมโดยไม่พูดอันใด นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าขนาดฮูหยินผู้เฒ่าเวินเสียไปแล้วก็ยังถูกตระกูลเวินดูดเืเช่นนี้ หากหญิงชรารู้เข้าคงต้องโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาแน่
ตระกูลเวินถือว่าเป็ตระกูลที่อึดมากทีเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้พวกเขาก็ยังสร้างคลื่นลมใดมิได้
“คุณหนูเวิน ข้ายังได้ยินข่าวลือมาอีกเื่ด้วยขอรับ” จ่างกุ้ยที่มีท่าทีลับๆ ล่อๆ เขาลดเสียงลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ว่ามา” เวินซีเลิกคิ้ว
“ข้าได้ยินมาว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งที่ตระกูลเวินทำเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็เพราะการแข่งขันทำเครื่องหอมนะขอรับ”
“การแข่งขันทำเครื่องหอมที่จัดขึ้นทุกๆ สามศก จะมีขุนนางจากเมืองหลวงมาเป็ผู้ตัดสิน ผู้ชนะจะได้เข้าเมืองหลวงและเป็ผู้ทำเครื่องหอมให้ฮองเฮา ตระกูลเวินน่าจะฝากความหวังกับการพลิกชะตาในการแข่งขันครั้งนี้”
“ก่อนหน้านี้ล้วนเป็เวินอี๋เหนียงที่เข้าร่วมแทนตระกูลเวิน แต่ยามนี้ไม่มีเวินอี๋เหนียงแล้ว พวกเขาจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้า”
จ่างกุ้ยเอ่ยถึงเื่นี้พลันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ตอนนั้นเวินอี๋เหนียงเป็ผู้ชนะ แต่กลับถูกฮูหยินใหญ่เวินขัดขวาง โดยให้โจวอวี่ชางซึ่งเป็ลูกพี่ลูกน้องของคนตระกูลเวินเข้าเมืองหลวงแทน หากตอนนั้นเวินอี๋เหนียงได้เข้าเมืองหลวงไป ด้วยความสามารถของนางก็คงจะไม่พบจุดจบเช่นนี้
“คุณหนูเวินซี พวกเรา...”
“เราจะไม่ลงแข่ง”
เวินซีไม่สนใจจะเข้าวัง นางเหมาะกับชีวิตที่สุขสบายอย่างในตอนนี้แล้ว ชาติที่แล้วนางต้องสู้รบตบมืออยู่ตลอด ชาตินี้นางจึงอยากจะมีชีวิตที่ได้ดั่งใจบ้าง
“เฮ้อ ก็ดีขอรับ เวินอี๋เหนียงก็คงมิอยากให้คุณหนูเวินซีเข้าวัง ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็พูดบ่อยครั้งว่าคุณหนูใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้ว” จ่างกุ้ยเห็นด้วย
วันนี้ไม่มีลูกค้า ร้านจึงปิดเร็วกว่าทุกครั้ง และเพราะจ่างกุ้ยมิได้นำส่วนประกอบของยากลับมา เมื่อปิดร้านแล้วเวินซีจึงออกไปด้วยตนเอง
การแข่งขันเครื่องหอมนั้นใกล้เข้ามา จึงมีคนจำนวนมากสวมเสื้อผ้าหรูหราเดินอยู่บนถนน และมีพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่ริมข้างทาง ทำให้บรรยากาศในตลาดครึกครื้น
หลังจากที่เลือกส่วนประกอบยาอย่างรวดเร็วที่ร้านยา เวินซีก็เดินกลับไปที่ร้าน ขณะนั้นจ้าวต้านหายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงา ท้องฟ้าก็มืดแล้ว นางไม่เชื่อว่าเวลานี้เขายังล่าสัตว์อยู่ ตอนนี้คนที่แปลกไปมิได้มีเพียงนางผู้เดียว
ในตอนกลางดึก
“พี่สะใภ้ยังไม่นอนหรือขอรับ? กำลังรอท่านพี่อยู่หรือ? เขาอาจจะมีเื่อันใดที่ทำให้กลับมาช้า พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ”
ในห้องมืดๆ มีตะเกียงเพียงดวงเดียว ไส้ตะเกียงก็ใกล้จะมอดหมดแล้ว ยียีเห็นว่ามีแสงสว่างจึงเปิดม่านเข้ามา
เวินซีเงยหน้าขึ้น วางขวดยาในมือลง “ยียีไปพักผ่อนเถิด”
นางเพียงแค่มีปัญหานิดหน่อยกับเครื่องหอมตัวใหม่ที่กำลังทำจึงลืมเวลาไป แต่หลังจากที่ได้ยินยียีเอ่ยเช่นนั้นก็นึกได้ว่าจ้าวต้านยังไม่กลับมา นางจึงขมวดคิ้ว
“หากพี่สะใภ้ยังไม่นอน ข้าก็จะอยู่เป็เพื่อนท่าน พี่สะใภ้อยู่คนเดียวเหงาแย่”
ยียีจะยอมไปนอนได้อย่างไร เขากลัวว่าเมื่อตนเองไปนอนแล้วพี่สะใภ้จะยุ่งกับงานต่อน่ะสิ เขาจึงนั่งลงข้างๆ เวินซี ปลดเสื้อคลุมบนร่างออกแล้วคิดจะคลุมให้นาง แต่ก็ถูกปฏิเสธ
“เช่นนั้นข้าค่อยทำพรุ่งนี้ เ้าไปนอนก่อนเถิด”
เวินซีได้ยินเขาพูดเช่นนั้นจึงต้องยอม เพราะเห็นว่าวันพรุ่งนี้ยียีจะต้องไปสำนักศึกษา นางจึงลุกขึ้นไปดับไฟ
หลังจากที่กล่อมยียีเข้านอน นางก็กลับห้องไปด้วยความเหนื่อยล้า จุดตะเกียงแล้วล้มตัวลงนอน
ไม่รู้ว่าเป็เวลานานเท่าไร กระทั่งหน้าต่างที่ปิดอยู่ถูกผลักออก มีบุรุษในชุดสีดำปีนเข้ามาในห้องด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อเห็นเวินซีที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง สายตาของเขาก็ดูแปลกไป
ขณะที่เขากำลังเข้ามาใกล้นาง ก็มีมีดเล่มหนึ่งฟันหน้าต่าง เสียงการเคลื่อนไหวนั้นดังมาก ตามด้วยบุรุษอีกสองคนในชุดสีดำเช่นเดียวกันะโเข้ามา
บุรุษที่เข้ามาคนแรกกำลังจะถูกมีดฟัน แต่เขาก็หลบได้แล้วชนแจกันบนโต๊ะจนแตกกระจาย เมื่อหันกลับมาอีกทีเวินซีที่อยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นมาแล้ว นางกำผงกระดูกอ่อนไว้ในมือ
สัญชาตญาณของนักฆ่าทำให้นางตื่นั้แ่ตอนที่พวกเขาเข้ามา คนเหล่านี้คือผู้ใดกัน? นางใช้มืออีกข้างดึงปิ่นปักผมออกมา เตรียมพร้อมที่จะจู่โจม
“สตรีนางนี้เป็ผู้ใด?”
“ข้าก็ไม่รู้”
“จะต้องรายงานหรือไม่?”
“ในเมื่อนางพบเข้า ก็ฆ่านางด้วยเลย”
ทั้งสองร่วมแรงกันด้วยกระบวนท่าที่ดุเดือดมาก เห็นได้ชัดว่าบุรุษอีกคนสู้ไม่ไหว ทันใดนั้นมีดก็ปักลงบนไหล่จนต้องคุกเข่าลงกับพื้น
ทันใดนั้น ปิ่นปักผมก็พุ่งมาปัดมีดที่กำลังจะโจมตีอีกครั้งให้กระเด็นออกไป ก่อนที่เวินซีจะลุกขึ้น เข้าไปประชิดตัวสองคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว
“ระวัง สตรีผู้นี้รู้ทักษะการต่อสู้”
“อย่าประมาทเด็ดขาด”
ทั้งสองเอ่ยเตือนกันและมุ่งไปหาเวินซี ยามที่เผชิญหน้าในระยะประชิดก็มีผงหอมโปรยลงมา บุรุษทั้งสองคนปิดปากและจมูกอย่างรวดเร็วก่อนจะแทงมีดไปที่นางหมายจะปลิดชีพ
เวินซีเบี่ยงตัวหลบ ทั้งสองจึงคว้าข้อมือของนางไว้
“ระวังตัวด้วย” บุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่เอ่ยเตือน
เวินซีหัวเราะเบาๆ มองดูผู้ที่เข้ามาด้วยสายตาไม่หวั่นกลัวใดๆ ในตอนที่พวกเขากำลังจะจับตัวนางได้ ดวงตาก็หรี่ลง ก่อนจะร้องออกมาอย่างเ็ปแล้วล้มลงกับพื้น
“เ้าทำอันใดกับพวกข้า? นางตัวดี ดีแต่ใช้วิธีสกปรก”
“ข้าจะฆ่าเ้า นางชั่ว”
“......”
ทั้งสองสาปแช่งนางแต่ก็ยังกลิ้งอยู่บนพื้น ทั้งร่างมีเม็ดผื่นแดงๆ ผุดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเกาผื่นเม็ดสีแดงก็ยิ่งแตกออกเป็น้ำเืสีดำไหลออกมา เวินซีโปรยผงหอมอีกครา พวกเขาจึงหยุดนิ่ง
“นางบ้า เก่งนักก็แก้พิษให้พวกข้าสิ ดีแต่ใช้พิษเรียกว่ามีความสามารถได้หรือ”
“ปล่อยข้า อ๊า... นางชั่ว...ข้า... ข้าจะฆ่าเ้า”
“ถ้าด่าอีก ข้าจะทำให้พวกเ้าอ้าปากมิได้อีก” เวินซีก้มลงหยิบมีดที่พื้นขึ้นมาจี้คอบุรุษผู้หนึ่ง พวกเขาทั้งสองสั่นกลัวจนไม่กล้าเปล่งเสียงอีก
“ผู้ใดส่งพวกเ้ามากัน”
แม้จะได้ยินคำถามนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบ
“ไม่พูดหรือ? ข้ามีวิธีทรมานคนเป็พันวิธี ข้าทำให้พวกเ้าหัวเราะจนตาย หิวตาย หรือให้กลายเป็เหรินจื่อ [1] ให้พวกเ้าฆ่ากันเองก็ย่อมได้ พูดมา!”
เวินซีใช้มีดจี้ลึกลงไปที่คอของพวกเขามากขึ้น ทั้งสองมองหน้ากันด้วยแววตาเลิ่กลั่ก แต่ไม่นานนักก็หยุดหายใจ
นางย่อตัวลงอย่างระมัดระวัง ถอดหน้ากากของพวกเขาออก จึงเห็นว่าปากเต็มไปด้วยเื พวกเขาน่าจะทานยาพิษปลิดชีพ
นางคลำไปบนร่างของพวกเขา ในไม่ช้าก็พบป้ายโองการที่เอวโดยมีรูปเสือขาวสลักไว้ ตรงกลางมีตัวอักษร “ฉิน”
นางจึงเก็บป้ายโองการนั้นไว้ในกระเป๋า ก่อนจะหันไปมองบุรุษที่นอนอยู่บนพื้นที่มีเืไหลออกมามาก
อีกฝ่ายก็จ้องมองมาที่นางเช่นกัน เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่และค่อยๆ ถอยออกไปด้วยความหวาดกลัว มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เวินซีรู้สึกคุ้นเคย
ดวงตาของนางมืดลง ก่อนจะเดินไปข้างๆ บุรุษผู้นั้น คุกเข่าและสังเกตมอง
“เ้าคือจ้าวต้าน?”
“เ้า...คุณหนูเวินซี ข้าน้อย...” บุรุษผู้นี้มีท่าทีร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาของเวินซีเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย นางยกมือขึ้นถอดหน้ากากของเขาออก
เชิงอรรถ
[1] เหรินจื่อ 人彘 คือวิธีการลงโทษ ตัดหู ตัดปาก ตัดมือ ตัดเท้า ทิ้งไว้ในกองอุจจาระของคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้