าแนี้ก็เหนือความคาดหมายของลุงสามปี้ไปมากเช่นกัน สมองที่ยังมึนเบลออยู่แจ่มชัดขึ้นมาทันใด และเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปขอ ‘ค่ารักษา’ “นังหนูสี่ เ้าเห็นแล้วกระมัง คนผู้นี้าเ็ไม่เบาเลย วันนี้ข้าลงมือช่วยเขาคงต้องเปลืองแรงกายและเหนื่อยใจไม่น้อย เ้าอย่าลืมเชียวนะว่าต้องตุ๋นพะโล้บำรุงข้าสักหลายครั้งหน่อย”
“รู้แล้วเ้าค่ะ ลุงสามปี้ท่านรีบต่อกระดูกเร็วๆ เข้าเถอะ คุณชายท่านนี้เป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพี่สามของข้าเอาไว้นะเ้าคะ”
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่กล้ามองาแที่มีเืชุ่มโชกนั่นจริงๆ พลางเร่งรัดลุงสามปี้พร้อมมองไปรอบๆ
ใบหน้าของเฝิงเจี่ยนซีดขาวยิ่งกว่าเดิมหลายส่วนเนื่องจากาแถูกเปิดออก เพิ่งออกจากบ้านมาได้ครึ่งเดือน กลับได้รับาเ็รุนแรงถึงเพียงนี้ ดังสำนวนที่ว่าออกไปรบแต่ตัวตายก่อนได้รบ [1] ไม่ผิด ทำให้เขาอึดอัดคับข้องใจยิ่งนัก
ตอนนั้นเองสายตาของลู่เสี่ยวหมี่ก็มองสบมาพอดี สีหน้าแววตาของนางทอประกายความซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน ถึงแม้ในยุคนี้จะพบเห็นความอยุติธรรมได้โดยทั่วไป แต่ใจคนโอบอ้อมอารีเสียยิ่งกว่าที่นางเคยเจอมาในชาติก่อน แต่ถึงขนาดยอมทนทุกข์จากอาการขาหักเพื่อช่วยคนแปลกหน้าก็นับว่าน่านับถืออย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงเขยิบเข้าไปนั่งลงข้างกายเฝิงเจี่ยน ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นช่วยเช็ดหน้าเช็ดมือให้เขา
“คุณชาย หากว่าท่านไม่รังเกียจ เช่นนั้นก็ให้ข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่เฝิงตามพี่สามของข้าก็แล้วกันนะเ้าคะ ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ท่านวางใจ ลุงสามปี้เป็หมอต่อกระดูกฝีมือดีที่สุดในรัศมีร้อยลี้ ปีก่อนพี่เสี่ยวเตาที่ท้ายเรือนก็ขาหัก ลุงสามปี้ก็เป็คนช่วยต่อให้จนหายดี ตอนนี้พี่เสี่ยวเตากลับมาล่าสัตว์ได้เช่นเดิมแล้ว พักรักษาตัวไม่นานเท่านั้น”
เฝิงเจี่ยนอดทนต่อความเ็ปจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก เขาคิดอยากจะพูดอะไร แต่ก็เกรงว่าเสียงที่หลุดออกมาจะเป็เสียงกรีดร้องแทน ยามนี้ได้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดซับเหงื่อเย็นบนหน้าผากและมือทั้งสองข้าง ทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมาก คิ้วที่เดิมขมวดมุ่นคลายออกเล็กน้อย เขาหันไปมองทันที
แม่นางน้อยคนนี้อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี คิ้วดั่งใบหลิว ดวงตาทั้งสองข้างกลมโตสุกใส ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวกระจ่าง อาจไม่งดงามล่มเมือง แต่ท่าทางตอนนี้ที่ทางหนึ่งเอ่ยปลอบโยนเสียงอ่อนหวาน ทางหนึ่งลงแรงช่วยดูแลเขา กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความพิเศษ ทั้งอ่อนโยนเอื้ออารีไม่สมอายุเ้าตัว
อาจเป็เพราะเด็กจากตระกูลยากจนจำเป็ต้องรีบโตให้ไวเพื่อจัดการดูแลงานในบ้าน นึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ที่ได้ยินนางออกคำสั่งแบ่งงานอยู่หน้าประตู คาดว่าสกุลลู่นี้ ‘พ่อบ้าน’ คงเป็นางผู้นี้กระมัง
เพราะสมองล่องลอยขบคิดเื่ราวเหล่านี้ จึงรู้สึกว่าอาการาเ็ที่ขาทุเลาลง
ลุงสามปี้ลงมืออย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระดูกยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ได้ถูกบดเป็ผง จึงง่ายกว่าที่คิดไว้มาก
เพียงไม่นานเขาก็ต่อกระดูกจนเสร็จเรียบร้อย ใช้สุราฤทธิ์แรงเช็ดแผลจนสะอาด จากนั้นก็โรยผงยาและพันแผลด้วยผ้าขาว เสร็จแล้วจึงหาท่อนไม้มาดามไว้ไม่ให้เคลื่อน
“เสร็จแล้ว พักรักษาตัวไปก่อนสักสามวัน แล้วข้าจะมาเปลี่ยนยาให้ จำไว้ว่าต้องไปซื้อยาในเมืองมาต้มให้เขากินสักสองสามรอบ แล้วจะหายไวยิ่งขึ้น”
เฝิงเจี่ยนโล่งอก ประสานมือคารวะขอบคุณลุงสามปี้
“ลำบากท่านหมอแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ลุงสามปี้ยิ้มเ้าเล่ห์ราวกับหมาป่าที่ขโมยไก่ได้สำเร็จ โบกมือแสดงท่าทีบอกให้เฝิงเจี่ยนไม่ต้องขอบคุณ จากนั้นก็หันไปมองลู่เสี่ยวหมี่
“นังหนูสี่ ข้ารอเนื้อตุ๋นพะโล้ของเ้าเป็กับแกล้มอยู่นะ”
“ลุงสามปี้ ถ้าท่านยังไม่หยุดเรียกข้านังหนูอย่างนั้นนังหนูอย่างนี้อีกละก็ อย่าว่าแต่เนื้อตุ๋นพะโล้เลย แม้แต่น้ำพะโล้ก็จะไม่ได้กิน!”
ลู่เสี่ยวหมี่แสดงท่าทีต่อต้านพลางยกกะละมังน้ำขึ้นมาเดินนำออกไปส่งลุงสามปี้
บิดาลู่นำบรรดาลูกชายกำชับให้เฝิงเจี่ยนนายบ่าวพักผ่อนให้สบาย จากนั้นก็พากันหมุนกายออกไปจากห้อง
ลู่เสี่ยวหมี่คาดว่าพวกเฝิงเจี่ยนคงยังไม่ได้กินข้าวจึงเดินถือถ้วยไปยังห้องเก็บเสบียงเพื่อเอาเส้นบะหมี่มาเตรียมทำอาหาร ระหว่างเดินผ่านโถงกลางบ้านก็พอดีได้ยินพี่สามของตนชี้มือชี้ไม้โอ้อวดให้บิดาและพี่ใหญ่ฟังว่าตนร่วมกับเฝิงเจี่ยนนายบ่าวต่อสู้กับโจรูเาสิบกว่าคนอย่างไม่กลัวตายเช่นไร
บิดาลู่ชอบอ่านตำราแต่อ่านมากไปจนสมองใช้การไม่ได้ พี่ใหญ่ลู่ก็เป็คนซื่อๆ โง่งม ฟังไปก็เชื่อสนิทใจจนพากันตกอกใไม่น้อย
กลับเป็ลู่เสี่ยวหมี่ที่ฟังและวิเคราะห์ออกมาได้ว่าพี่สามของนางเป็ตัวถ่วงของเฝิงเจี่ยนนายบ่าวจนพวกเขาได้รับาเ็ ยิ่งทำให้นางรู้สึกผิดต่อเฝิงเจี่ยนยิ่งกว่าเดิม
น้ำในหม้อเดือดปุดๆ ลู่เสี่ยวหมี่หยิบเส้นบะหมี่ที่ตัดแล้วขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ใส่ลงไปในหม้อน้ำเดือด น้ำที่กำลังเดือดปุดๆ พลันสงบลงทันที แต่ถ่านที่แดงฉานในเตาไฟเบื้องล่างก็โหมกระพือให้น้ำกลับมาเดือดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว คราวนี้น้ำเดือดใสมีเส้นบะหมี่สีเข้มลอยขึ้นมาด้วย ขาวดำตัดสลับกันดูแปลกแตกต่างแต่ก็งดงามอยู่ในที
เนื้อตากแห้งเพียงเส้นเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลลู่ถูกแขวนห้อยลงมาจากคานเรือน แกว่งไปมาอยู่เหนือเตาอาหารมาเนิ่นนานแล้ว ครั้งนี้ลู่เสี่ยวหมี่ตัดใจกระชากมันลงมา หั่นเป็ชิ้นบางๆ แล้วโยนลงไปผัดในกระทะ ตามด้วยหัวหอมและขิงหั่นฝอย เสร็จแล้วก็คีบเส้นบะหมี่ที่สุกประมาณแปดส่วนแล้วใส่ตามลงไป จากนั้นโรยด้วยเกลือป่น ตบท้ายด้วยต้นหอมสับละเอียด ก็ได้เวลายกบะหมี่ร้อนๆ ออกจากเตา
ในห้อง บรรดาพ่อลูกสกุลลู่ไม่มีกะจิตกะใจคิดสนทนาเรื่อยเปื่อยกันอีกต่อไปแล้ว ดวงตาสามคู่พากันมองไปยังมุมหนึ่งของเรือนซึ่งเป็ต้นตอของกลิ่นหอมเย้ายวนที่กำลังกำจายออกมา…
“จัดโต๊ะ ได้เวลาอาหารแล้ว”
“ได้เลยขอรับ”
พี่ใหญ่สกุลลู่ที่เมื่อครู่ยังติดอยู่ในเื่เล่าที่ได้ยินได้ฟัง ยามนี้ยิ้มปากกว้างออกมาแล้ว เหมือนจะกลายสภาพจากแมวแก่ี้เีเหนือเตาไฟกลายเป็เสือร้าย ะโผลุนผลันไปยังห้องข้างๆ เพียงพริบตาก็ยกโต๊ะไม้สนขนาดประมาณหนึ่งจั้ง [2] ออกมา
บิดาลู่เองก็รีบหยิบเก้าอี้ย้ายก้นมานั่งลงตรงตำแหน่งประธานหลังโต๊ะอาหาร
พี่สามลู่เชียนเห็นบิดาและพี่ชายของตนว่องไวเช่นนี้ก็ตกตะลึงเป็อย่างมาก
ตอนที่ลู่เสี่ยวหมี่ถือบะหมี่เดินผ่านมานั้น ก็ได้เห็นสภาพสามพ่อลูกสกุลลู่ราวกับลูกหมูรอคนมาให้อาหารไม่มีผิด สีหน้าคาดหวังรอคอย ในมือถือถ้วยเปล่า
ลู่เสี่ยวหมี่หมดแรงจะโมโหแล้ว ไม่สนใจแบ่งบะหมี่ให้บิดาและพี่ชายที่รอกิน ถือถ้วยเดินไปยังห้องอุ่นฝั่งตะวันออก
ในห้องอุ่น เฝิงเจี่ยนนายบ่าวต่างพากันถอดเสื้อคลุมบุฝ้ายออก บ่าวชรากำลังอ่านตำรา ส่วนเด็กน้อยชุดแดงกำลังะโโลดเต้นไม่หยุดหย่อน คล้ายว่ากำลังตามหาห้องลับเก็บสมบัติของตระกูลลู่อยู่ก็ไม่ปาน...
ครั้นเห็นว่าลู่เสี่ยวหมี่เดินเข้ามา เฝิงเจี่ยนก็สาดสายตาเ็าไปทางเด็กชุดแดงทีหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นกลอกตามองบนอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ แต่สุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งๆ
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่ได้โกรธ นางวุ่นวายอยู่กับการจัดโต๊ะแล้ววางถ้วยบะหมี่ลงไป ขบคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอบกายคารวะอย่างจริงจังไปทีหนึ่ง
“พี่ใหญ่เฝิง ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตพี่สามของข้าไว้ ยามนี้อากาศหนาวเย็น อีกทั้งพี่ใหญ่เฝิงเองก็เดินเหินไม่สะดวก หากไม่รังเกียจที่บ้านข้ายากจน ก็พักรักษาตัวอยู่เสียที่นี่ ท่านว่าดีหรือไม่?”
เฝิงเจี่ยนาเ็สาหัสเช่นนี้ อีกทั้งตอนออกจากบ้านก็นำเงินติดตัวมาด้วยแค่สิบตำลึง ตอนนี้ใช้ไปจนแทบจะไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่พักรักษาตัวอยู่ที่สกุลลู่แล้วยังจะไปไหนได้อีก?
ถึงแม้จะบอกว่าบุญคุณช่วยชีวิตสูงเทียมฟ้า การที่สกุลลู่จะช่วยรักษาอาการาเ็ให้เขา เลี้ยงอาหารทั้งให้ที่พักรักษาตัวล้วนเป็เื่ที่สมควร
แต่การที่ลู่เสี่ยวหมี่เป็คนเสนอออกมาก่อนเช่นนี้ ก็นับว่ารู้มารยาทและรอบคอบ
“แม่นางลู่เกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเองก็ไร้ที่ไป คงต้องขอรบกวนพวกเ้าสักระยะแล้ว”
เฝิงเจี่ยนเอ่ยเสียงเรียบๆ แต่สีหน้าไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด
ลู่เสี่ยวหมี่กลอกตามองไปรอบๆ โดยคร่าวทีหนึ่ง แล้วจึงช่วยตักบะหมี่ให้เฝิงเจี่ยนจากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป เด็กน้อยชุดแดงกลับไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงแอบเปิดประตูเบาๆ เดินตามหลังออกไป...
เฝิงเจี่ยนราวกับไม่สังเกตเห็น เขายกถ้วยบะหมี่ตรงหน้าขึ้นมาช้าๆ บะหมี่สีเข้มกองอยู่ที่ก้นถ้วย ตามด้วยเนื้อตากแห้ง ขิงหั่นฝอยสีเหลืองอ่อน ต้นหอมสีเขียวมรกต ทั้งหมดนี้ถูกจัดแจงอย่างดีอยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบ ดูเรียบง่ายแต่หอมฟุ้งยั่วน้ำลาย
กลืนลงท้องไปคำหนึ่ง รสชาติสดใหม่กำลังพอดี ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางยาวไกลคล้ายว่าจะสลายหายไปอย่างง่ายดายพร้อมกับบะหมี่คำนี้...
ที่ห้องโถงใหญ่ พ่อลูกสกุลลู่เพิ่งจะวางตะเกียบลงก็เห็นบุตรสาวเดินเข้ามา บิดาลู่ก็รีบกวักมือเรียก “ลูกสาว เหลือไว้ให้เ้าชามใหญ่เลย รีบเข้ามากินเถอะ”
ลู่เสี่ยวหมี่รับคำอย่างเกียจคร้านไปทีหนึ่ง ตะเกียบในมือคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมา แต่กลับไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย
บิดาลู่รู้สึกกังวลเล็กน้อยจึงถามขึ้นว่า “ลูกสาว เป็อะไรไป หรือทางคุณชายเฝิงพูดอะไรไม่น่าฟังหรือ? เื่นี้เป็ความผิดของพี่สามของเ้า อีกประเดี๋ยวให้เขารับหน้าที่เข้าไปดูแลแทนเถอะ”
พี่สามลู่กำลังยกน้ำแกงในถ้วยขึ้นซด เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเอ่ย “พี่ใหญ่เฝิงโมโหหรือ? เพราะปวดขาหรือ? อีกประเดี๋ยวข้าจะรีบเข้าไป”
ลู่เสี่ยวหมี่วางตะเกียบลง โบกมือเบาๆ เริ่ม ‘สั่งสอน’ บิดาและพี่ชายที่สมองค่อนข้างมีปัญหาของตน
“พี่ใหญ่เฝิงไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะผู้อื่นไม่ได้ว่าอะไรนั่นแหละ ข้าถึงได้กลุ้มใจอยู่เช่นนี้ ผู้อื่นาเ็เพราะช่วยพี่สามไว้ สมควรที่จะต้องพักรักษาตัวอยู่กับเราจนกว่าจะหายดี แต่ว่าวันนี้พี่ใหญ่ได้เงินกลับมาแค่แปดร้อยอีแปะ ยังไม่พอค่ายาเลยกระมัง อีกอย่าง ข้าเห็นว่าพวกพี่ใหญ่เฝิงไม่ได้เตรียมสัมภาระอะไรมา ทั้งผ้าห่มผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า...ล้วนต้องซื้อเพิ่ม แม้แต่เสบียงในบ้านก็เกรงว่าคงไม่พอถึงคืนข้ามปี ปีใหม่ ผู้คนในหมู่บ้านล้วนกินปลากินเนื้อกัน พวกท่านจะให้เราเลี้ยงแขกด้วยการกินลมตะวันตกเฉียงเหนือหรืออย่างไร?”
พูดจบบรรดาพ่อลูกสกุลลู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา จากนั้นก็พากันหน้าแดงก่ำ
พี่ใหญ่ก้มหน้าลงไปใช้นิ้วขูดมุมโต๊ะ รู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนักที่วันนี้เกิดใจอ่อนแบ่งเสบียงให้ผู้อื่นไป
บิดาลู่เองก็กระแอมออกมาสองเสียงอย่างกระอักกระอ่วน หักใจเอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้น...วันพรุ่งนำตำราเล่มนั้นของพ่อไปแลกเงินกลับมาเถอะ”
ครั้งนี้ลู่เสี่ยวหมี่ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะถอดถอนใจ พูดตามจริง พี่ใหญ่ลู่นำเสบียงไปขายแลกเงินมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกเสบียงเต็มสองคันรถขายแลกเงินมาได้สี่ตำลึงเงิน นางคิดจะแบ่งไปซื้อเกลือสักสองจิน [3] มาเก็บไว้ บิดาลู่กลับนำเงินสี่ตำลึงนั้นไปแลกตำราเก่าคร่ำครึกลับมาเล่มหนึ่ง
ตอนนั้นนางโกรธจนแทบจะสิ้นสติ แต่จะให้ทุบตีบิดาระบายความโกรธก็ไม่ได้
ยามนี้ร้อนใจ้าใช้เงิน หากคิดจะเอาตำราเก่าคร่ำครึนั่นไปขายแลกเงิน เกรงว่าตำราเก่าคร่ำครึเล่มเดียว คงแลกเป็เหรียญทองแดงได้ไม่ถึงร้อยเหรียญด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อเก็บเอาไว้เถอะ ข้าจะลองคิดหาวิธีอื่น”
เป็ไปตามคาด เมื่อบิดาลู่ได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้มแฉ่งทันที “อา ดีเลย...”
เขาพูดไปได้นิดเดียวก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก รีบแก้คำทันที “พ่อหมายความว่า เรามาลองคิดหาวิธีอื่นกันเถอะ”
ลู่เสี่ยวหมี่กินบะหมี่อย่างลวกๆ เหลืออีกครึ่งถ้วยที่จะอย่างไรนางก็กินไม่ลง แล้วก็เป็พี่ใหญ่ลู่ที่รับไป ‘ทำความสะอาด’
พี่สามลู่เกรงว่าน้องสาวจะโกรธเขา จึงแย่งหน้าที่ล้างจานไปทำเอง น่าเสียดายที่เขาทำถ้วยแตกไปถึงสองใบ...
ลู่เสี่ยวหมี่ทนจนสุดจะทน รีบดันพี่ชายออกไป จากนั้นก็เข้าไปขัดหม้อและถ้วยชามโดยคิดเสียว่ามันคือกะโหลกศีรษะของบิดาและบรรดาพี่ชายของนาง…
ตกกลางคืนลมเหนือก็พัดมา หิมะแรกที่เกาะอยู่บนต้นไม้เดิมก็บางเบาอยู่แล้วถูกพัดหายไปจนเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งในสาม สิ่งนี้ทำให้ป่าทั้งป่าที่เหมือนถูกสวมทับไว้ด้วยอาภรณ์สีขาวสุภาพ ค่อยๆ เปิดเผยรูปลักษณ์เดิมของมันออกมา
ลู่เสี่ยวหมี่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็เห็นบ่าวชราชุดเทาลุกขึ้นมาช่วยกวาดลานเรือนแต่เช้าเช่นกัน นางรู้สึกละอายใจยิ่งนัก นางถือโอกาสสอบถามได้ความว่าเมื่อคืนนี้เฝิงเจี่ยนไม่มีไข้ขึ้นสูง ก่อนจะรีบร้อนไปทำหารทันที จากนั้นก็เร่งให้พี่ใหญ่ลู่เข้าเมืองไปซื้อยา
เมื่อคืนเป็เพราะเย็นมาก ประตูเมืองปิดไปแล้วก็ช่างเถอะ แต่หากวันนี้ยังไม่รีบกินยาแล้วอาการาเ็ที่ขาของเฝิงเจี่ยนเกิดรุนแรงขึ้นมาก็ลำบากแล้ว
พี่ใหญ่ลู่เองก็รู้หนักเบา หยิบขนมแป้งข้าวโพดทอดมาสองชิ้นแล้วรีบเข้าเมืองไป
ลู่เสี่ยวหมี่ต้มโจ๊กผสมผัดผัก หั่นขนมแป้งข้าวโพดเป็ชิ้นเล็กๆ นำไปทอดจนเหลืองกรอบ แล้วจึงเรียกพี่สามลู่มายกไปที่เรือนพักฝั่งตะวันออก
ตอนที่คนทั้งครอบครัวกำลังจะกินโจ๊กที่เหลือประทังชีวิตอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู
บุตรชายสกุลหลิว หลิวเสี่ยวเตาที่อยู่ด้านหลังเรือนของพวกนาง หัวเราะเริงร่าพลางถามลู่เสี่ยวหมี่ที่มาเปิดประตูว่า “น้องเสี่ยวหมี่ พี่รองของเ้าเล่า ผู้เฒ่าเฝิงบอกว่าสองสามวันนี้คงไม่มีหิมะตกอีก พวกเราตั้งใจจะขึ้นเขาไปเสี่ยงโชคอีกสักที จึงแวะมาเรียกพี่รองของเ้าไปด้วยกัน”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนี้ ก็ลอบกัดฟันกรอด นางอยากจะอัดพี่รองของตนให้น่วมเสียจริงๆ ั้แ่เล็ก หลังจากที่เขาไปฝึกวิทยายุทธ์กับผู้เก่งกล้าบนเขาอะไรนั่นมา ก็มักจะหายหัวไปจากบ้านบ่อยๆ แต่พูดให้สวยหรูว่าเป็วีรบุรุษออกพเนจรผดุงคุณธรรม
เชิงอรรถ
[1] ออกไปรบแต่ตัวตายเสียก่อนที่จะได้รบ(出师未捷身先死)เป็ท่อนหนึ่งในกลอนที่ไว้อาลัยถึงขงเบ้งในสามก๊ก โดยมีบทเต็มๆ ว่า出师未捷身先死,长使英雄泪满襟。แปลว่า เคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวก็ตายเสียก่อน ยังให้เหล่าวีรบุรุษหลั่งน้ำตา
[2] จั้ง(丈)หน่วยวัดความยาวของจีน ขนาดประมาณ 10 ฟุต
[3] จิน(斤)1 จิน เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้