กุ้ยจือเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าแม่สามีไม่พอใจนาง นางยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก จึงร้องไห้เสียงดังออกมา
“ท่านแม่ กำไลข้าหายไป กำไลนั่นซื้อมาด้วยเงินตั้งสามตำลึงเงินเชียวนะเ้าคะ”
“อะไรนะ?”
คนสกุลหลิวร้อนใจขึ้นมาทันที รีบถามว่า “หายไปได้อย่างไร เ้าเอาไปลืมไว้ตรงไหนหรือเปล่า รีบหาดูให้ดีๆ”
“ข้ามีกล่องสินเดิมอยู่แค่กล่องนี้กล่องเดียว ผ้าดีๆ ก็เอาไปทำชุดให้ต้าหลินและต้าจู้หมดแล้วเหลือแค่กำไลคู่เดียว เปิดกล่องมาก็ต้องเจอเลย”
กุ้ยจือเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่รู้จะบอกบ้านมารดาอย่างไร พี่สะใภ้ที่ใจแคบคนนั้นก็ไม่รู้จะค่อนแคะว่าอย่างไรอีก
คนสกุลหลิวเองก็สีหน้าไม่ดีนัก หากเื่นี้เล่าลือออกไปเกรงว่าคงตกเป็ขี้ปากชาวบ้านว่าพวกเขาริบสินเดิมลูกสะใภ้ ถึงจะบอกว่าหายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ทุกคนคงคิดว่าคนสกุลหลิวนั่นแหละที่แอบเอาไปขาย
ท่านป้าหลิวรู้สึกหงุดหงิดจนบ่นออกมา “จะร้องไห้ทำอะไร ยังไม่รีบไปหาดูอีก บ้านเราก็ไม่มีคนนอก จะหายไปได้อย่างไร”
“ใครว่าไม่มีคนนอก” เสี่ยวเตาเอ่ยเสียงเย็น “หลานสาวแม่ก็อยู่บ้านเราไม่ใช่หรือ?”
“หลานของข้าอะไรกัน” ท่านป้าหลิวตบหลังศีรษะลูกชายไปทีหนึ่ง ด่าเขาว่า “นั่นมันญาติผู้น้องของเ้า”
“ญาติผู้น้องอะไรกันล่ะ” เสี่ยวเตาะโเสียงดังอย่างไม่ยินยอม “ก่อนหน้านี้ตั้งหลายปีไม่เห็นเคยได้ยินว่าเรามีญาติด้วย ยามนี้กลับมาผูกมิตร ท่านแม่อย่าแกล้งทำเป็ไม่รู้หน่อยเลย ข้าไม่สนหรอกนะว่าท่านจะเตรียมการให้นางอย่างไร แต่อย่าเอาข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ต่อให้ข้าต้องอยู่คนเดียวไปจนตายก็ไม่แต่งกับนาง”
“เด็กคนนี้ เ้าพูดอะไรของเ้า”
สตรีมักเอนเอียงไปทางฝั่งบ้านเดิมเป็ธรรมดา หลายวันมานี้ท่านป้าหลิวได้ยินเจาตี้เอ๋อร์คร่ำครวญก็รู้สึกสงสารยิ่งนัก ความคิดที่อยากจะได้เสี่ยวหมี่มาเป็สะใภ้ก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ สั่นคลอน หนึ่งเพราะเสี่ยวหมี่ยิ่งมีความสามารถโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าต่อให้เป็มูลสัตว์นางก็เปลี่ยนให้เป็ทองได้ นางกลัวว่าลูกชายของตัวเองจะไม่คู่ควร สองคือเจาตี้เอ๋อร์เป็หลานสาวจากบ้านเดิมของนาง หากได้มาเป็สะใภ้ จะอย่างไรก็ดีกว่าคว้าเอาคนอื่นมา นี่คือสิ่งที่นางแอบหมายมั่นไว้ แต่ยังไม่กล้าพูดกับคนในบ้านแม้แต่คนเดียว
ยามนี้ลูกชายมาเปิดโปงนาง นางจึงรู้สึกราวกับวัวสันหลังหวะ รีบเสริมว่า “ไม่แน่ท่านน้าเ้าอาจจะหาสามีไว้ให้เจาตี้เอ๋อร์แล้วก็ได้ ต่อให้เ้าอยากแต่ง ผู้อื่นก็คงไม่ยอมแต่งด้วยหรอก”
“เช่นนั้นก็ดี ท่านแม่จำคำท่านไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่กตัญญูก็แล้วกัน”
เสี่ยวเตาไม่ใช่เด็กดีที่จะคล้อยตามใครง่ายๆ เขาจึงตั้งใจพูดให้ชัดเจนเสียั้แ่วันนี้
ท่านป้าหลิวยังอยากจะตีลูกชายตัวเองอีกสักทีเพื่อเรียกหน้าตาของบ้านเดิมกลับคืนมา
คิดไม่ถึง ยามนี้เจาตี้เอ๋อร์จะเดินลูบท้องเข้ามา
“ท่านป้า เช้านี้กินอะไร ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
คนสกุลหลิวต่างเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ ไม่ใช่เพราะว่าหลายวันมานี้เจาตี้เอ๋อร์กินเสบียงอาหารในบ้านหมดไปเยอะแค่ไหน แต่เพราะนางกินอย่างตะกละมูมมามยิ่งนัก ไม่สงวนกิริยาว่าตนเป็แขกสักนิด ทั้งยังไม่เกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่อีก ไม่รู้จักมารยาทแม้แต่น้อย ช่างทำให้คนรู้สึกรังเกียจจริงๆ
แต่กุ้ยจือเอ๋อร์กลับไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากนัก นางะโว่า “เจาตี้เอ๋อร์ เ้าเข้าไปในห้องข้าใช่หรือไม่? เ้าเอากำไลในกล่องของข้าไปหรือเปล่า”
เจาตี้เอ๋อร์ชะงักฝีเท้าไปนิดหนึ่ง ดวงตากลอกกลิ้งมองสีหน้าของทุกคน จากนั้นถึงได้เชิดคอขึ้น “พี่สะใภ้พูดอะไรของท่าน ข้ารู้ว่าท่านรังเกียจไม่อยากให้ข้ามาเป็แขก มากินอาหารในบ้านท่าน แต่ท่านจะมาใส่ร้ายว่าข้าเป็โจรไม่ได้นะ”
จากนั้นก็หันไปบีบน้ำตาใส่ท่านป้าหลิว “ท่านป้า ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะกลับบ้านเสียประเดี๋ยวนี้เลย ถึงแม้บิดามารดาจะทุบตีข้าอยู่บ่อยๆ ไม่ให้ข้าวกิน แต่ก็ไม่เคยใส่ร้ายว่าข้าเป็โจร ข้ากลับละ”
นางเตรียมจะเดินออกจากเรือนทันที กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เคยร้องขอแกมขู่บังคับเอามาที่นางรักนักหนานั้นก็ไม่คิดจะเอาไปด้วยแล้ว
ท่านป้าหลิวยังคิดไปว่าหลานสาวกำลังโกรธจัด แต่กุ้ยจือเอ๋อร์รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล นางจึงกัดฟันเดินเข้าไปกระชากแขนเสื้อเจาตี้เอ๋อร์
“เ้ายังไปไม่ได้ คืนกำไลข้ามาก่อน”
“ปล่อยข้านะ” เจาตี้เอ๋อร์เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยให้แขนเสื้อถูกดึงไปง่ายๆ ถึงขนาดยกเท้าขึ้นมาจะถีบไปที่ท้องของกุ้ยจือเอ๋อร์
ต้าหลินทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบเข้าไปปกป้องภรรยา เข้าไปฉุดกระชากลากแขนเสื้ออีกคน
เมื่อมีคนช่วย กุ้ยจือเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่มีทางปล่อยเจาตี้เอ๋อร์ไป
“แคว่ก”
ในที่สุดแขนเสื้อของเจาตี้เอ๋อร์ก็ทนแรงคนทั้งสองไม่ไหวขาดออกจากกัน มีห่อผ้าเล็กๆ ร่วงลงมา
เสี่ยวเตาตาแหลม เขาไปกระชากมันเปิดออกทันที
กำไลคู่หนึ่งกับเงินอีกหลายสิบอีแปะ ส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า...
“เจาตี้!”
ท่านป้าหลิวโกรธจนหน้ามืดหอบหายใจแรง
เจาตี้เห็นว่าความจริงถูกเปิดเผยแล้ว จึงแถต่อไปว่า “ข้าไม่ได้ขโมย ข้าเก็บได้ต่างหากเล่า”
น่าเสียดายที่คนสกุลหลิวไม่ได้โง่ ใครจะไปเชื่อข้อแก้ตัวเช่นนี้กัน
ท่านลุงหลิวโบกมือ “เก็บข้าวของส่งนางกลับไปเถอะ วันหน้าไม่ต้องมาอีกแล้ว”
กุ้ยจือเอ๋อร์เก็บห่อผ้าขึ้นมา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนต้าหลินจากนั้นก็จูงมือลูกชายเดินกลับเข้าห้องไป
ครั้งนี้เสี่ยวเตากลับมีน้ำใจยิ่ง ถึงกับะโออกมาว่า “ข้าจะไปส่งนางเอง ระหว่างทางกลับมาไม่แน่อาจล่ากระต่ายกลับมาได้สักตัวสองตัว”
ท่านป้าหลิวอับอายขายหน้าต่อคนทั้งบ้าน นางผิดหวังในตัวเจาตี้เอ๋อร์เป็อย่างยิ่ง “ไปเถอะ วันหน้าไม่ต้องมาอีกแล้ว”
เจาตี้เอ๋อร์เมื่อเห็นว่าท่านป้าไม่ช่วยนางอีกก็เริ่มลนลาน
“ท่านป้า ฮือๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
เจาตี้เอ๋อร์กอดขาท่านป้าหลิวไว้แน่น แทบจะดึงท่านป้าหลิวล้มลงไปด้วย เสี่ยวเตาใจะรีบเข้าไปช่วย แต่เขาเป็ผู้ชาย จะเข้าไปลากตัวญาติผู้น้องที่เป็หญิงสาวก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทำได้แค่ะโโวยวายว่า “รีบปล่อยแม่ข้าเดี๋ยวนี้นะ”
เจาตี้เอ๋อร์จะอย่างไรก็ไม่ยอม ดวงตากลิ้งกลอกหาทางเอาชีวิตรอด สุดท้ายก็คิดถึงแผนถ่วงเวลาขึ้นมาได้ “ท่านป้า ท่านให้ข้าอยู่กินข้าวอิ่มอีกสักสองวันเถอะ วันมะรืนข้าจะจากไปแต่เช้า จะไปแน่นอน”
ท่านป้าหลิวรั้งกระโปรงของนางไว้สุดแรงอย่างหมดหนทาง นางโมโหมากแต่ก็ได้แต่ยอมตกปากรับคำ “ได้ ได้ เ้ารีบปล่อยมือ”
เจาตี้เอ๋อร์ได้สมใจปรารถนาแล้ว ก็เปลี่ยนเป็หมอบคลานประจบ “ท่านป้า ข้าจะช่วยท่านล้างชามเอง”
พูดจบก็วิ่งไปที่ห้องครัว ส่วนว่าจะไปล้างชามหรือไปแอบขโมยกินนั้น ไม่มีใครรู้
เสี่ยวเตาโกรธจนกระทืบเท้า ท่านป้าหลิวเองก็มีสีหน้าไม่น่ามอง แต่จะอย่างไรก็เป็คนจากบ้านเดิมของนาง จึงปลอบว่า “ช่างเถอะ อดทนอีกหน่อย อีกแค่วันเดียวเท่านั้น นางสร้างปัญหาอะไรไม่ได้หรอก”
เสี่ยวเตาจะระบายอารมณ์โกรธใส่แม่ตัวเองก็ไม่ได้ จึงหยิบคันธนูวิ่งเข้าป่าไปล่าสัตว์ทันที
ต่อให้เวลาจะผ่านไปช้าแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยหยุดเดิน
ยามนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ คนในหมู่บ้านเขาหมีก็เริ่มกลับมายุ่งอีกครั้ง
แต่ละครอบครัวแทบจะอยากเวียนไปดูต้นอ่อนข้าวโพดของสกุลลู่วันละสามรอบ ทั้งยังเตรียมดินผืนที่คิดว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดไว้ให้พร้อม
จากนั้นเลือกวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าที่สุด ลากต้นอ่อนข้าวโพดกลับบ้านไปลงดิน
ส่วนมันฝรั่งที่เสี่ยวหมี่เลี้ยงไว้ในเรือนกระจก เนื่องจากได้อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมจึงค่อยๆ มียอดอ่อนสีขาวแทงออกมา
เมื่อวานลู่อู่จะกละออกจากบ้านนำอาหารไปให้น้องชายที่สำนักศึกษาแล้ว ที่บ้านเหลือแค่เกาเหรินที่ไม่หยุดสร้างเื่แม้แต่วันเดียว เขาหอบเอามันฝรั่งที่เพิ่งแตกยอดอ่อนไปเตรียมจะใส่กระทะผัด ทำเอาเสี่ยวหมี่ใมาก
ต้องรู้ว่าหน่ออ่อนของมันฝรั่งนั้นมีพิษ เพื่อป้องกันไม่ให้เ้าเด็กตะกละคนนี้เอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง นางต้องรีบเอามันลงดินให้เร็วที่สุด
ที่นาสามสิบหมู่ที่ตีนเขา คนหมู่บ้านเขาหมีสิบแปดครอบครัวแวะเวียนกันมาช่วยพรวนดินอย่างสม่ำเสมอ
เสี่ยวหมี่ต้มน้ำร้อนน้ำชาไปให้ชาวบ้านที่นาดื่มดับกระหาย
วันนี้เฝิงเจี่ยนสวมอาภรณ์ชุดเก่า กำลังสนทนากับคนในหมู่บ้านอยู่ มีใจคิดจะเรียนวิธีพรวนดิน แต่ก็ยังข้ามกำแพงในใจไปไม่ได้
ตอนที่กำลังลังเลอยู่นั่นเอง เสี่ยวหมี่ก็ยิ้มตาหยีเดินมาหา
นางสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน ปลายแขนเสื้อและชายกระโปรงปักดอกไม้สีเหลืองต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ยังมีใบหน้าเล็กๆ ขาวๆ ของนางยิ่งทำให้ดูสว่างไสวไปหมด
เฝิงเจี่ยนยิ้มกว้างเดินเข้าไปช่วยรับกาน้ำมาจากนาง
เสี่ยวหมี่เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่เฝิง ที่นี่สกปรกนัก ท่านมาทำอะไร”
“ข้าอยากเรียนวิธีพรวนดิน”
เฝิงเจี่ยนกล่าวอย่างไม่ปิดบังว่า “หากวิธีทำดินให้อุดมสมบูรณ์นี้สามารถเผยแพร่ออกไปได้ คงเป็ประโยชน์แก่คนทั่วหล้าอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว หากเก็บเกี่ยวได้มาก คุณภาพชีวิตของทุกคนก็จะดีขึ้น แต่ข้าก็แค่คิดวิธีขึ้นมามั่วๆ เท่านั้น ลองทดสอบในที่นาสามสิบหมู่ของบ้านข้าดูก่อน หากว่าผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงไม่เลวจริงๆ ต่อให้เราไม่อยากเผยแพร่ออกไปก็ต้องมีคนพยายามสรรหาวิธีลอกเลียนแบบอยู่ดี”
“มีเหตุผล” เฝิงเจี่ยนพยักหน้า เสร็จแล้วจึงหันศีรษะมองไปยังหุบเขาอันหนาทึบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่จู่ๆ ก็ถอนใจออกมา “เสบียงอาหารพร้อมพรัก ราษฎรจึ่งรู้มารยาท ราษฎรกินอิ่มแล้ว ประกอบสัมมาอาชีพดีแล้ว ใต้หล้าย่อมสงบสุข”
ผู้เฒ่าหยางเดินถือกล้องยาสูบยิ้มเข้ามาเอ่ยแทรกว่า “แต่ก่อนการเพาะปลูกข้าวโพดทำได้ยากมาก แต่ยามนี้ชาวบ้านบนหมู่บ้านเขาหมีรับต้นอ่อนที่โตแล้วไปปลูก ไม่ต้องเริ่มใหม่ั้แ่ต้น เรียกได้ว่าประหยัดเวลาไปมากโข เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงดินแดนเหนือย่อมได้ผลผลิตมากเหนือความคาดหมายแน่นอน”
“ใช่แล้ว เพียงแต่เสียดายที่ผ้าทะเลหายากนัก ราคาสูงลิ่ว หากสามารถผลิตขายได้มากๆ ล่ะก็ ทั่วหล้าคงจะได้ประโยชน์โดยทั่วกัน”
เสี่ยวหมี่รินน้ำชาให้เฝิงเจี่ยนหนึ่งถ้วย ตอนที่กำลังคิดจะเดินไปหาชาวบ้านคนอื่นๆ กลับได้ยินผู้เฒ่าหยางพูดขึ้นว่า “แม่นางเสี่ยวหมี่ ท่านว่าหากเพาะเมล็ดข้าวให้งอกเป็ต้นอ่อนก่อนแล้วค่อยปลูกลงในนาข้าว ก็จะสามารถร่นระยะเวลาการเติบโตของมันได้เช่นกันหรือไม่?”
“หา?” เสี่ยวหมี่อึ้งไป ถามอย่างสงสัยว่า “หรือว่าคนที่นี่ไม่เพาะกล้าก่อน หว่านเมล็ดข้าวลงนากันหมดเลยหรือ?”
คนที่นี่?
ผู้เฒ่าหยางและเฝิงเจี่ยนต่างก็จับความผิดปกติในคำที่นางเลือกใช้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงออกมา
ผู้เฒ่าหยางยิ้มแย้ม “ใช่แล้ว หลายสิบเมืองที่ทางใต้ต่างหว่านเมล็ดข้าวลงไปในนาโดยตรง”
เสี่ยวหมี่ตบศีรษะตนอย่างแรง รู้สึกว่าคำถามเมื่อครู่ของนางช่างโง่เขลานัก ในเมื่อคนที่นี่ไม่รู้จักทำเพิงเลี้ยงต้นอ่อนที่สามารถเพาะปลูกได้ทุกฤดูกาล ก็ย่อมไม่รู้จักวิธีอนุบาลกล้าข้าว
“เช่นนั้นข้าวในนาทางใต้ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวได้มากน้อยเท่าไร”
“ข้าวทั่วหล้านี้ก็ไม่ใช่ว่าเก็บเกี่ยวได้ปีละครั้งหรอกหรือ?”
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางที่ใบ้าง สี่ฤดูกาลผันแปร ปลูกในฤดูใบไม้ผลิ โตในฤดูร้อน เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง แอบซ่อนในฤดูหนาว ไม่ใช่เช่นนี้หรือไร?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้