“หลิงซวง ถึงตาเ้าออกโรงแล้ว ทำให้ทุกกองกำลังของเมืองหลวงได้เห็นความสามารถของเ้าซะ”
หลังจากโจวมู่ไป๋ทำสำเร็จ หนานกงเฉินบนอัฒจันทร์ก็ส่งเสียงผ่านจิตไปหา หลิงซวงผู้เหมือนประหนึ่งบุตรสาวของเขา ซึ่งเป็ตัวเอกของวันนี้
“อืม” หนานกงหลิงซวงพยักหน้า จากนั้นเห็นนางเคลื่อนไหว ิญญาาหงส์ส่องประกายแข่งกับแสงจ้าของม่านกระจก
เมื่อเดินผ่านเย่เฟิง หนานกงหลิงซวงพลันหยุดชะงัก สายตาเย่อหยิ่งเหลือบมองเย่เฟิง กล่าวว่า “ข้าจะทำให้เ้าเห็น ว่าระหว่างเ้ากับข้ามันห่างชั้นแค่ไหน”
จากนั้นหนานกงหลิงซวงเดินไปทางม่านกระจก พร้อมกับแสงห้าสีโคจรรอบกายแฝงด้วยกลิ่นอายมงคล ซึ่งหนานกงหลิงซวงไปถึงที่ด้านหน้าม่านกระจกได้อย่างง่ายดาย
“หนานกงหลิงซวงร้ายกาจอย่างที่คิดไว้ ิญญาาหงส์ขั้นเขียวไม่ใช่เื่จอมปลอม แม้แต่ม่านกระจกยังโปรดปราน ซ้ำยังไม่ปล่อยแรงกดดัน!”
นาทีนี้สายตาของทุกคนต่างจับจ้องหนานกงหลิงซวงด้วยความคาดหวัง
พวกเขาอยากรู้ว่าหญิงงามแห่งอาณาจักรจ้าวผู้นี้จะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด ในระดับเดียวกัน โจวมู่ไป๋จะเทียบเคียงได้หรือไม่
เย่เฟิงเหยียดยิ้มเยือกเย็น ขณะมองสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ
ิญญาาหงส์ทำให้หนานกงหลิงซวงมีสายเืหงส์ มีพลังหงส์แกร่งกล้า ตอนนี้สายเืหงส์ของนางส่งเสียงคำรามและมีเพลิงนิพพานรายล้อมร่าง
คลื่นความร้อนแผ่กระจาย ทำให้อุณหภูมิบนเวทีประลองสูงขึ้น จนทุกคนรู้สึกได้
“เพลิงนิพพานช่างทรงพลัง!” เหล่าผู้คนต่างตะลึงงัน สมแล้วที่หนานกงหลิงซวงเป็ผู้ปลุกิญญาาหงส์ เพลิงนิพพานน่ากลัวมากจริง ๆ !
เมื่อเปรียบเทียบกัน ิญญาาต้าเผิงของโจวมู่ไป๋ก็ดูด้อยลงถนัดตา
“วี้ด!” หงส์กู่ร้อง เพลิงนิพพานไหลไปตามแขนของหนานกงหลิงซวง ก่อนนางจะแผดเสียงคำราม ฝ่ามือหงส์ที่อัดแน่นไปด้วยเปลวไฟอันแกร่งกล้าถูกปล่อย เหมือน้าทำลายทุกสิ่งให้สิ้นซาก!
“ตูม ตูม ปัง!” เสียงะเิดังสามครั้ง ฟ้าดินสั่นไหว!
ทันใดนั้นอักขระบนม่านกระจกเกิดเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง จากนั้นแรงะเืแห่งการทำลายล้างเข้าปกคลุมฟ้าดิน ก่อนจะไปเยือนทุกคนในพริบตาเดียว
เพียงเวลาสั้น ๆ ก็มี 200 คนถูกแรงะเืนั่นซัดกระเด็นจนตกจากเวทีประลอง
นาทีนี้เหล่าผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างนิ่งอึ้ง พลังของหนานกงหลิงซวงจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
เพลิงนิพพานรายล้อมร่างหนานกงหลิงซวง ิญญาาหงส์กะพริบแสงประหลาด ซึ่งแรงะเืนั่นทำอะไรนางไม่ได้แม้แต่น้อย
ดวงตาของนางเผยประกายคมกริบกวาดมองทั่วเวทีประลอง ซึ่งหยุดมองที่เย่เฟิงและโจวมู่ไป๋นานสุด ซ้ำยังมองด้วยสายตาเย่อหยิ่งและดูแคลน
“ตูม ตูม!” เสียงสั่นะเืดังขึ้น พลังโจมตีของหนานกงหลิงซวงยังหลงเหลืออยู่ พลังทำลายล้างจึงรุนแรงกว่าเดิมประหนึ่งภูผาลูกั์ ก่อนจะไปเยือนฝูงชน ทำให้คนไม่น้อยหายใจลำบากหรือไม่ก็หมดสติไปจนถูกคัดออก
พลังโจมตีเช่นนี้ไม่ด้อยไปกว่าโจวมู่ไป๋แม้แต่นิด ทั้งยังดูร้ายกาจกว่าหลายส่วน
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงะเืที่หนานกงหลิงซวงเป็คนก่อ เืลมในกายของโจวมู๋ไป๋ยังคงแปรปรวน สีหน้าอึมครึมเล็กน้อยก่อนจะระดมพลังหยวนเข้าต่อต้าน เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะด้อยกว่าผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้คนต่างตกตะลึง ส่วนหนานกงเฉินบนอัฒจันทร์กำหมัดแน่น ในดวงตาเผยความตื่นเต้นและรู้สึกภาคภูมิใจในตัวบุตรสาวของตัวเอง
ผู้าุโทั้งสี่พรรคของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนม่านตาหดแคบ ครุ่นคิดในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ตัวหนานกงหลิงซวงมาให้ได้
“ตูม ตูม ครืน!” ม่านกระจายสั่นไหว ฟ้าดินะเื แรงะเืที่สะท้อนกลับกลายเป็ทะเลเพลิง เพลิงนิพพานแผดเผาห้วงอากาศ
“นี่...”
ผู้คนบนเวทีประลองต่างหน้าถอดสี มีหรือนั่นจะเป็การโจมตีที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาจะปล่อยออกมาราวกับพวกเขาเห็นกระทั่งภาพลวงตา ว่าเพลิงนิพพานมาเยือนแล้วพรากชีวิตไป
“อ้าก!!!” เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า มีคนไม่น้อยถูกไฟนั่นแผดเผา เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ จึงอดลงไปจากเวทีประลองเองไม่ได้
“เปลวไฟนี่ร้ายกาจนัก!” ขณะมองเปลวไฟนั่น เย่เฟิงก็พึมพำในใจ ระดมพลังหยวนโคจรรอบกาย ต่อต้านเปลวไฟบุกรุกร่างกาย ซึ่งสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายมาก เพลิงนิพพานของหนานกงหลิงซวงทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ครู่ต่อมาแรงะเืที่น่ากลัวนั่นค่อย ๆ จางหายไป หนานกงหลิงซวงเก็บพลัง เปลวไฟดับมอด ส่วนจำนวนคนบนเวทีประลองลดน้อยลง มีเพียง 800 คนที่ยังคงยืนหยัดอยู่บนเวทีประลองได้
นั่นหมายความว่าการโจมตีของหนานกงหลิงซวงทำให้ 800 คนถูกคัดออก การโจมตีเช่นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ทรงพลังยิ่งกว่าของโจวมู่ไป๋ก่อนหน้านี้
“หนานกงหลิงซวง พรรคเทียนเซียวยินดีต้อนรับเ้า เ้าจะได้รับสิทธิพิเศษและได้เลื่อนขั้นเป็ศิษย์หลักทันที” ผู้าุโพรรคเทียนเซียวกล่าวด้วยดวงตาลุกโชน
ศิษย์หลักนั้นมีสถานะสูงส่ง ได้รับความสำคัญจากสำนักยุทธ์ ทั้งยังได้สิทธิพิเศษไม่ธรรมดา ได้เลื่อนขั้นเป็ศิษย์หลักนั่นหมายความว่าทุกคนทราบดี อาจกล่าวได้ว่าเงื่อนไขนี้ดีเลิศกว่าผลรวมของทุกคนก่อนหน้านี้ ซึ่งเห็นได้ถึงความแตกต่างชัดเจน นางหนานกงหลิงซวงคือคนที่ทั้งสี่พรรคอยากได้ตัวมากที่สุดในวันนี้
หวงจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงงัน รวมถึงมีบางคนที่รู้สึกอิจฉาตาร้อน
“พรรคเทียนเซียวให้เ้าได้ พรรคเทียนอวิ๋นข้าก็ย่อมให้เ้าได้เช่นกัน อีกอย่างพรรคเทียนอวิ๋นข้าจะให้เคล็ดวิชาขั้นเหลืองสามเล่ม ไว้ให้เ้าฝึกเรียนรู้”
พรรคเทียนอวิ๋นเสนอเงื่อนไขเหมือนพรรคเทียนเซียวเสนอมา ผนวกกับเคล็ดวิชาขั้นเหลืองสามเล่ม ซึ่งเคล็ดวิชาขั้นเหลืองจากขั้นบ่มเพาะกายาจนถึงขั้นรวมชี่เป็สิ่งที่สามารถพบเจอได้ แต่ไม่สามารถเรียกร้องมันมาได้ ดังนั้นเงื่อนไขนี้จึงน่าเชื่อถือมากกว่า
หนานกงหลิงซวงมองไปที่ผู้าุโทั้งสองพรรค แต่ไม่ได้พูดอะไร คล้ายไม่สนใจ
“หลิงซวง อ้าวเทียนเขาอยู่พรรคเทียนจี ข้าเชื่อว่าเ้าจะตัดสินใจเลือกได้ดี” เฉินเซี่ยงเทียนผู้าุโพรรคเทียนจีที่เงียบตลอดพลันเอ่ยปาก เฉินเซี่ยงเทียนไม่ได้เสนอเงื่อนไขให้กับหนานกงหลิงซวง เพียงบอกแค่เฉินอ้าวเทียนอยู่พรรคเทียนจี ซึ่งนี่แหละคือเงื่อนไขที่เขาเสนอ
เงื่อนไขนี้คล้ายดูเรียบง่าย แต่หนานกงหลิงซวงรู้สึกหนักใจ ถึงอย่างนั้นเฉินอ้าวเทียนคือว่าที่สามีของนาง แค่เื่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“อืม” หนานกงหลิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยให้เฉินเซี่ยงเทียน ดูเหมือนว่านางตัดสินใจเลือกแล้ว
จากนั้นหนานกงหลิงซวงหันไปมองเยว่กู่แห่งพรรคเทียนเสวียน ซึ่งเยว่กู่ส่งยิ้มให้ แต่กลับไม่ได้เสนอเงื่อนไขอย่างคนอื่น ๆ
นี่ทำให้หนานกงหลิงซวงชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าดูไม่ค่อยดี นางต้องถูกสี่พรรคแย่งตัวกันไม่ใช่หรือ? ความคิดเช่นนี้คล้ายกับโจวมู่ไป๋เมื่อครู่นี้ ทั้งสองช่างเย่อหยิ่งยิ่งนัก
“ข้ายินดีเข้าพรรคเทียนจี” หนานกงหลิงซวงกล่าว
ได้ยินเช่นนั้น คนของพรรคเทียนเซียวและพรรคเทียนอวิ๋นต่างส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
เฉินเซี่ยงเทียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในที่สุดหนานกงหลิงซวงก็เข้าพรรคเทียนจีเขา
เฉินเซี่ยงเทียนเหลือบไปมองเยว่กู่อย่างไม่ตั้งใจ และดวงตายังแฝงด้วยความเยาะเย้ย เยว่กู่น่าจะเอาชนะเขาไม่ได้ จึงไม่โต้เถียงใด ๆ
“เอาล่ะ การทดสอบรอบที่สามไม่จำเป็แล้ว การทดสอบจบแล้ว!” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวขณะกวาดสายตามองฝูงชน เขาได้ตัวหนานกงหลิงซวงสำเร็จ ทั้งยังได้ตัวโจวมู่ไป๋ กล่าวได้ว่าเป็ผู้ชนะที่สุดในวันนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ไม่มีใครเข้าตาเขาสักคน ดังนั้นจึง้าจบการทดสอบก่อนเวลา
“เป็ไปตามข่าวลือ หนานกงหลิงซวงเป็อัจฉริยะที่หาพบได้ยากในรอบสิบปีของอาณาจักรจ้าว การทดสอบนี้จัดเพื่อนางโดยเฉพาะ นางได้รับเลือกแล้ว การทดสอบก็จบลงทันที แม้จะมีคนอีกมากที่ยังทำบททดสอบไม่เสร็จก็ตาม” เหล่าคนผู้คนคิดในใจ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนสนใจหนานกงหลิงซวงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เห็นหรือยังว่านี่คือความห่างชั้นระหว่างเ้ากับข้า!” หนานกงหลิงซวงกล่าว ขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาโอหัง
“น่าขันนัก!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูก
“ไหนหรือความห่างชั้น? การทดสอบของข้ายังไม่จบเลย” จากนั้นเย่เฟิงหันไปมองเฉินเซี่ยงเทียน กล่าวว่า “ผู้าุโ ข้ายังทำการทดสอบไม่เสร็จสิ้นเลย เหตุใดประกาศจบการทดสอบแล้วเล่า?”
เฉินเซี่ยงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เย่เฟิงมักดูแคลนคนของตระกูลเฉินเขา บัดนี้เด็กคนนี้ยังกล้ากังขาเขา
“การทดสอบนี้มีไว้สำหรับอัจฉริยะเท่านั้น เ้าคิดว่าตัวเองเทียบเคียงหนานกงหลิงซวงได้หรือ? ดำเนินการต่อก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า ๆ” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวดูถูก
“จะอัจฉริยะหรือไม่หลังทดสอบเดี๋ยวก็รู้ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจัดการทดสอบเพื่อเปิดรับศิษย์ใหม่ หรือผู้าุโสามารถตัดสินใจคนเดียวได้?” เย่เฟิงกล่าวถามด้วยความสงสัยพลางตาเผยประกายแหลมคม
“กำเริบเสิบสาน! เื่ของข้าต้องให้คนรุ่นเ้ามาสอดแทรกั้แ่เมื่อไหร่กัน?” เฉินเซี่ยงเทียนตวาดอย่างโมโห เพลิงพิโรธที่อยู่ในใจยังไม่ทันระบาย แล้วยังโดนเย่เฟิงยั่วยุอีก มีหรือเขาจะไม่โกรธ?
“ผู้าุโเฉิน ชายผู้นี้ดูไม่เลว การทดสอบถือว่ายังไม่จบแล้วกัน พรรคเทียนจีเ้าก็ถนัดจัดการกันเองไม่ใช่หรือ?” ขณะที่เย่เฟิงกับเฉินเซี่ยงเทียนมีปากเสียงกัน เยว่กู่บนอัฒจันทร์พลันเอ่ยขึ้น
“เยว่กู่ เ้าหมายความเยี่ยงไร?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวถาม ซึ่งสองคนนี้ชอบแข่งขันกันที่สุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ความสัมพันธ์จึงไม่ค่อยดีเท่าไร
“ดำเนินการทดสอบต่อ ผู้คนจะได้นับถือ” เยว่กู่กล่าว
ผู้าุโของพรรคเทียนเซียวและพรรคเทียนอวิ๋นก็พยักหน้า เห็นด้วยกับเยว่กู่ พวกเขาไม่อยากเห็นพรรคเทียนจีทำตามใจเพียงคนเดียว
“ในเมื่อพวกเ้าพูดมาขนาดนี้ งั้นก็ทำตามที่พวกเ้า้า ดำเนินการทดสอบต่อ ข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกนี้จะผ่านการทดสอบได้หรือไม่?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวดูถูก เพราะว่าไม่มีใครที่เขาสนใจเลยแม้แต่คนเดียว
เย่เฟิงไม่สนใจเฉินเซี่ยงเทียน แต่เดินไปทางม่านกระจก
“ชายผู้นั้นจะโจมตีม่านกระจกงั้นหรือ”
“หนานกงหลิงซวงกับโจวมู่ไป๋ทำสำเร็จไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาจะปลดปล่อยแสงได้เจิดจรัสเพียงใด?”
ฉากนี้ทำให้เหล่าผู้คนพากันกระซิบกระซาบ หนานกงหลิงซวงกับโจวมู่ไป๋แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งสามพรรคก็ต่างแย่งตัว ถึงแม้เย่เฟิงจะมีพลังต่อสู้ไม่เลว แต่อย่างไรเสียก็เป็คนไร้นาม แล้วจะสู้กับหนานกงหลิงซวงได้อย่างไร?
โจวมู่ไป๋มองเย่เฟิงที่สวมหน้ากากสีเงินในตอนนี้ พลางพูดขึ้นอย่างดูถูกว่า “ม่านกระจกนี้ไม่ใช่ใครจะโจมตีได้ ข้าขอเตือนเ้าอย่าทำจะดีกว่า”
“พูดเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร?” เย่เฟิงกล่าวขณะหันไปมองโจวมู่ไป๋
“เ้าอ่อนแอขนาดนี้ ขืนทำไปก็รังแต่จะเสียเวลา เอาชนะคนของตระกูลเฉินได้ไม่กี่คนก็ไม่ได้มีความหมายอะไร” โจวมู่ไป๋กล่าวต่อและไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้