เมื่อกลับไปถึงจวนท่านอ๋องมู่ หน้าจวนแขวนโคมประดับแสงสีอันงดงาม
พ่อบ้านลุงหวังรอคอยอยู่หน้าประตู สายตาของเขามองไปรอบๆ เมื่อเห็นมู่เอ้าเทียนและคนอื่นๆ กลับมาแล้ว เขาก็รีบร้อนเข้าไปต้อนรับทันที
“ท่านอ๋อง อาหารในจวนพร้อมแล้วขอรับ นายท่านรองกับฮูหยินครอบครัวรอง รวมถึงคุณหนูรองชิงอวิ้นล้วนยังไม่กินมื้อเย็น พวกเขาทั้งหมดรอท่าน คุณชายน้อย และคุณหนูใหญ่อยู่ขอรับ”
ท่านลุงหวังอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว เขาเป็พ่อบ้านที่ขยันและมีความสามารถ ชายชรารออยู่ที่ประตูั้แ่ยามที่มู่เอ้าเทียนออกจากจวนด้วยบรรยากาศโเี้อำมหิต เฝ้ารอคอยให้ทุกคนกลับมา หัวใจที่เป็กังวลถึงสามารถสงบลงได้ ยามนี้เขาจึงสั่งให้ครัวเตรียมขึ้นสำรับอาหารได้
"เรียกจี้หง ภรรยาของเขา รวมถึงชิงอวิ้นมาทานอาหารเย็นเถิด"
มู่เอ้าเทียนกล่าว
"ขอรับ"
พ่อบ้านลุงหวังถอยกลับไปเพื่อไปเรียกสมาชิกจากครอบครัวรองให้ไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อทานอาหารเย็น
เมื่อเข้าไปในห้องโถง พลันเห็นโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นหอมอบอวล หัวสิงโตตุ๋น ปลากะพงนึ่ง ไก่ยัดไส้ พระะโกำแพง... อาหารมากมายหลายชนิด เต็มโต๊ะนับได้ทั้งหมดสิบสองจาน...
น้ำลายของฮวาเหยียนกำลังจะไหลออกมา
ความชอบในชีวิตนางนั้นมีไม่มาก หนึ่งในนั้นมีของอร่อย อาหารดีๆ หน้าตาน่ากิน
ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เห็นอาหารเต็มโต๊ะ ท้องจึงร้องออกมาเสียงดังอย่างไม่สมควร
“หิวแล้ว? ”
มู่เสวียนเย่เห็นดวงตาที่สดใสของฮวาเหยียนจึงถามอย่างตลกขบขัน
ฮวาเหยียนพยักหน้าอย่างน่าสงสาร นางหิวมากหิวจะตายอยู่แล้ว
มู่เสวียนเย่หยิบขนมดอกท้อสองชิ้นจากโต๊ะ หนึ่งชิ้นให้ฮวาเหยียนและอีกชิ้นให้หยวนเป่า “รองท้องก่อนเถิด ท่านอารอง ฮูหยินบ้านรอง และชิงอวิ้นใกล้จะมาถึงแล้ว”
ฮวาเหยียนรับไปด้วยความกระดากอายเล็กน้อย ท่านพ่อกับท่านพี่ใหญ่ตระกูลมู่ยังไม่ได้ขยับตะเกียบ ท่านอาจากครอบครัวรองก็ยังไม่มา หากนางลงมือกินก่อนก็คงจะไม่ค่อยดี
"บุตรรักกินเถอะ แค่ขนมดอกท้อชิ้นเดียว ไม่เป็ไรหรอก เ้าไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งวัน ครอบครัวของเรามิได้มีพิธีรีตองอันใดมากมายหรอก"
มู่เอ้าเทียนกล่าว น้ำเสียงของเขาเ็ปหัวใจจริงๆ
มุมปากของมู่เสวียนเย่ขยับเล็กน้อย เขายิ้มและไม่เอ่ยอันใด คิดว่าหากน้องสามอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจออกมาแล้ว จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งตอนมื้ออาหาร คนยังมาไม่พร้อมหน้า จืออ๋างคีบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งเม็ด ผลคือถูกท่านพ่อจับได้และถูกตี ถึงขั้นไม่อนุญาตให้กินอะไรเลยหนึ่งวันหนึ่งคืน
บุตรเหยียนคนนี้เป็ที่รักของทุกคนในครอบครัว แต่ก่อนนางเป็คนใจกว้างโอบอ้อมอารี ถึงแม้ว่านางจะหิวเหลือเกินแต่นางก็จะไม่เผยให้เห็นความหิวโหยให้ฉายชัดในแววตา นางจะต้องอดทนจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน นางจะต้องยืนหยัดแสดงด้านของสตรีชนชั้นสูงเอาไว้ ถึงแม้ชื่อเสียงจะงดงามแต่นางก็คงเหนื่อยมากเช่นกัน
ทุกวันนี้แม้ว่าน้องสาวตัวน้อยจะสูญเสียความทรงจำและกลายเป็แม่คนไปแล้ว แต่นางก็ได้แสดงออกถึงอุปนิสัยอันเป็ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของนางออกมา น้องน้อยที่มีนิสัยเช่นนี้ทำให้พวกเขารักอย่างสุดหัวใจและยิ่งโอ๋เอ็นดูมากขึ้นไปอีก
“เ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณพี่ใหญ่”
ฮวาเหยียนเอาขนมดอกท้อเข้าปากภายในคำเดียว ริมฝีปากและฟันของนางส่งกลิ่นหอม กลิ่นหอมของดอกท้อลอยอวลอยู่ในอากาศ หอมหวานแต่ไม่ทำให้รู้สึกเลี่ยน
"อร่อยเหลือเกินเ้าค่ะ"
ฮวาเหยียนหลับตาพริ้มด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย การแสดงออกนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่านางได้กินอาหารอันโอชะที่หายากในใต้หล้า
มู่เอ้าเทียนและมู่เสวียนเย่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อมองไปที่ท่าทางของฮวาเหยียนที่หลับตาพริ้ม ดวงตานั้นโค้งจนเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว ยามที่เคี้ยวอะไรบางอย่างลักยิ้มดอกสาลี่เล็กๆ สองวงจะปรากฏที่มุมปากของนาง ราวกับจิ้งจอกน้อยน่ารัก
มู่เอ้าเทียนและมู่เสวียนเย่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
“หยวนเป่า เ้าเองก็กินเถิด”
มู่เอ้าเทียนเก็บสายตากลับมา ยามที่เขาก้มศีรษะลงพลันเห็นหยวนเป่ากำลังถือขนมดอกท้ออยู่แต่ไม่ได้กินมันเข้าไป เขาคิดว่าหยวนเป่าคงรู้สึกกระดากอายจึงได้เปิดปากเอ่ย
จากนั้นก็เห็นหยวนเป่าสั่นศีรษะ "ท่านตา หยวนเป่ายังไม่หิว ขนมดอกท้อนี้สำหรับท่านแม่ของข้า ท่านแม่ชอบกิน"
เมื่อได้ยินคำเอ่ยของหยวนเป่า มู่เอ้าเทียนและมู่เสวียนเย่พลันหันมามองหน้ากัน หยวนเป่าน้อยเหตุใดถึงได้ใส่ใจคนเก่งถึงเพียงนี้ เขารู้วิธีดูแลท่านแม่ของเขาจริงๆ อายุเท่านี้ช่างรู้ความเหลือเกิน
ฮวาเหยียนหน้าแดงอยู่ข้างๆ บุตรชายของนาง... ช่างเป็เด็กที่ใส่ใจมากจริงๆ
...
ในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมานอกประตู ครอบครัวรองเดินตามพ่อบ้านเข้ามาในห้องโถงใหญ่
“พี่ใหญ่ ท่านไปอยู่ที่ใดมา? ไม่ได้ทิ้งข้อความเอาไว้ อีกทั้งเสวียนเย่พอกลับจากวังมาถึงจวนก็รีบร้อนออกไปอีกคน นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นหรือขอรับ? ”
ทันทีที่เขาเข้าประตูมา มู่จี้หงก็เอ่ยถามเสียงดัง น้ำเสียงของเขาเองก็แฝงไปด้วยความวิตกเช่นกัน ในขณะที่เขาเดินเข้าประตูมา ด้วยความที่เขาเดินเร็วเกินไปจึงบังเอิญสะดุดธรณีประตูเข้า หากไม่ใช่เพราะพ่อบ้านหวังที่มือไวประคองตัวเขาเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าเขาจะโยนตัวเองลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว
“นายท่านรอง โปรดเดินให้ช้าลงหน่อยเถิดขอรับ”
พ่อบ้านลุงหวังกระซิบ
“ข้ารู้ ข้ารู้ ข้ารีบเกินไป ข้านึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่ใหญ่ ขาของข้าก็อ่อนแรง…”
มู่จี้หงยังคงบ่นออกมาหนึ่งเสียง
“ไม่เป็ไร น้องรอง น้องสะใภ้รอง ชิงอวิ้น รีบมากินข้าวด้วยกันเถิด”
มู่เอ้าเทียนนั่งบนที่นั่งหลักพร้อมกับมีหยวนเป่านั่งอยู่บนตัก เขากล่าวทักทายออกมาหนึ่งเสียง
เมื่อเห็นว่ามู่เอ้าเทียนไม่้าจะเอ่ย มู่จี้หงก็กะพริบตาและไม่ถามอะไรอีก เขากับหลิวซื่อนั่งลงตามตำแหน่งที่จัดวางไว้ แต่มู่ชิงอวิ้นกลับเดินไปทางฮวาเหยียนอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล "พี่หญิง ข้าขอนั่งข้างๆ ท่านได้หรือไม่? ”
น้ำเสียงของนางเป็กังวล นางถามเสียงเบา
ฮวาเหยียนลืมตาขึ้นและเห็นว่าดวงตาของมู่ชิงอวิ้นดูเหมือนจะมีความหวังและความระมัดระวัง เมื่อนึกถึงท่าทีที่ไม่แยแสของนางก่อนหน้านี้ นางกลัวว่าญาติคนนี้จะใ และจากคำบอกเล่าของพี่ใหญ่ มู่ชิงอวิ้นน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง ฮวาเหยียนยิ้มมุมปากพลางพยักหน้าตกลง "น้องหญิงอวิ้นเออร์ โปรดนั่งลงเถิด ก่อนหน้านี้ที่ข้าจำเ้าไม่ได้ ได้โปรดอย่าถือสา"
นางเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างสดใส ริมฝีปากแดงเผยให้เห็นฟันขาวนั้นแสดงให้เห็นว่านางจริงใจ
ท่าทางที่อบอุ่นและจริงใจนี้ทำให้มู่ชิงอวิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เ้าเด็กโง่ เหตุใดถึงได้ตกตะลึงถึงเพียงนี้ พี่หญิงเหยียนให้เ้านั่งแล้วนี่นา”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของนางงุนงง หลิวซื่อยิ้มและผลักหลังนางนิดหน่อย จากนั้นมู่ชิงอวิ้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขนางนั่งลงด้านข้างฮวาเหยียน
"ลูกเหยียน เื่ของเ้า อารองกับอาสะใภ้รู้หมดแล้ว พี่ใหญ่บอกว่าเ้าสูญเสียความทรงจำ เฮ้อ... เ้าเด็กคนนี้ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เ้าคงลำบากมามากสินะ แต่โชคดีที่เ้ายังจำได้ว่าตัวเองเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่และยังหาทางกลับจวนมาได้”
หลิวซื่อนั่งลงใกล้กับมู่ชิงอวิ้น สตรีที่ได้รับการดูแลอย่างดีเช่นนางยามที่กล่าววาจาก็มีรอยยิ้มหยักโค้งในแววตา แฝงไปด้วยเสน่ห์ถึงสามส่วน คำเอ่ยของนางฟังแล้วราวกับใส่ใจ ทว่าเมื่อฟังแล้วกลับไม่เข้าหูเลยแม้แต่นิด
ฮวาเหยียนหรี่ตาลงและไม่ได้เอ่ยอะไร
"กินข้าวกันเถอะ" มู่เอ้าเทียนเปิดปากเอ่ยโดยไม่ต่อบทสนทนาของหลิวซื่อ
ตอนที่เขาไม่ยิ้ม ใบหน้าช่างเคร่งขรึม มองดูแล้วจริงจังเป็อย่างยิ่ง ทันทีที่เขาเปิดปาก ทุกคนก็เริ่มขยับตะเกียบ
ดวงตาของหลิวซื่อหันไปมองมู่เอ้าเทียน นางไม่ได้เอ่ยอะไร นางก้มศีรษะลงและเริ่มคีบอาหาร
"ลูกรัก เ้าลองนี่สิ สันในผัดแห้ง หอมยิ่งนัก"
“ยังมีหน่อไม้ผัดอันนี้อีก รสชาติค่อนข้างอ่อน...”
มู่เอ้าเทียนยกจานอาหารวางหน้าฮวาเหยียนเพราะกลัวว่านางจะไม่อิ่ม นี่เป็ความรักที่มากเกินคำบรรยาย
มู่เสวียนเย่เอ่ยวาจาไม่มาก เขาทำเพียงคีบอาหารให้หยวนเป่าอย่างเงียบๆ เขาอยากดูแลน้องสาวของเขาเช่นกัน แต่แค่ท่านพ่อของเขาก็รักบุตรสาวอย่างโงหัวไม่ขึ้นแล้ว เขาจึงไม่สามารถยื่นมือเพื่อเข้าไปร่วมวงได้เลย
“ท่านพ่อเ้าคะ ท่านเองก็กินเถิด ข้าสามารถคีบกินเองได้เ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนยิ้มหวานตาหยี ั้แ่เส้นผมบนหัวจรดปลายเท้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและนุ่มนวล การนั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแบบนี้ อีกทั้งยังถูกคนดูแลอย่างดีเช่นนี้ นับเป็ครั้งแรกั้แ่เติบโตมาจนถึงยามนี้เลยก็ว่าได้
“พี่หญิง ลองชิมกุ้งเข็มขัดหยกนี่สิเ้าค่ะ แต่ก่อน ท่านชอบทานอันนี้ที่สุด...”
มู่ชิงอวิ้นเปิดปากเอ่ยเบาๆ นางใช้ตะเกียบคีบกุ้งมาไว้ข้างหน้าฮวาเหยียน
กุ้งมีกลิ่นหอม ดูสดและอร่อย ฮวาเหยียนเหลือบตามองแต่ไม่กิน
นางโปรดปรานกุ้ง รวมถึงกินกุ้งเป็ เนื้อสัตว์และผักไม่ใช่สิ่งต้องห้าม แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่กินคือกุ้งสด
แม้แต่ตัวกุ้งนางก็ไม่สามารถจับได้ มิฉะนั้นนางจะแพ้และจะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว และมันดูน่ากลัวยิ่งนัก
ดังนั้นฮวาเหยียนจึงไม่ขยับตะเกียบ
เมื่อเห็นว่าฮวาเหยียนไม่ได้กินเนื้อกุ้งสดที่นางคีบให้ มู่ชิงอวิ้นพลันหลุบสายตาลง น้ำตาค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาของนาง ในไม่ช้าก็กลายเป็หยดน้ำตา หนึ่งหยด สองหยด... ค่อยๆ รินกระทบลงบนโต๊ะอาหาร……
“อวิ้นเออร์ ร้องไห้ทำไม เ้าสาวน้อยคนนี้...”
หลิวซื่อที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นบุตรสาวร้องไห้ก็พาให้หัวใจของนางเ็ป นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาเช็ดน้ำตาให้
ดวงตาของมู่ชิงอวิ้นแดงก่ำและชื้นแฉะ นางเม้มริมฝีปากส่ายหัว "ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ"
เสียงของนางเบาบางเหลือเกิน
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้น และทันใดนั้นมู่ชิงอวิ้นก็กลายเป็จุดสนใจของทุกสายตา นางดูกระดากอายเล็กน้อย หน้าแดง และก้มศีรษะลงพลางกัดริมฝีปาก
ฮวาเหยียน "...! "
ลูกพี่ลูกน้องของครอบครัวรอง เ้ามิใช่ทำเกินไปหรือ? แค่เพราะนางไม่ได้กินกุ้งตัวนั้น แค่นั้น?
สตรีเ้าน้ำตาเช่นนี้ นางไม่รู้วิธีรับมือจริงๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น การร้องไห้ตอนกินข้าวนี้ช่างทำให้เสียอารมณ์ยิ่งนัก
“เ้าลูกคนนี้ ยังกล้าเอ่ยว่าไม่เป็อะไร ตาของเ้าแดงก่ำเพราะร้องไห้ ไม่ใช่เพราะว่าพี่หญิงเหยียนของเ้าไม่กินกุ้งที่เ้าคีบให้หรอกหรือ? เ้าบุตรคนนี้นี่ ร้องไห้ทำไมกัน? ”
หลิวซื่อเช็ดน้ำตาให้มู่ชิงอวิ้นไปพลางบ่นนางไป
ฮวาเหยียน "...! "
นางพบว่าท่านอาสะใภ้รองยามเอ่ยวาจามักแฝงไปด้วยถ้วยคำเสียดสีจริง และยังเป็คำเสียดสีที่อ่อนนุ่มปวกเปียก เดิมทีนางเป็คนที่มีความรู้สึกไว ั้แ่ครั้งแรกที่เจอนางก็รู้เื่นี้แล้ว ดังนั้นจึงวางแผนไว้ว่าจะไม่สนิทสนมกับครอบครัวรองนัก และเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของความจำเสื่อมเพื่อหลบเลี่ยงไป
เื่ราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ท่านพ่อมู่กลับรู้สึกอึดอัดและโทษตัวเองเพราะท่าทีที่ไม่แยแสและเหินห่างของนาง ต่อมาท่านพี่ใหญ่ยังกล่าวอีกว่าสมาชิกในครอบครัวมู่ของพวกเขาไม่ได้มีเยอะแยะมากมาย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจึงล้ำค่าเป็อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อตระกูลมู่มีบุตรสาวเพียงสองคนเท่านั้นก็คือนางและมู่ชิงอวิ้น พวกนางเติบโตขึ้นมาด้วยกันั้แ่เด็ก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดีมากเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากให้พวกนางสานสัมพันธ์กันให้มากขึ้นหน่อย
สุดท้ายแล้ว นางจึงคิดที่จะสานสัมพันธ์ดีๆ กับครอบครัวรอง
ทว่าท่านอาสะใภ้รองจากครอบครัวรองกลับเอ่ยวาจาที่แฝงไปด้วยหามทิ่มแทง จงใจชี้ให้เห็นว่านางไม่ได้กินกุ้งที่มู่ชิงอวิ้นคีบให้ การกล่าวหาเช่นนี้ทำให้นางโต้แย้งกลับไปเสียจริง นางยิ่งเป็คนใช้อารมณ์เสีย ฉุนเฉียวง่ายอยู่ด้วย...
หากมิใช่เพราะเห็นว่าต้องทำตัวเป็เด็กดีต่อหน้าท่านพ่อและท่านพี่ใหญ่ นางคงใช้เท้าไล่เตะคนพวกนี้ออกไปแล้ว
และน้องหญิงชิงอวิ้นที่ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ ช่างมิอาจเดินร่วมทางกับนางได้จริงๆ
เฮ้อ
ฮวาเหยียนถอนหายใจ อาหารบนโต๊ะล้วนเสียรสชาติ
“น้องหญิงอวิ้น เ้าร้องไห้ทำไมกัน? ”
มู่เอ้าเทียนเห็นชิงอวิ้นร้องไห้จนตาและจมูกแดงก่ำก็รู้สึกว่าไม่อยากอาหารแล้ว นี่เป็อาหารมื้อแรกที่บุตรสาวตัวน้อยของเขาได้ทานเมื่อนางกลับมา มื้ออาหารนี้ถูกใช้รับลมและกวาดฝุ่น [1] การที่หลานอวิ้นผู้นี้ร้องไห้นั้นราวกับกวาดเอาความสุขสำราญใจออกไปให้หมดจริงๆ
"ท่านลุงใหญ่... พี่หญิง นางไม่กินกุ้งที่อวิ้นเอ๋อร์คีบให้ ฮือ... ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบอวิ้นเอ๋อร์แล้วหรือ? ข้ารู้ว่าพี่หญิงของข้าความจำเสื่อม ทว่าในใจของข้านั้นทรมานเหลือเกินเ้าค่ะ ฮือๆ ..."
หากมู่เอ้าเทียนไม่ถามก็คงจะเป็การดีเสียกว่า เพราะคำถามนี้ มู่ชิงอวิ้นจึงร้องไห้หนักยิ่งขึ้น
ฮวาเหยียน "...! "
มู่เอ้าเทียน "...! "
“ท่านน้า ท่านแม่แพ้กุ้ง มิใช่ว่านางไม่ชอบท่านหรอกขอรับ...”
เชิงอรรถ
[1] รับลมและกวาดฝุ่น ซึ่งหมายถึงการจัดเลี้ยงเพื่อสร้างความบันเทิงให้แขกจากแดนไกลเพื่อแสดงความดีใจและยินดีต้อนรับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้