ในเวลาเช่นนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้อยู่นอกสวนผัก เด็กคนนี้ยามปกติเป็ที่รักใคร่ของเสี่ยวหมี่มาก เพราะนอกจากจะหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแล้วยังเรียนเก่งหัวไว
ยามนี้ผมเปียของนางหลุดรุ่ย ร้องไห้จนตาบวมแดง เสี่ยวหมี่รีบเข้าไปหาทันที
“เอ้อยา เหตุใดจึงร้องไห้เล่า พวกโก่วเซิ่งเอ๋อร์ไม่ยอมพาเ้าไปเล่นด้วยหรือ?”
“ฮือฮือ พี่เสี่ยวหมี่ ฮือฮือ แม่ข้าแย่งกระต่ายของข้าไป กระต่ายของข้า”
กระต่าย?
เสี่ยวหมี่ฟังแล้วแปลกใจ จากนั้นก็นึกไปถึงว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเป็คนสอนหนังสือ ทุกวันเอ้อยาเป็คนที่เรียนเก่งที่สุด ่นั้นนางกำลังฝึกงานเย็บปักอยู่พอดี นางจึงใช้หนังกระต่ายเย็บตุ๊กตากระต่ายน้อยปี่เต๋อ [1] ขนาดเท่าฝ่ามือให้เอ้อยาเป็ของรางวัล แม่นางน้อยชอบมันมาก แทบจะกอดแนบอกไปไหนมาไหนด้วยทุกวัน
ยามนี้ในอ้อมแขนแม่นางน้อยไม่มีกระต่ายน้อยปี่เต๋ออยู่แล้วจริงๆ ด้วย
“เอ้อยาไม่ต้องร้อง วันหน้าพี่จะเย็บให้เ้าใหม่”
“ไม่เอา ข้าจะเอากระต่ายของข้าเท่านั้น”
แม่นางน้อยไม่ยินยอม ไม่ว่าเสี่ยวหมี่จะปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุดร้อง ทำเอาชาวบ้านเข้ามารุมล้อมกล่าวล้อบิดามารดาของเอ้อยา “พวกเ้าดูแลลูกอย่างไร ปกติเสี่ยวหมี่ก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยโอ๋บุตรสาวแทนพวกเ้าอีกหรือ”
เอ้อยาแซ่เฝิง เป็หลานสาวคนเล็กของนายท่านเฝิง ส่วนบิดามารดาของนางเป็บุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ของนายท่านเฝิง ยามปกติก็นับว่าเป็คนมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน วันนี้ถูกบุตรสาวทำให้เสียหน้า จึงคับข้องใจยิ่งนัก เดินขึ้นหน้าไปดุให้บุตรสาวหยุดร้องไห้ กล่าวอย่างโมโหว่า “นังเด็กคนนี้ ก็แค่กระต่ายตัวหนึ่งเท่านั้น กลับบ้านไปทำใหม่อีกตัวก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดต้องร้องไห้จะเป็จะตายั้แ่ในเมืองจนมาถึงที่นี่”
เอ้อยาที่ดิ้นอยู่บนพื้นถูกมารดาพยายามดึงข้อมือให้ลุกขึ้นแต่ไม่เป็ผล “ฮือฮือ ท่านคืนกระต่ายข้ามา กระต่าย ท่านเอากระต่ายข้าไปขาย ข้าเห็นนะ ข้าเห็นนะ”
มารดาของเอ้อยามีนามว่าชุ่ยหลัน ได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนี้ก็หน้าแดงก่ำ ตอนที่คิดจะตีบุตรสาวสักสองสามทีนั้น คนในหมู่บ้านกลับถามออกมาอย่างสงสัยว่า “ชุ่ยหลัน นี่มันเื่อะไรกันแน่ กระต่ายตัวนั้นเสี่ยวหมี่เป็คนทำให้เอ้อยา เ้าเอาไปขายได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิ กระต่ายแค่ตัวเดียวเอง บนเขามีกระต่ายตัวเป็ๆ ตั้งมากมาย”
ชุ่ยหลันถูกถามจนต้องพูดความจริงออกมา
“วันนี้ข้าตั้งใจจะพาเอ้อยากลับบ้านยายของนาง ตอนที่เข้าเมืองไปซื้อของ มีคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์คนหนึ่งถูกใจกระต่ายในมือของเอ้อยา ให้เงินมาสองตำลึงไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอากระต่ายนั่นไปให้ได้ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่อาจล่วงเกินผู้อื่นได้ จึง...”
นางไม่ได้พูดจนจบแต่ทุกคนก็คาดเดาได้
เงินสองตำลึงเพียงพอให้ครอบครัวหนึ่งกินอิ่มได้เป็เดือน หากซื้อของฝากส่งกลับไปบ้านเดิมได้มาก ก็จะได้หน้าได้ตา อีกอย่างก็แลกกับกระต่ายแค่ตัวเดียว เื่นี้ไม่ว่าใครก็ต้องตัดสินใจเช่นนี้ทั้งนั้น...
แต่เอ้อยากลับไม่คิดเช่นนี้ กระต่ายตัวนี้อาจารย์ให้นางเป็ของขวัญที่เรียนหนังสือเก่ง ปกตินางกอดไว้แนบอกตลอดเวลา ไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนอิจฉาทั้งสิ้น ยามนี้จู่ๆ มารดาของนางกลับเอาไปขายให้ผู้อื่น นางจะไม่คับข้องใจได้อย่างไร?
ทุกคนมองไปทางเสี่ยวหมี่ หวังให้นางช่วยเอ่ยปากโน้มน้าวเอ้อยาสักหน่อย แต่นางกลับนั่งยองๆ เหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
มีสตรีบางนางคิดจะเข้ามาดึงเสี่ยวหมี่ให้ลุกขึ้นกลับถูกคนข้างๆ ขวางไว้
เพียงไม่นาน เสี่ยวหมี่ก็ยืนขึ้นมาเองด้วยอารามดีใจ นางะโว่า “บังเอิญยิ่งนัก ข้ากำลังหนักใจอยู่ว่าเงินไม่พอใช้ จู่ๆ ก็มีการค้าดีๆ ให้ทำแล้ว”
“การค้าอะไร เสี่ยวหมี่รีบพูดมา”
ทุกคนรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยปากถาม
เสี่ยวหมี่กลับยิ้มน้อยๆ โบกมือ “ยังพูดตอนนี้ไม่ได้ วันนี้หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พี่สะใภ้ทั้งหลายนำหนังกระต่ายที่บ้านมาที่เรือนข้า ถึงตอนนั้นข้าจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด”
พูดจบ นางก็จูงมือเอ้อยาเดินออกจากสวนผักกลับไปที่เรือนหลังของนาง
เอ้อยาตามไปแต่โดยดี ว่ากันตามจริงแล้วนางเชื่อใจเสี่ยวหมี่ยิ่งกว่าบิดามารดาของตัวเองเสียอีก
พี่เสี่ยวหมี่สอนนางเขียนอักษร ให้กระต่ายเป็รางวัลแก่นาง ทำของอร่อยให้นางกินบ่อยๆ แต่บิดามารดาของนางมักจะเก็บของกินดีๆ ไว้ให้พี่ชายของนางก่อน ที่น่าโมโหที่สุดก็คือวันนี้ ต่อให้นางร้องไห้แทบตาย มารดาก็ยังยืนกรานจะขายกระต่ายตัวนั้นไป..
เสี่ยวหมี่เอาของว่างให้เอ้อยากิน สัญญากับนางว่าพรุ่งนี้จะให้กระต่ายน้อยน่ารักกับนาง จากนั้นก็จับพู่กันเริ่มร่างแบบ
หากไม่ใช่พี่รองลู่มาเคาะประตูบอกว่าตนหิว นางคงลืมไปแล้วว่าต้องทำกับข้าว
ถึงแม้คนสกุลลู่จะไม่รู้ว่าลู่เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่กับอะไร แต่ก็ดีใจที่นางกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหยางถามไถ่ด้วยรอยยิ้ม ส่วนเกาเหรินก็ร้องบอกว่าเขาจะช่วยด้วย มีเพียงเฝิงเจี่ยนที่ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
เสี่ยวหมี่ยังคงคีบอาหารตักข้าวให้เขาเช่นเดิม ราวกับว่าคืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ มีเพียงเฝิงเจี่ยนที่ขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม ตาเอาแต่จ้องไปยัง ‘ตะเกียบกลาง’ ไม่หยุดด้วยสายตามืดมน
เมื่อก่อนเวลานางคีบอาหารให้เขา นางจะใช้ตะเกียบของตนเอง ตอนนี้แลดูห่างเหินเกินไปแล้ว
ครอบครัวอื่นๆ ในหมู่บ้านพากันครึกครื้นขึ้นมาเพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของเสี่ยวหมี่ ยามนี้เสี่ยวหมี่เป็ดังเทพธิดาเงินตราในใจของทุกคน ในเมื่อนางบอกว่ามีการค้าดีๆ ก็ย่อมเป็การค้าดีๆ และการที่พวกผู้หญิงได้ไปช่วยนางแน่นอนว่าไม่มีทางกลับมามือเปล่า
ดังนั้นเมื่อกินข้าวเย็นเสร็จ แม่สามีของทุกบ้านต่างทำในสิ่งที่ปกติแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยก็คือรับหน้าที่ล้างถ้วยล้างชามเอง เร่งให้ลูกสะใภ้รีบไปบ้านเสี่ยวหมี่
พวกลูกสะใภ้รู้สึกขบขันยิ่งนัก พากันไปค้นเอาหนังกระต่ายในบ้านของตนมาแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านสกุลลู่
เตาในห้องของเสี่ยวหมี่ลุกโชนอบอุ่น นางเตรียมน้ำชาและของว่างไว้พร้อมสรรพ บนโต๊ะและข้างหน้าต่างจุดตะเกียงไว้สองดวง ทำให้สว่างไสวไปทั้งห้อง
ไม่มีแม่สามีคอยควบคุม ไม่มีลูกๆ มากวนใจ พวกสะใภ้ทั้งหลายต่างขึ้นไปนั่งบนยกพื้นอบอุ่นด้วยท่าทีสบายๆ
ท่านป้าหลิวพากุ้ยจือเอ๋อร์มา เสี่ยวหมี่ตั้งใจขยับจานของว่างมาให้กุ้ยจือเอ๋อร์ จากนั้นถึงได้ยกภาพวาดในมือขึ้นมาให้ทุกคนดู “พี่สะใภ้ทั้งหลาย วันนี้ตุ๊กตากระต่ายของเอ้อยาถูกคนในเมืองแย่งซื้อไป ข้าจึงคิดธุรกิจใหม่ออกมาได้ พอดีเถ้าแก่เฉินเองก็กว้างขวางอยู่แล้วในตัวเมือง ทั้งยังขึ้นเหนือล่องใต้บ่อยครั้ง ถึงตอนนั้นยังสามารถฝากเขาเอาไปขายได้ด้วย ไม่แน่อาจขายได้ราคาดีกว่าที่นี่”
ทุกคนได้ยินทีแรกก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อรับแบบไปดู ก็พากันส่งเสียงตื่นเต้น “โห นี่คือกระต่ายหรือ น่าสนใจจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ เหตุใดกระต่ายตัวนี้ถึงสวมอาภรณ์ด้วยเล่า”
“นี่ต้องเป็กระต่ายตัวผู้แน่นอน ส่วนตัวที่สวมกระโปรงมีดอกไม้ทัดหูคือตัวเมีย”
เมื่อก่อนเวลาที่เสี่ยวหมี่ยุ่งๆ นางมักจะเปิดการ์ตูนให้พวกน้องๆ ดู นางจึงคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของพวกกระต่ายในการ์ตูนเป็อย่างดี
วันนี้ลองวาดออกมาไม่กี่ภาพก็พอใช้แล้ว แต่นางไม่คิดจะขายหมดในคราวเดียว ที่สำคัญคือ ถึงแม้ในยุคสมัยนี้เหล่าพ่อค้าจะหัวใสกันมาก แต่โลกทัศน์ก็ยังแคบอยู่
ธุรกิจตุ๊กตาของเล่นในครั้งนี้นางคิดจะเอาอย่างร้านค้าในโลกยุคปัจจุบันที่จากมา หากสามารถสร้างแบรนด์เฉพาะของตนขึ้นมาได้ ย่อมเป็เส้นทางเงินตราที่สำคัญอีกสายหนึ่งอย่างแน่นอน
“มา พี่สะใภ้ทั้งหลาย ฟังข้าพูดก่อน”
เสี่ยวหมี่ปรบมือดึงให้ทุกคนกลับมาสนใจนาง “พี่สะใภ้ทั้งหลายคงรู้ดีว่าการทำธุรกิจย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง ครั้งนี้ข้าเป็คนเริ่ม แน่นอนว่าความเสี่ยงนี้ข้าจะแบกรับไว้เอง วันนี้เราใช้หนังกระต่ายไปบ้านละกี่ผืน รบกวนท่านป้าหลิวช่วยข้าจดไว้ที ข้าจะออกเงินให้สูงกว่าราคาตลาดสองเท่า อย่างไรเสียก็นับว่าเป็หนังชั้นดีที่แต่ละบ้านเก็บไว้ แต่ละผืนสีสวยๆ ทั้งนั้น นอกจากนี้ให้ท่านเย็บกระต่ายตามแบบที่ข้าวาด ข้าให้ค่าแรงตัวละสองร้อยอีแปะ ส่วนอาภรณ์ของกระต่ายหนึ่งชุดห้าสิบอีแปะ พี่สะใภ้ทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร?”
“อะไรนะ?”
พวกสะใภ้ทั้งหลายหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา ได้ยินเช่นนี้ก็พากันนั่งไม่ติดโบกไม้โบกมือ “ไม่ได้หรอก ไม่ได้หรอก”
“ทำชุดของผู้ใหญ่หนึ่งชุด ยังได้ค่าแรงแค่สิบอีแปะเท่านั้น เย็บกระต่ายตัวเดียวเหตุใดถึงให้ค่าแรงตั้งสองร้อยอีแปะ มากเกินไปๆ”
“นั่นน่ะสิ อาภรณ์ของกระต่ายน้อยจะใช้ด้ายสักเท่าไรกัน ไม่จำเป็ต้องให้มากขนาดนั้น”
“พี่สะใภ้ทั้งหลายฟังข้าก่อน” เสี่ยวหมี่รู้ดีว่าทุกคนไม่อยากเอาเปรียบนาง แต่นางก็จำเป็ต้องพูดเื่นี้ให้ชัดเจนั้แ่ต้น
“มีคำกล่าวว่าของราคาหนึ่งอีแปะคุณภาพหนึ่งอีแปะ ข้าจ่ายค่าแรงสูง ย่อม้าฝีมืออันละเอียดลออของพวกพี่สะใภ้ ชิ้นงานต้องละเอียดถี่ถ้วน หากงานไม่ได้มาตรฐาน ข้าไม่เพียงแต่จะไม่จ่ายค่าจ้าง แต่จะคืนของ อีกทั้งพวกพี่ต้องชดใช้ค่าของให้ข้าด้วย ต้องรู้ด้วยว่า ของเล่นพวกนี้ข้าอาจจะส่งไปขายในเมืองหลวง ให้พวกคุณหนูร่ำรวยในเมืองหลวงเล่นกัน หากว่างานฝีมือไม่ดีพอจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้
พวกท่านเห็นอาภรณ์ของกระต่ายนั้นเล็กจ้อย แต่ยิ่งเป็เช่นนี้ยิ่งไม่ง่าย
หากว่าพี่สะใภ้ทั้งหลายคิดจะรับไปทำเล่นๆ หรือไม่เห็นความสำคัญของมัน เช่นนั้นข้าแนะนำว่าอย่ารับไปทำจะดีกว่า ข้าสามารถหาช่างฝีมือดีจากในเมืองมาทำงานนี้ก็ได้”
ทุกคนฟังแล้วก็พากันมองหน้าไปมา จู่ๆ ก็พากันขบคิดอย่างตั้งอกตั้งใจอย่างนานทีมีหน แล้วรับแบบพวกนั้นไปดูอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าเป็อย่างที่เสี่ยวหมี่พูดจริงๆ ชุดพวกนี้ถึงแม้ตัวเล็กแต่รายละเอียดเยอะ ทำยาก ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าอาภรณ์ของผู้ใหญ่ มิน่าเล่าค่าแรงถึงได้สูงขนาดนั้น...
ท่านป้าหลิวนำแบบในมือของทุกคนมาดูรอบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากว่า “เสี่ยวหมี่ ต่อให้ขั้นตอนจะซับซ้อนแค่ไหน อย่างไรก็เป็ของเล็กน้อยไม่เปลืองแรงเปลืองเวลา ค่าแรงของเ้าก็นับว่าให้มากไปอยู่ดี”
“ไม่มากเ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มกอดอก เอ่ยหยอกล้อว่า “ถึงตอนนั้น หากข้าขายของเล่นพวกนี้ออกไปได้ในราคาสูง พวกพี่สะใภ้อย่าหาว่าข้าละโมบ ให้ส่วนแบ่งพวกท่านน้อยเกินไปก็แล้วกัน”
“จะเป็ไปได้อย่างไร งานดีๆ แบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก”
“นั่นน่ะสิ หากเ้าเอากระต่ายไปขายในราคาเท่าทองคำได้ นั่นก็เป็ความสามารถของเ้า พวกเราก็ทำได้แค่งานเย็บปักพวกนี้แหละ แน่นอนว่าเพียงปรารถนาค่าแรงที่สมน้ำสมเนื้อก็พอ”
พวกพี่สะใภ้ต่างพากันตบอกรับรองเป็การใหญ่
คนในหมู่บ้านเขาหมีล้วนมีนิสัยบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ จึงไม่ถึงกับอิจฉาริษยาใครเพียงเพราะเื่เงินทอง
แต่ตัวเสี่ยวหมี่เองก็ไม่คิดจะทำลายความสามัคคีของทุกคนแค่เพราะเื่เงินทอง
นางจึงโปรย ‘น้ำตาล’ ก้อนใหญ่อีกหนึ่งก้อน “หากว่าการค้านี้ไม่ทำกำไรก็ช่างเถอะ แต่หากมันทำกำไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นหลังหักต้นทุนแล้ว ข้าจะนำกำไรส่วนหนึ่งมาซื้อเครื่องประทินผิว ชาดแป้งและผ้าสวยๆ เพื่อเป็การขอบคุณพี่สะใภ้ทั้งหลาย”
“ฮ่าฮ่า ดีสิ ขอแค่ติดตามเสี่ยวหมี่ก็มีเนื้อกิน มีอาภรณ์ดีๆ สวมใส่”
“น้องเสี่ยวหมี่เ้าวางใจ อย่างอื่นพวกเราทำไม่เป็ แต่งานที่เ้าสั่งพวกนี้พวกเราทำได้แน่นอน”
ทุกคนสนทนาพาทีกันครู่หนึ่งจากนั้นจึงเลือกแบบ แล้วค่อยไปเลือกหนังกระต่ายที่สีสันเดียวกับแบบที่พวกนางได้
เชิงอรรถ
[1] กระต่ายปี่เต๋อ(比得兔)กระต่ายน้อยปีเตอร์จากเื่ The Tale of Peter Rabbit
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้