ใน่หลายปีที่ผ่านมา แคว้นทั้งสี่มีความสงบสุขและมั่นคง การสู้รบมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้รบ ก็ได้รับชัยชนะเสมอมา ราษฎรอาศัยอยู่ในเมืองและทำงานกันอย่างสงบสุขและมีความสุขในเวลาเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงลืมไปว่าท่านอ๋องหลู่หนานแห่งอาณาจักรต้าโจวนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
วรยุทธ์ของเขานั้นอยู่ในระดับสูงและแข็งแกร่ง เมื่อห้าปีก่อนเขาได้เข้าทะลวงเข้าสู่ระดับจอมยุทธ์ มีข่าวลือว่าในปีนั้นมู่เอ้าเทียนกับฮ่องเต้นั้นถูกคนทรยศลอบสังหาร ล้อมจับเข้าไปในค่ายของศัตรู พวกเขาถูกปิดล้อมโดยทหารสามหมื่นนาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็เื่ยากในการหลบหนี อย่างไรก็ตาม มู่เอ้าเทียนได้ต่อสู้กับศัตรูเป็เวลาสามวันสามคืนด้วยหอกยาวพู่แดงและหนีออกมาพร้อมกับฮ่องเต้ที่าเ็สาหัส
ว่ากันว่าศพที่อยู่หลังของพวกเขานั้นกองซ้อนกันจนกลายเป็ูเา เืไหลรวมกันจนกลายเป็ลำธาร
ยามนี้หากทั้งสี่แคว้นแห่งทวีปชางหลางกล่าวถึงมู่เอ้าเทียน ก็จะเป็ประโยคที่ว่า 'มือถือหอกยาวพู่แดงและเดินไปทั่วทุ่งชูรา [1] '
...
ความเงียบโปรยปราย ผู้คนที่อยู่รอบข้างอึดอัดจนหายใจไม่ออก ในเสี้ยววินาทีนั้นไม่รู้ว่าใครที่ะโขึ้นมาว่า “หลีกทางให้ท่านอ๋องมู่”
“หลีกทางให้ท่านอ๋องมู่”
เสียงที่พูดออกมาติดต่อกันทีละคน ทีละคน จนในที่สุดก็กลายเป็เสียงะโ
เหล่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่หลิวซวงถูกลากไปโยนทิ้งไว้ด้านข้างตั้งนานแล้ว พวกเขาล้วนสลบไสลไม่ได้สติทั้งสิ้น
ใบหน้าของฉู่หลิวซวงซีดราวกับสีผัก [2] ท่าทางดูไม่ได้ สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บของนางจิกลงไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว ในขณะนี้นางกลายเป็เป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว แม้แต่ทหารที่ปกป้องเมืองก็พากันะโด่าทอ
ในที่สุดนางหมุนกายก่อนจะก้าวเท้าออกไปทีละก้าว ฉู่หลิวซวงก้มศีรษะลงด้วยดวงตาที่แดงก่ำ นางไม่เคยถูกทำให้อับอายขนาดนี้มาก่อน ทั้งหมดล้วนเป็เพราะมู่อันเหยียน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มู่อันเหยียนมอบให้นาง
สี่ปีที่แล้วก็ใช่ สี่ปีต่อมาก็ยังคงเป็อย่างนั้น...
มู่อันเหยียน
ฉู่หลิวซวงกัดฟันแน่น ความเกลียดชังในดวงตาของนางแทบจะล้นทะลักออกมา
อีกด้านหนึ่ง มู่เอ้าเทียนมองไปยังเหล่าฝูงชนที่กำลังเปล่งเสียงะโอยู่โดยรอบ เขาพยักหน้าเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นเขาก็จับมือฮวาเหยียนเอาไว้อีกครั้ง "ลูกรัก พ่อจะพาเ้ากลับบ้าน"
กลับบ้าน?
ช่างเป็คำพูดที่งดงามยิ่งนัก
นางมาจากอีกโลกหนึ่ง ในโลกนั้นนางมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง นางอยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต นางไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ไม่มีบ้าน มีเพียงหยวนเป่าคนเดียวเท่านั้นที่ก้าวเข้ามาอยู่ในหัวใจของนาง แต่ในเวลานี้ มีบุรุษผู้หนึ่ง บิดาของคนที่นางเป็ตัวแทนให้ กำลังบอกให้นางกลับบ้าน
หัวใจของนางเต้นแรงราวกับถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ มันสั่นะเืครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เบ้าตาก็เริ่มร้อนผ่าว
เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่หัวใจที่ว่างเปล่าของนาง ดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ถูกจับจองเป็เ้าของ
“เ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น
คำพูดตอบรับที่เอ่ยออกมานั้นเกือบทำให้มู่เอ้าเทียนร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงรีบหันไปมองหยวนเป่า “เ้าหนูน้อย เ้ามีนามว่ากระไร?”
หยวนเป่าแทบไม่กะพริบตาเลยั้แ่วินาทีที่มู่เอ้าเทียนปรากฏตัว ใช่แล้ว ท่านตาคนนี้แตกต่างไปจากที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง มู่เอ้าเทียนปรากฏตัวราวกับเป็เทพเ้าและโอบอุ้มตัวเขาไว้ในทันที ท่านตาของเขาเป็ท่านแม่ทัพและเป็วีรบุรุษ แววตาของเขาเปล่งประกายด้วยความรัก ดังนั้นแล้วหัวใจดวงน้อยๆ จึงพองโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว "ท่านตา ข้ามีนามว่าหยวนเป่าขอรับ นามจริงของข้าคือมู่เนี่ยนเฉิน"
เสียงเรียกท่านตาฟังดูเหมือนสว่านที่เจาะลงไปในหัวใจของมู่เอ้าเทียน
แต่เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยใจเคารพศรัทธาของหยวนเป่าแล้ว หัวใจของเขาพลันอ่อนยวบยุ่งเหยิงไปหมด
นี่คือบุตรชายของบุตรสาวเขา เป็หลานชายของเขา เป็สายเืของพวกเราตระกูลมู่
“อืม หยวนเป่า ท่านตาจะพาเ้ากลับบ้าน”
มู่เอ้าเทียนจ้องไปที่หยวนเป่า ในใจเหลือเพียงความเ็ป
ดวงตาของหยวนเป่าเป็ประกายในทันทีและเขาก็พยักหน้าด้วยความรุนแรง
"กลับบ้าน"
มู่เอ้าเทียนจูงมือฮวาเหยียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและกอดหยวนเป่าไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง สิ้นเสียงผิวปาก ม้าสีแดงพุทราก็พ่นลมหายใจพร้อมกับเดินมาข้างหน้า
มู่เอ้าเทียนประคองฮวาเหยียนขึ้นบนหลังม้า แต่ในขณะนั้นเองด้านหลังเสื้อของฮวาเหยียนกลับถูกดึงด้วยแรงอันน้อยนิด
เมื่อฮวาเหยียนหันหน้าไปก็เห็นว่าข้างหลังนางเป็เด็กหญิงที่อายุประมาณสี่ห้าขวบ ผิวขาวอมชมพู สวมชุดดอกไม้เก่าๆ เด็กน้อยมัดจุกดอกตูมสองดอกอยู่บนหัว ท่าทางน่ารักยิ่งนัก ข้างหลังนางยังมีหญิงชราคนหนึ่ง ทั้งสองคนจริงๆ แล้วเป็ยายหลานที่เคยตามหลังเกวียนลาของพวกนางมานั่นเอง
“พี่สาว ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้าและท่านย่าเอาไว้”
เด็กหญิงเอ่ยปากพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวิบวับ มันเปียกชื้นเล็กน้อยเพราะความใ แต่แววตากลับมีความซาบซึ้งใจและความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง บริสุทธิ์ใสไร้สิ่งเจือปน
ฮวาเหยียนตกตะลึง ก่อนหน้านั้นที่นางจะยื่นมือออกไปช่วยก็ไม่ใช่เพราะจิตใจที่สูงส่งอันใด นางเพียงแค่รู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้กับหยวนเป่ามีอายุไล่เลี่ยกัน ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร นางแค่ไม่้าให้เด็กหญิงถูกม้าเหยียบ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้เด็กผู้หญิงคนนี้มาขอบคุณ
ฮวาเหยียนรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
แต่แล้วนางก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า "ข้าไม่ได้ช่วยพวกเ้าหรอก มันเป็แค่เื่บังเอิญ"
ฮวาเหยียนตอบกลับอย่างเฉยเมย
ฮวาเหยียนพูดยังไม่ทันจบ หญิงชราที่อยู่ข้างหลังเด็กหญิงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับดึงหลานสาวตัวน้อยเอาไว้ จากนั้นนางก็ก้มตัวคุกเข่าลงตรงหน้าฮวาเหยียน
การคุกเข่านี้ทำให้ฮวาเหยียนตื่นใแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อพยุงนางขึ้น หญิงชราก็พูดว่า "คุณหนูมู่ ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตเราสองยายหลานเอาไว้ ขอบคุณท่าน ขอบคุณ ท่านเป็แม่นางที่ดี จิตใจงดงามดั่งพระโพธิสัตว์ [3] ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน หญิงชรากับเด็กน้อยคนนี้คงถูกม้าตัวนั้นเหยียบจนตายไปแล้ว ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยให้พวกเรายายหลานรอดตายมาได้ หญิงชราขอโขกศีรษะให้ท่าน"
หญิงชราหลั่งน้ำตา นางเห็นด้วยตาของตนเองว่าม้านั้นควบมาเร็วแค่ไหน ทั้งคนบนหลังม้านั้นโเี้เพียงใด แต่เท้าของนางกลับเหมือนถูกตอกตะปูติดอยู่กับพื้น ไม่มีแรงจะวิ่งหนี ขอเพียงแค่เกวียนลาที่อยู่ตรงหน้าพวกนางหลบพ้น ตัวนางกับหลานสาวถึงอยากจะหลบก็คงจะหลบไม่พ้นเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้เ้าของเกวียนลาที่อยู่ข้างหน้าจะรู้ดีว่าผู้มาเยือนคือจวิ๋นจู่หลิวซวง แต่นางยังคงเลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ปล่อยให้พุ่งชนตรงๆ เพื่อช่วยชีวิตพวกนางสองยายหลานเอาไว้
คนในเกวียนลานี้เป็คนดี เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางและเด็กหญิงเอาไว้
นางคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเ้าของเกวียนลานี้เป็คุณหนูตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าโจว ดวงตาของพวกนางเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็เพราะพวกนางสองยายหลาน คุณหนูมู่จึงถูกกล่าวโทษ ถูกจวิ๋นจู่หลิวซวงกลั่นแกล้ง และในยามที่รู้สึกกังวลและสิ้นหวัง ท่านอ๋องมู่ก็ปรากฏตัวขึ้น และนั่นทำให้นางโล่งใจได้ในที่สุด ในยามนี้พวกเขากำลังจะไป นางจึงรีบคว้าโอกาสเดินออกมาขอบคุณ
ฮวาเหยียนได้ฟังคำกล่าวของหญิงชราจนจบ ก่อนที่นางจะรีบโขกศีรษะให้ มันเกิดขึ้นเร็วจนนางใ ให้สตรีที่อยู่ในวัยหกสิบเจ็ดสิบจะโขกศีรษะให้แก่ตนเอง นี่ไม่ใช่การทำให้นางอายุขัยสั้นลงหรอกหรือ? นางรีบก้มตัวลง ก่อนจะช่วยประคองหญิงชราให้ลุกขึ้น
“ท่านย่า เื่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ ท่านอย่าได้กังวลไป ลุกขึ้นก่อนเถิด”
ใบหน้าของฮวาเหยียนที่เมื่อครู่ยังเฉยเมย มายามนี้นางทำตัวไม่ถูกเข้าแล้วจริงๆ ไม่รู้จะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน ด้านหลังของนางยังมีมู่เอ้าเทียนที่เฝ้าดูอยู่ ด้านข้างก็มีหยวนเป่าที่กำลังกะพริบตามองอยู่เช่นกัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกละอายใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะถึงแม้นางจะช่วยชีวิตคนไว้ แต่ก็ไม่ใช่เื่ลำบากอะไร อีกทั้งนางก็ไม่ได้มีหัวใจที่ทุ่มเทเพื่อช่วยคนอื่น แค่เพียงเพราะนางทนความเย่อหยิ่งของคนขี่ม้าไม่ได้ก็เท่านั้น
แต่ในขณะนี้ มู่เอ้าเทียนมองนางด้วยความภาคภูมิใจ แววตาของหยวนเป่าก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมศรัทธา แต่ฮวาเหยียนกลับพูดอันใดไม่ออกสักคำ
ฮวาเหยียนประคองหญิงชราให้ลุกขึ้นแต่ดวงตาของนางยังคงแดงก่ำ นางพูดกับหลานสาวตัวน้อยของนางว่า “หลานรัก โขกศีรษะให้ท่านผู้มีพระคุณเร็วเข้า"
"พี่สาวคนสวย อีกทั้งพี่ชายน้อยคนงาม ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยชีวิตท่านย่าและข้า ข้าขอโขกศีรษะให้ท่านเ้าค่ะ"
เชิงอรรถ
[1] ทุ่งชูรา เป็ภาษาพุทธซึ่งหมายถึงหลุมมรณะระหว่างอสูร ผู้คนมักใช้ "ทุ่งชูรา" เพื่ออธิบายสนามรบอันน่าสลดใจ
[2] สีผัก สีหน้าที่อดอยาก
[3] จิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ อุปมาว่าจิตใจดีดั่งพระโพธิสัตว์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้