“ถ้าผมไม่เลือกสักอย่างล่ะ!” เจียงไป๋วางแก้วเหล้าลง ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม เขาจ้องฉวีเจี๋ยที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ยอมถอย
“เฮ้อ แบบนั้นก็ง่ายเลย ฉันมีเพื่อนอยู่ยี่สิบสามคน ถ้าวันนี้นายคนเดียวสามารถล้มพวกเขาทั้งหมดได้ เื่นี้ก็ถือว่าจบ แน่นอนว่าถ้าได้ลงมือสักครั้งก็คงไม่มีการยั้งมือ ดีไม่ดีอาจจะไม่ใช่แค่มือข้างเดียว นายลองคิดดูให้ดี!” รอยยิ้มบนใบหน้าของฉวีเจี๋ยจางลง เขาพูดอย่างจริงจัง และน้ำเสียงที่ใช้ในการข่มขู่ก็เข้มข้นขึ้น
“พี่เจี๋ย ที่นี่เป็ของเถ้าแก่หม่า อย่างไรพี่ก็ควรจะเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ฉัน … ” ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของหลี่เฉียงเปลี่ยนไป เขารีบเข้ามาพูดประจบเอาใจ ทั้งยังอ้างถึงเถ้าแก่เ้าของที่นี่อีกด้วย
“เถ้าแก่หม่า? เฮ้อๆ ถึงคนอื่นจะกลัวเหลาหม่า แต่ฉันไม่กลัว แล้วอีกอย่างตอนนี้เขายังรนหาที่ตายดันไปแหย่เ้าพ่อหวางแห่งตงเป่ยอีก ทางนั้นก็ส่งผู้มีฝีมือจากต่างแดนมาเหมือนกัน ตอนนี้เขาเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอด หากนายจะให้เขาจัดการเื่นี้ เขาก็คงจัดการไม่ได้หรอก! เหลาหลี่ฉันแนะนำให้นายไปยืนอยู่อีกด้าน เื่วันนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” น้ำเสียงในการพูดของฉวีเจี๋ยยังคงสงบนิ่งมาก ต่างจากหลิวปินที่เอะอะโวยวายอย่างสิ้นเชิง และคำพูดที่ยากจะปฏิเสธนั้น พูดแค่รอบเดียว หลี่เฉียงก็ไม่กล้าปริปากอะไรแล้ว เขาทำได้เพียงมองเจียงไป๋อย่างสงสารแวบหนึ่ง แล้วก็ไปยืนอยู่อีกด้าน ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าหากรวมคุณด้วยล่ะ!” เจียงไป๋มองดูอันธพาลที่อยู่ข้างๆ ยี่สิบกว่าคนนั้นแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นก็มองฉวีเจี๋ย เจียงไป๋ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและได้กลายเป็ปรมาจารย์มวยปาจี๋อย่างเป็ทางการแล้ว นอกจากฝีมือ ความเร็ว พละกำลัง การตอบสนอง และประสบการณ์ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดปรมาจารย์แล้ว สายตาก็ต้องดีตามไปด้วย เคยได้ยินว่าปรมาจารย์ท่านไหนมองคนพลาดบ้าง? ด้วยเหตุนี้เจียงไป๋จึงมองออกว่าคนพวกนี้เป็แค่คนธรรมดา ถึงจะโหดแค่ไหนก็มีขอบเขต แต่กับฉวีเจี๋ยนั้นไม่ใช่ จากสายตาของเจียงไป๋แล้ว ฉวีเจี๋ยเป็ยอดฝีมือที่แท้จริงคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็ยอดฝีมือที่ฝึกิจิ้น[2] ซึ่งพบเห็นได้น้อยมาก
“รวมฉันด้วย? ถ้าหากนายสามารถล้มพวกเราได้จริงๆ ต่อไปฉันก็จะเรียกนายว่าพี่! และั้แ่นี้เป็ต้นไปฉันก็จะติดตามนาย!” ฉวีเจี๋ยหัวเราะเสียงดังพลางพูดอย่างไม่เชื่อ และคิดว่าเจียงไป๋แค่คุยโวเท่านั้น เพราะก่อนจะมาที่นี่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเจียงไป๋เป็อย่างดี เป็แค่ยามตัวน้อยๆ คนหนึ่งกลับกล้าพูดจาแบบนี้ น่าเสียดายที่แค่กล้าพูดแต่ความสามารถกลับมีเพียงน้อยนิด และถูกกำหนดมาให้ต้องเสียเปรียบอยู่เสมอ คนแบบนี้หลายปีที่ผ่านมาฉวีเจี๋ยพบเห็นมามากแล้ว
เมื่อพูดจบคนพวกนั้นที่อยู่ข้างกายของฉวีเจี๋ยก็เริ่มลงมือทันที และพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล คนหนึ่งฟันมาที่หัวของเจียงไป๋อย่างดุเดือดหนึ่งที
“เพียะ … ” เจียงไป๋พุ่งตัวเข้าไปประชิดอีกฝ่ายก่อนจะยื่นมือออกไปแย่งมีดสั้นด้วยมือเปล่า และต่อยหมัดใส่จนอีกคนปลิวออกไป จากนั้นเขาหมุนตัว เอียงหัว ไหล่ ข้อศอก มือ บั้นท้าย ต้นขา และเข่าให้เข้ากันดี เจียงไป๋แสดงออกมาได้ลื่นไหลดังสายน้ำ ประดุจไล่ตามดวงดาวและจันทรา หยิบจับมาได้อย่างถนัดมือ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ คนยี่สิบกว่าคนที่เมื่อครู่นี้ยังกำเริบเสิบสาน ในตอนนี้แต่ละคนนอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้น ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
“ชิ่ว!” ฉวีเจี๋ยที่เดิมทีนั่งถือแก้วเหล้าเตรียมดูการต่อสู้อย่างสนใจนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปและรีบยืนขึ้นทันที เขามองเจียงไป๋ด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง “นี่มันเหมือนกับคำว่าเหวินมีไท้เก๊กปกครองใต้หล้า อู่มีปาจี๋ครองอำนาจฟ้าดินชัดๆ ที่จริงนายคือยอดฝีมือมวยปาจี๋นี่เอง มิน่าล่ะถึงได้มั่นใจ แต่เมื่อก่อนทำไมกลับโดนดูถูกได้!”
เมื่อพูดจบ ฉวีเจี๋ยก็เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ ก่อนจะกระชากเสื้อเชิ้ตลายดอกโยนทิ้งไป เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งๆ แปดก้อน บวกกับรอยสักัอันดุดันที่มีอยู่เต็มตัว เขาเดินมาด้านหน้าของเจียงไป๋ในระยะห่างห้าก้าวอย่างเงียบๆ และไม่ได้สนใจลูกน้องที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะทำท่าคารวะพลางพูดว่า “มวยสิงอี้ ฉวีเจี๋ยขอคำชี้แนะด้วย!”
ฉวีเจี๋ยพูดก่อนที่จะพุ่งตัวเข้ามาตรงหน้าของเจียงไป๋ ร่างกายของเขาบิดเอียง ก้าวเท้าไปข้างหน้า มือซ้ายเหมือนกับคันธนู ส่วนมือขวาเหมือนกับมีด เขาออกหมัดพุ่งเข้าใส่ทรวงอกของเจียงไป๋ด้วยความเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ กระบวนท่าหมัดทลายครึ่งก้าว ออกหมัดรัวเร็วเหมือนสายลม มีพลังหนักหน่วง นี่ก็คือิจิ้นขั้นสุดยอด
เมื่อเห็นท่าทางของฉวีเจี๋ยแล้วเจียงไป๋ก็หัวเราะเสียงดัง เขาพุ่งตัวแวบผ่านไป มือข้างหนึ่งจับฉวีเจี๋ยไว้อย่างมั่นคง และพุ่งตัวประชิดไปทางด้านหลังออกท่าูเาปะทะชนฉวีเจี๋ยจนปลิวออกไป ไม่ใช่เพียงแค่นี้ แต่ยังมีพลังอย่างหนึ่งพุ่งออกมาจากไหล่อีกด้วย ใน่ที่ฉวีเจี๋ยมีการตอบสนองและพยายามจะต้านทานแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เขาถูกชนจนปลิวออกไป
“นี่ … นี่มันปรมาจารย์อั้นจิ้น![3] เป็ไปไม่ได้! มวยปาจี๋ไม่มีปรมาจารย์มาหลายปีแล้ว! โดยเฉพาะนายเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง! นี่เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด!” เมื่อฉวีเจี๋ยปลิวออกไป เจียงไป๋ก็ออมมือเขาเพียงแค่ทำให้กระอักเืเท่านั้น แต่ไม่ได้จะลงมือฆ่า ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ก็คงพอที่จะคร่าชีวิตของฉวีเจี๋ยได้แล้ว แต่ฉวีเจี๋ยไม่มีแม้แต่เวลาจะเช็ดเืที่มุมปาก เขามองเจียงไป๋ด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว เหมือนกับเห็นผี!
จากข้อมูลของเจียงไป๋ที่เขารู้คืออีกฝ่ายอายุยี่สิบสามปี มาจากเมืองเล็กๆ ในภาคกลาง อายุยี่สิบสามเองนะ! ปรมาจารย์อายุยี่สิบสามปี? ในประวัติศาสตร์วงการวูซู[1] ของจีนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน! คนแบบนี้ในอนาคตข้างหน้าจะหาได้อีกหรือ? ซุนลวี่ถังกับหลี่ชูเหวินในเวลานั้นก็เกรงว่าจะนำมาเทียบกับเจียงไป๋ไม่ได้!
“เขาว่ากันว่า ไท้เก๊กสิบปีไม่ออกนอกสำนัก สิงอี้หนึ่งปีต่อยคนตาย มวยสิงอี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แต่น่าเสียดายที่หมัดทลายครึ่งก้าวของคุณยังฝึกได้ไม่ถึงไหน” เจียงไป๋พูดพลางหัวเราะ เมื่อพูดจบก็หันหลังเตรียมจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
เจียงไป๋เพิ่งจะก้าวเดินออกไป ฉวีเจี๋ยก็เรียกให้เขาหยุด ลูกน้องสองสามคนประคองเขาให้ยืนขึ้น
“ทำไม?” เจียงไป๋ขมวดคิ้ว เขาออมมือให้แล้ว แต่ทำไมฉวีเจี๋ยยังไม่ยอมเลิกราอีก? คิดว่าเขาไม่กล้าลงมือฆ่าจริงๆ อย่างนั้นหรือ? คิดว่าเขาไม่กล้าตีให้ตาย?
“ฉันบอกแล้ว หากนายเอาชนะพวกฉันได้ ต่อไปฉันก็จะติดตามนาย ตอนนี้นายก็เป็ลูกพี่ใหญ่ของฉันแล้ว! พี่ชายต่อไปหากพี่มีเื่อะไรก็สั่งมาได้เลย ฉันสัญญาไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟก็จะติดตามพี่!” ฉวีเจี๋ยก็ตัวคนเดียว เขาพูดพลางคารวะเจียงไป๋ตามแบบฉบับโบราณ จะขาดก็แค่ทำตามแบบเหลียงชานเท่านั้น
“พี่ชาย? ขอร้องล่ะ ผมก็ไม่ใช่พวกอำนาจมืดอะไร!” เจียงไป๋อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่
“อ้อ … ฉันก็ไม่ใช่เหมือนกัน ในแถบนี้ถึงฉันจะเป็อันธพาลหัวโจกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่เื่ผิดศีลธรรมฉันไม่ทำเด็ดขาด และก็ไม่เคยข่มขู่แบล็กเมลใครมาก่อน ถึงแม้บางครั้งจะหาเงินสกปรกมาใช้บ้าง แต่ก็รู้จักบันยะบันยัง พวกเราก็ไม่ได้มีองค์กรอะไร ก็แค่เลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ฉันก็มีธุรกิจจริงๆ จังๆ อยู่ ฉันมีร้านอาหาร แต่พรุ่งนี้ฉันจะขายกิจการ ต่อไปจะติดตามพี่ คอยช่วยงานพี่!” ฉวีเจี๋ยพูดอย่างเขินอายจนหน้าแดง เมื่อครู่ตอนประมือกันเขาก็ไตร่ตรองอยู่ในใจ อย่างแรกเพราะเจียงไป๋ทำให้เขาต้องยอมจำนน และที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าเจียงไป๋อายุยังน้อยแต่กลับมีฝีมือและความกล้าหาญ ปรมาจารย์ที่อายุน้อยอย่างนี้คิดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนจะยอมถูกผู้อื่นรังแก จะต้องมีเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้เจียงไป๋กลับไปเป็ตัวของตัวเองแล้ว ไม่จำเป็ต้องปกปิดอีกต่อไป อนาคตจะต้องสดใสอย่างแน่นอน ข้อดีของการติดตามเจียงไป๋นั้นก็มีนับไม่ถ้วน และเขาก็รู้สึกยินดีที่จะติดตามเจียงไป๋
“อ้อ เมื่อก่อนผมทำอะไรคุณก็รู้ คนอย่างพวกคุณจะมาติดตาม ผมจะเลี้ยงดูอย่างไรไหว?” เจียงไป๋หัวเราะอย่างอึดอัดพลางโบกมือไม่หยุด ล้อเล่นน่า ถึงตอนนี้เขาจะมีเงินอยู่นิดหน่อย แต่การเลี้ยงดูคนมากมายอย่างนี้ก็ต้องใช้จ่ายไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้มีปณิธานว่าจะเข้าวงการแล้วจะเลี้ยงคนมากมายขนาดนี้ไปทำไม? เขาก็ไม่ได้โง่! คนกลุ่มนี้ติดตามเขาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย และกินฟรีอยู่ฟรีทั้งวัน ถึงจะมีหนังสือกระบี่เทพสังหารช่วยหาเงินให้ แต่ก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก จะช้าหรือเร็วก็ต้องใช้จนหมด!
“ฉันรู้ แต่ฝีมืออย่างพี่หาก้าทำธุรกิจก็คงไม่ยากอะไร? ตอนนี้ฉันรู้จักธุรกิจที่จะได้มาฟรีๆ รายหนึ่ง เพียงแค่พี่ชายยอมออกโรง รับรองว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!” ฉวีเจี๋ยเช็ดเืที่ติดอยู่มุมปาก เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพลางฉีกยิ้ม และพูดอย่างมีลับลมคมใน
......
[1] วูซูจีน คือศิลปะการต่อสู้ของจีน
[2] ิจิ้น คือการฝึกกระบวนท่าและการปล่อยพลังในขั้นที่มองเห็นได้
[3] อั้นจิ้น คือการฝึกทักษะการใช้พลังในขั้นที่มองไม่เห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้