น่าเสียดาย สองพี่น้องยังพักได้ไม่ถึงหนึ่งวันก็ถูกใช้ให้ไปทำงานหนักอีกอย่างคือลอกส้วม
พี่รองลู่วิ่งหนีไปในคืนนั้นทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไปหลบอยู่กับอาจารย์บนเขาที่เสี่ยวหมี่ไม่เคยพบมาก่อนคนนั้น
ยังดีที่สกุลลู่มีพี่ใหญ่ที่ยอมโดนโขกสับโดยไม่ปริปากบ่น
วันนี้ เฝิงเจี่ยนเองก็มาที่เรือนหลัง ทำให้ลู่เสี่ยวหมี่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เมื่อนำอุจจาระมาผสมรวมกับดินดำ กลิ่นปุ๋ยจึงไม่รุนแรงนัก ของสิ่งนี้แหละที่จะช่วยหล่อเลี้ยงต้นอ่อนให้เจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์
เมื่อเตาถูกจุดก็ทำให้อากาศในห้องปีกฝั่งตะวันตกและตะวันออกอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่ปิดบังเฝิงเจี่ยนนายบ่าว เพราะอย่างไรต้นอ่อนที่นางจัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ก็มีผู้เฒ่าหยางเป็ผู้เขียนบันทึกให้
ลูกผักชีที่แช่น้ำอยู่สองวันสองคืนถูกนำออกมาเพาะไว้ในถุงอีกห้าวัน ยามนี้มีต้นอ่อนเล็กๆ งอกออกมาแล้ว ดูอ่อนแอบอบบางยิ่ง
ผักเขียว หรือที่คนรุ่นหลังเราเรียกกันว่าแตงกวานั้นยิ่งง่ายใหญ่ แค่แช่ไว้ในน้ำคืนเดียวก็มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว
ส่วนผักกาดขาว ผักโขมและเมล็ดข้าวโพดที่มีจำนวนมากที่สุดพวกนี้ก็สามารถละเว้นขั้นตอนเพาะต้นอ่อนไปได้เลย
ในห้องปีกฝั่งตะวันออกและตะวันตก กล่องทุกใบมีปุ๋ยและดินดำใส่ไว้จนเต็ม รดน้ำจนชุ่ม
เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ถูกโปรยลงไปบนดินสีดำ สีสันตัดกันชัดเจน เห็นแล้วไม่มีใครอยากโกยดินกลบ
ยุ่งวุ่นวายกันอยู่เช่นนี้ถึงสองวัน ในที่สุดทุกกล่องก็มี ‘ความหวัง’ ใส่ลงไปรอการเจริญเติบโต
ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะยุ่งอยู่กับการจัดแจงให้คนนู้นทำสิ่งนี้ คนนี้ทำสิ่งนั้น แต่ที่จริงแล้วนางไม่มีความมั่นใจเลย ชาติที่แล้วอย่างมากนางก็แค่คอยเป็ลูกมือให้ท่านผู้อำนวยการ แต่ชาตินี้นางต้องเป็ตัวตั้งตัวตีเสียเอง
หากว่าไม่สำเร็จ ก็เท่ากับว่าเหนื่อยเปล่าแล้ว
ที่สำคัญกว่านั้นคือคงจะเสียดายเงินไม่น้อย พวกชั้นไม้และกล่องไม้พวกนี้ยังไม่เท่าไร วัสดุไม่ใช่ของดีนัก คำนวณรวมค่าแรงแล้ว ครอบครัวท่านลุงหลิว้าค่าจ้างเพียงสองตำลึงเท่านั้น นับว่าถูกอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้เพื่อประหยัดสถานที่ เพื่อให้เพาะต้นอ่อนให้ได้เยอะๆ ตอนที่โปรยเมล็ดพันธุ์ลงไปจึงลงไว้ค่อนข้างชิดกัน คิดว่าหลังจากนี้คงจะต้องทำการย้ายต้นอ่อนบางส่วนออกไม่ให้ติดกันจนเกินไป ถึงตอนนั้นก็ต้องสร้างเพิงเพาะชำเพิ่มแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็เริ่มลงมือไปแล้ว ลู่เสี่ยวหมี่จะนึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องตั้งอกตั้งใจเฝ้าดูแล ‘ความหวัง’ ของสกุลลู่ให้รีบเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง
ชาวบ้านในหมู่บ้านเขาหมีได้ยินมาจากสกุลหลิว หรือไม่ก็จากลูกๆ ของตนว่า เสี่ยวหมี่ใช้ห้องดีๆ สองห้องเปลี่ยนเป็โรงเพาะชำก็รู้สึกสงสารสกุลลู่ยิ่งนัก
เวลาที่พวกผู้ใหญ่มาชุมนุมสนทนาสัพเพเหระกัน ก็อดพูดถึงสกุลลู่ไม่ได้ว่าเลี้ยงบุตรสาวอย่างตามใจเกินไป เหตุใดบิดาลู่จึงไม่ห้ามปรามนางไว้บ้าง
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ได้โง่เขลา นางจะไม่รู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร แต่นางยุ่งยิ่งนักจึงไม่มีเวลาไปสนใจเื่พวกนี้
ไม่นาน กล่องเพาะเลี้ยงในเรือนกระจกก็ค่อยๆ มีต้นอ่อนงอกขึ้นมา โดยเฉพาะกล่องผักชี ผักกาดขาว และผักโขม มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นสีเขียวอ่อนเรียงกันเป็ทิวแถว
เพียงแต่ในห้องแสงแดดส่องไม่ถึง พืชพวกนี้เมื่อไม่ได้รับแสงแดดก็เหมือนเด็กขาดสารอาหาร จึงดูอ่อนแอเป็พิเศษ
ลู่เสี่ยวหมี่จึงต้องเกณฑ์แรงงานคนในบ้านมาช่วยกันย้ายกล่องจากห้องปีกฝั่งตะวันออกและตะวันตกให้สลับกันออกมาอาบแสงอาทิตย์
การทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังดีที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ต้นอ่อนโตวันโตคืนอย่างแข็งแรง
่เวลาที่ยุ่งวุ่นวายมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่คนสกุลลู่กำลังสาละวนอยู่กับเรือนกระจกเพาะต้นกล้านั้น พระอาทิตย์ด้านนอกก็เปล่งแสงร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ลมหนาวใกล้จะหายไปจนหมดแล้ว ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ก็นับว่าอบอุ่นกว่าก่อนหน้าถึงสามส่วน
หิมะที่ถมอยู่บนูเาค่อยๆ ละลายอย่างช้าๆ ป่าเขาเริ่มเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา สัตว์บางตัวที่ใจร้อนก็พากันมุดออกจากรูแล้ว
เมื่อลู่เสี่ยวหมี่ถูกน้ำแข็งบนหลังคาที่ละลายหยดลงใส่ลำคอก็ทำเอาหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้ว
นางจึงรีบให้คนที่บ้านเตรียมพื้นที่บริเวณสวนกลางบ้านให้เป็สถานที่พำนักแห่งถัดไปของต้นกล้า เริ่มกำจัดหิมะ ฝังปุ๋ยคอกม้าแห้งที่ถูกเผาเพื่อให้มันเย็น แล้วคลุมทับด้วยดินดำ หลังจากนั้นก็แค่ต้องสร้างเพิงโค้งทับ้า เช่นนี้ก็พร้อมจะย้ายบรรดาต้นกล้าออกมาสู่บ้านใหม่แล้ว
ที่โต๊ะอาหาร เฝิงเจี่ยนได้ยินลู่เสี่ยวหมี่พูดว่าจะเข้าเมือง จึงกล่าวว่า “ข้าจะไปด้วย”
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นว่าเดี๋ยวนี้เขาเดินได้เหมือนปกติแล้ว จึงไม่ได้คัดค้านอะไร ตอบรับว่า “ได้สิ พี่ใหญ่เฝิง ท่านจะซื้อสิ่งใด ต้องให้ข้าเตรียมเงินไว้ให้หรือไม่?”
“ไม่ต้อง แค่ไปเดินชมดูเท่านั้น”
เฝิงเจี่ยนไม่อยากพูดอะไรมาก ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ได้ถามให้มากความ เช้าวันรุ่งขึ้น พี่รองลู่เตรียมรถม้า เนื่องจากตอนนี้หิมะละลายลงอย่างรวดเร็วและคนร่วมเดินทางก็มีหลายคน กลายเป็ว่าตอนนี้รถม้าเคลื่อนตัวได้เร็วกว่าเลื่อนแล้ว
…
มีนกกาที่ตื่นเต้นกับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังใกล้เข้ามา พวกมันบินวนอยู่เหนือที่นาที่มีหิมะปกคลุมเพื่อเสาะหาต้นอ่อนที่โผล่พ้นหิมะ หรือไม่ก็ธัญพืชที่ตกหล่นอยู่บนพื้นมาั้แ่่สิ้นฤดูใบไม้ร่วง
ช่างฝีมือบางคนที่อยู่นอกเมืองรวบรวมความกล้า ตั้งใจจะเข้าเมืองไปหางานทำ หมายจะเก็บเงินให้ได้เป็กอบเป็กำก่อนฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง
อย่างไรเสีย ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน คนจนล้วนต้องดิ้นรนต่อไป
ไม่เหมือนผู้มีอันจะกินที่เฝ้ารอทิวทัศน์อันงดงามของฤดูใบไม้ผลิ สิ่งที่คนจนปรารถนาคือพืชผักบนูเาเจริญงอกงาม หรือไม่ก็ปลาตัวโตะโพ้นน้ำขึ้นมา
ม้าที่พวกเฝิงเจี่ยนนำมาร่วมแรงกับม้าสกุลลู่ทำให้เข้าเมืองมาได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ในรถม้าจะมีคนนั่งอยู่ถึงห้าคนก็ตาม
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ายังไม่ทันเลยครึ่งลำตัวคน พวกเขาก็มาถึงประตูเมืองอันโจวแล้ว เพิงคนจรรอบกำแพงเมืองถูกพัดกระจัดกระจายจนดูไม่ออกว่าเคยมีคนพักอาศัยมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าคนจรที่เคยพักอยู่ที่นี่ไปไหนเสียแล้ว หรืออีกอย่างก็คือ รู้ เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมา
ลู่เสี่ยวหมี่แอบทอดถอนใจ นางก้มหน้าลงไปไม่กล้ามอง
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารยามวันนี้ก็ไม่รู้เพราะ่ปีใหม่ใช้เงินหมดไปแล้วหรืออย่างไร ภาษีเข้าเมืองในครั้งนี้จึงสูงถึงยี่สิบอีแปะต่อคน ห้าคนรวมแล้วเสียไปหนึ่งร้อยอีแปะ ทำเอานางปวดใจอย่างยิ่ง
“สุนัขเฝ้าประตูพวกนี้ ยิ่งใช้ไม่ได้ขึ้นทุกวัน หากเอาเงินพวกนี้ไปซื้อแป้งทอดแจกคนจร คาดว่าคงช่วยคนได้อีกหลายชีวิต”
“น้องสาวอย่าโกรธไปเลย รอคืนนี้ข้าจะ...” พี่รองลู่ตบอกตัวเองอย่างแข็งขัน แต่พูดได้ครึ่งเดียวก็ถูกลู่เสี่ยวหมี่เอามือปิดปาก
“พี่รอง อย่าสร้างปัญหาให้ข้าเลย มีอะไรค่อยกลับไปคุยที่บ้าน”
อาจเพราะสองพี่น้องสกุลลู่เดินนำเข้าเมืองไปอย่างว่องไว จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเฝิงเจี่ยนนายบ่าวเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ส่วนเกาเหรินถูกส่งไปเป็คนเฝ้ารถม้า แน่นอนว่ามีสิ่งแลกเปลี่ยนคือเมื่อกลับไป ลู่เสี่ยวหมี่จะทำเนื้อกระต่ายหม่าล่าให้เขา ซึ่งเขากินได้คนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่ง
หลังจากซื้อของกินและอาภรณ์ของใช้ครบถ้วนแล้ว ลู่เสี่ยวหมี่ก็เดินเที่ยวชมร้านขายของไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พบของถูกใจแม้แต่ร้านเดียว
ก่อนอื่นต้องหาวัสดุมาใช้แทนพลาสติก ซึ่งต้องรักษาความอบอุ่นได้ดีไม่เช่นนั้นต้นกล้าของนางคงถูกแช่แข็งจนตาย ประการที่สองจะต้องโปร่งพอที่แสงจะลอดผ่านได้ แสงจะช่วยส่งเสริมให้ต้นกล้าเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถทำได้ทั้งสองประการนี้ ก็ไม่สู้ตั้งต้นกล้าไว้ในห้องเพาะชำเช่นเดิม ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยย้ายกระถางไปมา
การจะหาของที่ต้องใจนางทั้งสองประการนี้ไม่ใช่เื่ง่ายเลย
กระดาษไขที่ซื้อมาถูกๆ ตามตลาดนั้นก็ไม่ระบายอากาศ แม้จะรักษาความอบอุ่นได้ดี แต่มันหนาเกินไป แสงไม่อาจลอดผ่านได้
เดินไปถึงร้านผ้า เลือกได้ผ้าขาวบางที่แสงส่องผ่านได้ดีมาหนึ่งผืน แต่น่าเสียดายที่มันไม่ช่วยรักษาอุณหภูมิ อีกทั้งราคายังแพงมากเสียจนเสี่ยวหมี่นึกอยากสังหารคน
คนทั้งคณะเดินกันจนน่องเป็ตะคริวแล้ว เสี่ยวหมี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าขาของเฝิงเจี่ยนยังไม่หายสนิท นางรู้สึกผิดเป็อย่างมาก จึงรีบหาร้านน้ำชานั่งพักเท้าทันที
ในร้านมีคนไม่น้อย น้ำชาและของว่างที่นี่รสชาตินับว่าไม่เลว ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเหนื่อยอ่อนจึงทั้งกระหายและหิว เมื่อได้กินของว่างและดื่มน้ำชาตามจนเกลี้ยงแล้วถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น
เฝิงเจี่ยนบีบขาที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยเบาๆ เขามองไปทางเสี่ยวหมี่ แม่นางน้อยคนนี้ไม่กระตือรือร้นมีชีวิตชีวาอีกแล้ว นางในยามนี้คล้ายดอกไม้ที่ถูกพายุหิมะพัดกระหน่ำใส่ แลดูน่าสงสารเป็อย่างยิ่ง
เขาขมวดคิ้วขบคิดอะไรบางอย่าง ตอนที่กำลังจะเอ่ยปาก คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีเด็กรับใช้สวมอาภรณ์สีฟ้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในร้าน สอดส่ายสายตาครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแย้มแล้วพุ่งมาหาเสี่ยวหมี่
“แหม ดีใจจริงๆ แม่นางลู่ท่านยังไม่ออกจากเมืองไปสินะขอรับ”
เด็กรับใช้คนนั้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่ของเราบอกให้ข้าไล่ตามแม่นางมา บอกว่าเมื่อครู่ได้ผ้าชุดใหม่มาจากทางใต้ มีผ้าชนิดหนึ่งเรียกกันว่า ผ้าทะเล อาจจะตรงใจแม่นาง เชิญแม่นางไปดูหน่อยเถอะขอรับ”
“จริงหรือ ดียิ่งนัก”
ลู่เสี่ยวหมี่ที่เดิมทียอมแพ้ไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เื่ราวจะพลิกผันจนได้รับโอกาสนี้มา
นางตื่นเต้นเป็อย่างมาก รีบลุกขึ้นเตรียมจะเดินตามไปทันที แต่เมื่อนึกถึงขาของเฝิงเจี่ยนก็ชะงักเท้า
“พี่ใหญ่เฝิง ไม่สู้ท่านรอข้าอยู่ที่นี่เถอะ ซื้อของเสร็จแล้วข้าค่อยมารับท่านกลับบ้านพร้อมกัน”
เดิมทีนางนึกว่าเฝิงเจี่ยนจะปฏิเสธ แต่กลับกลายเป็ว่าเฝิงเจี่ยนพยักหน้าตกลงแต่โดยดี
“ได้ พอดีเลย ข้ามีเื่ต้องไปจัดการเช่นกัน”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี เดี๋ยวเจอกันนะเ้าคะ พี่ใหญ่เฝิง”
พี่รองลู่ย่อมต้องติดตามน้องสาวของตนไป มีเด็กรับใช้เดินนำคนทั้งสองกลับสู่ถนนที่พลุกพล่านอีกครั้ง
ลู่เสี่ยวหมี่ขบคิดแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จึงเอ่ยปากถาม “พี่รอง ท่านว่าพวกพี่ใหญ่เฝิงมีเื่อะไรให้ไปจัดการกันนะ เขาได้บอกพี่หรือไม่ พวกเขามีสหายหรือมีการค้าอยู่ที่อันโจวหรือ?”
ลู่อู่เบิกตาโตอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าน้องสาวที่เฉลียวฉลาดของเขาเหตุใดจู่ๆ ถึงได้ถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้ออกมา
“แน่นอนว่าย่อมต้องไปเตรียมการกลับบ้านน่ะสิ อาการาเ็ที่ขาของเขาหายดีแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องกลับบ้านหรือไม่ก็ทัศนาจรต่อไป ไม่เช่นนั้นจะให้เขาพักอยู่ที่บ้านเราตลอดไปหรือ?”
ลู่เสี่ยวหมี่สะดุดขาตัวเอง จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกหนักอึ้ง
หลังจากที่ได้อยู่ร่วมกันมาแรมเดือน นางมองเฝิงเจี่ยนนายบ่าวทั้งสามคนเป็เหมือนคนในครอบครัวไปแล้ว ไม่เคยคิดถึงว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาต้องจากไป โดยเฉพาะคนผู้นั้น คล้ายว่าไม่ว่ายามใดขอแค่นางหันกลับไปก็จะเจอเขาอยู่เสมอ...
จากไป...
สองคำนี้ช่างหนาวจับใจ...
“แม่นางลู่มาถึงแล้ว เข้ามาเถอะขอรับ”
เด็กรับใช้ชุดฟ้าเอ่ยเสียงดัง ลู่เสี่ยวหมี่จึงกดความไม่สบายใจในใจลงไป ฝืนทำตัวกระตือรือร้นแล้วก้าวเท้าเข้าไปในร้าน
เถ้าแก่ร้านผ้ารูปร่างผอมบาง เป็เฒ่าชราที่มีเคราแพะ เมื่อเห็นว่าเด็กรับใช้ของตนพาลู่เสี่ยวหมี่กลับมาได้แล้วก็ยินดียิ่ง
เขาขึ้นหน้าไปประสานมือคารวะ ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางลู่ เมื่อครู่มีผ้าใหม่มาจากทางใต้ ในนั้นมีผ้าทะเลแทรกมาด้วยไม่กี่พับ ข้าเห็นว่าเหมือนกับของที่แม่นางลู่อยากได้ จึงบังอาจให้คนไปเชิญแม่นางกลับมา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้