ในเดือนมีนาคม ท้องฟ้าที่เดิมทีเป็สีครามเวลานี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มหนาแน่น สายลมพัดผ่านกวาดเอาใบหลิวปลิวไป สายฟ้าแลบเป็ประกายอยู่ท่ามกลางอากาศ สายฝนพรำโปรยปรายไปทั่ว
สภาพอากาศที่อึมครึมเช่นนี้พาให้รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
เจียงไป๋นั่งเหม่ออยู่ในห้องเช่าโกโรโกโสเพียงลำพัง เวลานี้ภายในจิตใจของเขาเหมือนถูกสายฝนที่โหมกระหน่ำตกลงมาทิ่มแทงจนเป็รูรั่วเหมือนดั่งกระชอน
“ล้อเล่นอะไรกัน! ที่นี่ที่ไหน? ดาวสุ่ยหลาน? โลกคู่ขนานหรือ? ฉันทะลุมิติเข้ามาหรือว่าเห็นผีกันแน่!”
เจียงไป๋ได้สติกลับมาสักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะดึงปากบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของตนอย่างรุนแรง หลังจากยืนยันได้แล้วว่าแก้มยังมีอาการเจ็บอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
มิน่าล่ะ เขาถึงมีท่าทางเช่นนี้ หากเป็ใครสักคนตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองเด็กลงไปสิบปี และต้องข้ามมาอยู่อีกโลกหนึ่งก็คงมีอาการแบบนี้ไม่ต่างไปจากเจียงไป๋นัก และหากพบว่าเขาที่เป็คนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ กลับเปลี่ยนไปเป็คนละคน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็อย่างไรนั้น ถ้าหากไม่จัดการให้ดีก็อาจจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลบ้าก็เป็ได้
“ดาวสุ่ยหลานคือดาวคู่ขนานของโลกดวงหนึ่ง มีลักษณะส่วนใหญ่เหมือนกับโลก นอกจากรายละเอียดที่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยแล้ว เ้าก็จะรู้สึกได้ว่าที่นี่ก็คือโลกเมื่อสิบปีก่อน ยินดีด้วยพ่อหนุ่ม เ้าได้รับรางวัล และเกิดใหม่แล้ว”
ขณะที่เจียงไป๋กำลังตบหน้าตนเองอย่างมึนงง เสียงที่ฟังดูจอมปลอมที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา
“คุณเป็ใคร?”
เจียงไป๋ตะลึงงัน และใมาก
เห็นผีเข้าแล้วสิ!
“ข้าหรือ? ข้าก็คือระบบจอมอหังการ! ส่วนที่มาของข้านั้น … เ้าไม่จำเป็ต้องรู้ก็ได้ ถึงอย่างไรหนุ่มน้อยเ้าก็โชคดีแล้ว ข้าพาเ้ามายังที่นี่ ชีวิตของเ้าก็จะแตกต่างออกไปจากเดิม จะมาสนใจอะไรมากมาย เพียงเก็บสะสมบารมี และข้าก็จะให้ของรางวัลตอบแทนแก่เ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก และก็ไม่ได้สนใจปัญหาของเจียงไป๋เช่นเคย เขาจึงเริ่มบ่นพึมพำอีกครั้ง
“จอมอหังการหรือ? มันคืออะไร?”
เจียงไป๋มึนงงเล็กน้อย เขาพบว่าในหัวของตนยังคงตอบสนองไม่ทัน
“ระบบจอมอหังการสร้างมาเพื่อปลูกฝังให้เ้าเป็จอมอหังการที่ะเืเลือนลั่นไปทั่วฟ้าดิน โดยใช้แต้มบารมีเป็ฐาน และหากมีแต้มบารมีเ้าก็จะได้ทุกอย่างที่เ้า้า”
เสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้ง ข้อความต่างๆ เริ่มปรากฏอยู่ในหัวของเจียงไป๋ ทำให้เขาสามารถเข้าใจระบบบารมีในเบื้องต้นได้บ้างแล้ว
ซึ่งมันก็เป็เหมือนกับเกมเกมหนึ่ง อธิบายคร่าวๆ คือ เจียงไป๋จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อเก็บสะสมประสบการณ์ และจะสามารถนำไปแลกสิ่งที่้าได้
“เจียงไป๋แกลงมาเดี๋ยวนี้! เื่ที่ให้ไปจัดการเมื่อวานเป็อย่างไรบ้าง!”
ขณะนั้นมีเสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นที่ลานบ้าน
ภายใต้ฝนพรำเช่นนี้ อันธพาลแต่งตัวฉูดฉาดสามสี่คนถีบประตูใหญ่ของบ้านเช่าสามชั้นหลังนี้ออก และเดินเข้ามาตะคอกเสียงดัง ก่อนจะชี้ไปที่เจียงไป๋ซึ่งกำลังนั่งอยู่บริเวณด้านหลังของราวกั้นขึ้นสนิมใต้ชายคาระเบียงชั้นสาม
“เอ่อ”
เจียงไป๋คลึงหัวเบาๆ และทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก เขาก็นึกออกว่าคนพวกนี้คือใคร
คนที่มีผมสีเหลืองยืนอยู่ตรงกลางนั้นคือหลิวปิน อันธพาลที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ กับเจียงไป๋ก็ถือว่ารู้จักกัน แต่ไม่ได้สนิทสนมเท่าไร
เจียงไป๋คนเดิมมีนิสัยอ่อนแอ หากได้พบอันธพาลเหล่านี้ถ้าหลบได้ก็จะหลบไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด เขาพยายามตั้งอกตั้งใจทำงานเป็ รปภ.ในเมืองหยูเล่อที่ตนอาศัยอยู่อย่างซื่อสัตย์ ใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน โดยหวังว่าอนาคตจะหาภรรยาสักคน และใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างสงบ
คนทั้งคู่เหมือนกับแม่น้ำสองสายที่ไหลแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง ปกติแล้วทั้งชีวิตนี้ก็น่าจะไม่มีโอกาสได้มาคบค้าสมาคมกัน
แต่สิ่งที่แย่ก็คือ เมื่อวานแม่ของเจียงไป๋ได้ให้น้องสาวซึ่งมีหน้าตาสะสวย ที่เป็ญาติห่างๆ กัน มาส่งเสื้อผ้าอะไรสักอย่างให้กับเขา
และสิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ คนพวกนี้ดันไปเห็นเข้า
เพราะเหตุนี้เมื่อวานเหล่าอันธพาลจึงจับเจียงไป๋เอาไว้ แถมยังตบหน้าไปอีกสองทีโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไร คนพวกนั้น้าให้เจียงไป๋แนะนำน้องสาวให้รู้จัก
เื่อย่างนี้ถึงแม้เจียงไป๋จะอ่อนแอแต่ก็ทำไม่ลง
ถึงเจียงไป๋จะเป็คนอ่อนแอแต่ก็รู้ดีว่าคนพวกนี้เป็แบบไหน จะให้เขาผลักไสญาติผู้น้องของตนเข้าไปในกองไฟได้อย่างไร ถึงจะกล่าวว่า …
หากเขาตั้งใจอยากจะทำ แต่น้องสาวที่อยู่ห่างไกลคนนั้นก็คงจะไม่สนใจอยู่ดี
“อ้อ … ฉันอยู่นี่!”
เจียงไป๋ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น และหยิบอิฐแตกๆ ที่เหลือเพียงครึ่งก้อนซึ่งอยู่ข้างๆ เท้าขึ้นมาแล้วพุ่งลงไปชั้นล่าง
เจียงไป๋คนก่อนอ่อนแอมาก แต่ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนเป็อีกคนแล้ว และก็จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
เขาคนใหม่ถึงแม้จะไม่เก่งกาจอะไร แต่เื่ต่อยตีแบบนี้ก็ไม่เคยกลัวใครมาก่อน
มากสุดก็แค่ตาย ไม่มีอะไรต้องกลัว
คนพวกนั้นจะไปกลัวมันทำไม?
“พี่ปิน เื่ที่พี่บอก ฉันคิดได้แล้ว มา พี่เข้ามาหน่อย ฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมด … ”
พอเจียงไป๋ลงไปจากระเบียงก็เห็นคนของอีกฝ่ายสามคนเดินเข้ามา เขาหัวเราะเล็กน้อย พยักหน้า และโค้งตัวพลางพูด
“แบบนั้นหรือ? คิดได้แล้วสิ! เฮ้ย ไอ้น้องถือว่าแกฉลาด เื่ของพี่ชายหากทำสำเร็จแล้ว ต่อไปถ้าแกอยู่แถวนี้ รับรองได้ว่าจะไม่มีใครกล้ารังแกแกอีก ฉันจะบอกให้ … ”
เมื่อหลิวปินผมเหลืองเห็นท่าทางอย่างนี้ของเจียงไป๋ก็คิดว่าไอ้หนูคนนี้กำลังหวาดกลัว ตอนที่ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างสมหวัง เขาเดินเข้ามาใกล้เจียงไป๋อย่างไม่สนใจไยดี และหัวเราะเสียงดังก้อง ทั้งยังตบไหล่ของเจียงไป๋อย่างกล้าหาญ พลางพูดด้วยท่าทางที่บอกว่า หลังจากนี้ถ้านายอยู่กับฉัน ฉันก็จะดูแลนายเอง
“แกพูดบ้าอะไร!”
“ตุ้บ” ก้อนอิฐที่อยู่ในมือของเจียงไป๋ตีเข้าไปที่หัวของหลิวปินทันที
เวลานั้นเืสีแดงฉานไหลพุ่งออกมาจากหน้าผากของอีกฝ่าย ตามด้วยเสียงร้องอย่างน่าอนาถของหลิวปิน ก้อนอิฐที่อยู่ในมือของเจียงไป๋ถูกตีลงไปอีกครั้ง
“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ … ”
เขาตีติดต่อกันเจ็ดครั้ง ตีจนหลิวปินร้องอย่างน่าอนาถไม่หยุด และล้มลงกับพื้นจนขยับไม่ได้ในที่สุด เจียงไป๋เพิ่งจะเช็ดเืที่อยู่บนแขน เขามองอันธพาลปลายแถวอีกสองคนที่มีอาการมึนงงอยู่พลางพูดว่า “ทำไม? ยังไม่พาเขาไปอีก! ฝากบอกเขาด้วยล่ะ หากเก่งจริงก็ให้เขาไปหาฉันที่ต้าชื่อเจี้ย! คนอะไรกัน!”
“เอ่อ … ”
อันธพาลสองคนนั้นน่าจะอายุประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามปี จริงๆ แล้วก็อายุพอๆ กับหลิวปินและเจียงไป๋ ปกติเื่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคน หรือชกต่อยก็มีไม่น้อย แต่จริงๆ แล้วก็เป็แค่พวกที่แข็งนอกแต่ภายในขี้ขลาด มักจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าแต่กลับกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตน เดิมทีคิดว่าแค่รังแกเจียงไป๋ก็คงไม่ยากอะไร แต่ไม่คิดว่าคนคนนี้จะโหดร้ายเช่นนี้ นี่คือการลงมืออย่างโเี้มาก!
ฟังอีกที ต้าชื่อเจี้ยหรือ?
แม่ง!
เดิมทีแล้วพี่ชายคนนี้ก็คือคนของต้าชื่อเจี้ย สถานที่ซึ่งในถนนสิบกว่าสายของแถบนี้นับว่าเป็สถานที่ที่มีชื่อเสียง เวลานี้อันธพาลทั้งสองคนก็ใจฝ่อ จะพูดก็ไม่กล้าพูด ได้แต่อ้าปากค้างอย่างเงียบๆ และรีบลากหลิวปินพากันหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย ทุกคนล้วนไม่มีท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างเมื่อครู่แล้ว
“ฟู่”
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วเจียงไป๋ถอนหายใจยาว
แท้จริงแล้วร่างนี้ก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าไร เพียงออกแรงไม่กี่ทีก็เหนื่อยหอบหมดแรงแล้ว หากสองคนนั้นเป็คนที่โเี้จริงๆ วันนี้เขาก็คงจบเห่แล้ว
ถึงจะเป็แบบนั้น ก็สามารถทำให้พวกเขาใจนหนีไปได้ แต่เกรงว่าเื่นี้จะยังไม่จบ ที่นี่คือสังคมกฎหมาย อย่าเห็นว่าเมื่อครู่เขาต่อยตีได้อย่างสะใจ แต่หลังจากที่ต่อยตีแล้วเจียงไป๋ก็กลับรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ หากหลิวปิน้าจะแจ้งความจับเขา เจียงไป๋ก็คงลำบาก
แน่นอนว่าพวกอันธพาลเ่าั้จะไม่แจ้งความ แต่เื่ก็คงจะไม่จบโดยง่าย พวกเขาจะต้องสืบข่าวของเจียงไป๋ให้ชัดเจนและจะต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน
“ไม่ได้การ อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ฉันจะต้องรีบหนีไป!”
ภายในใจของเจียงไป๋มีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ติงตัง! การต่อสู้ครั้งแรกชนะ ด้วยตัวคนเดียวต่อศัตรูสามคน ภารกิจสำเร็จ หนุ่มน้อย ยินดีด้วยเ้าได้รับแต้มบารมีห้าแต้ม!”
ภายในใจเพิ่งมีความคิดที่จะหนี เจียงไป๋เตรียมตัวหันหลังจากไป แต่ภายในหัวกลับมีเสียงของระบบดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แต่คำพูดนี้ทำให้เจียงไป๋อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ นี่มันระบบจอมอหังการอะไร … คำพูดทำไมถึงประหลาดเช่นนี้
ยังมีอีก ทำไมถึงเป็แต้มบารมีห้าแต้ม
คนสามคนที่อยู่ตรงหน้า แต้มบารมีห้าแต้มนี้มีที่มาอย่างไร?
แต่ไม่นานเจียงไป๋ก็เริ่มเข้าใจ
เพราะเขาเห็นคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างห้องเช่าแห่งนี้มองมาอย่างงงงัน ชายหญิงที่อายุยี่สิบกว่าปีสองคน กำลังยืนมองเขาอยู่บนระเบียงชั้นสามอย่างตะลึงงัน เมื่อพบว่าเจียงไป๋สังเกตเห็น พวกเขาต่างก็รีบหดคอพยักหน้า และหนีกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ซึ่งนี่ก็ทำให้เจียงไป๋อยากจะหัวเราะอยู่บ้าง
หากจำไม่ผิด คนก่อนหน้านี้อายุมากไปหน่อย เขามีร่างกายกำยำเล็กน้อย แต่ก็ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าเจียงไป๋ไว้มาก ครั้งนี้เกรงว่าต่อไปคนคนนี้ก็จะไม่กล้าอีกแล้ว ถือว่าได้ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย
“ยินดีด้วย หนุ่มน้อย เ้าได้รับแต้มบารมีเป็ครั้งแรก การทดสอบแรกของชีวิตสำเร็จ มีโอกาสจับรางวัลหนึ่งครั้ง! เส้นทางแห่งชีวิตนั้นยาวไกล ขึ้นอยู่กับการสะสมแต้ม หลังจากที่แต้มบารมีของเ้าถึงหนึ่งพันแต้ม ก็จะสามารถดำเนินการจับรางวัลได้ … ”
“จับรางวัลหรือ?”
เจียงไป๋ตะลึงงัน สักพักเบื้องหน้าก็ได้ปรากฏเครื่องสล็อตแมชชีนขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง
ซึ่งนี่ก็ทำให้เจียงไป๋ตะลึงงันอีกครั้ง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ของสิ่งนี้มีเพียงเขาที่มองเห็น คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้
จึงทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อมองอย่างละเอียด เครื่องสล็อตแมชชีนนี้ไม่เหมือนทั่วๆ ไป มันมีลักษณะเป็ช่องสี่เหลี่ยมมีทั้งหมดเก้าช่อง แบ่งเป็ด้านละสามช่องเรียงต่อกันเป็แนวตั้งและแนวนอน แต่ละช่องก็จะมีสีต่างกัน รวมถึงมีเข็มที่อยู่ตรงกลางอันหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กำลังชี้ไปที่ช่องช่องหนึ่งอยู่
ในช่องสี่เหลี่ยมทั้งเก้านั้นแบ่งเป็สีดำสามช่อง สีขาวสามช่อง สีฟ้าหนึ่งช่อง และสีม่วงสองช่อง ้าจะเขียนตัวอักษรกำกับเอาไว้
โดยช่องสี่เหลี่ยมสีขาวสามช่องแบ่งเป็ “รางวัลหนึ่งแสนหยวน” “โอกาสทองหนึ่งครั้ง” “แต้มบารมีสิบแต้ม”
เห็นได้ชัดว่านี่คือรางวัลที่ธรรมดาที่สุด นอกจากเงินหนึ่งแสนหยวนที่ทำให้เจียงไป๋ตาลุกเป็ประกายแล้ว อีกสองอย่างเขาคิดว่าไม่น่าสนใจเท่าไร
ช่องสี่เหลี่ยมสีฟ้าก็มีรางวัลสูงมากคือ “ความเชี่ยวชาญมวยสานต่าชั้นสูง”
ซึ่งก็ทำให้เจียงไป๋ตาลุกเป็ประกายอีกครั้ง นี่ก็เป็ของดี!
หากคนอื่นรู้ว่าเขามีร่างกายอ่อนแอย่อมไม่ดีแน่ ไม่ว่าจะเป็จากชาติก่อนหรือว่าในตอนนี้ จริงๆ แล้วนอกจากการใช้กำลังที่แข็งแกร่งแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่เป็อีกเลย
เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้พวกหลิวปินไม่เลิกราแน่นอน แต่หากเขาจับรางวัลชิ้นนี้ได้ก็คงจะปลอดภัยแล้ว
สำหรับช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงที่มีเครื่องหมายคำถามอีกช่องนั้น เจียงไป๋เลือกที่จะไม่สนใจ แต่เบนสายตาไปที่ช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงอีกช่องหนึ่งแทน
ตอนที่สายตาของเจียงไป๋หันไปมองที่ช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงช่องนั้น เขาก็ไม่สามารถละสายตาไปที่อื่นได้อีก ความเชี่ยวชาญมวยสานต่าอะไร เงินหนึ่งแสนอะไร เวลานี้ล้วนโยนทิ้งไว้ข้างหลัง
เพราะบนช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น ถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีม่วงขนาดใหญ่สองสามตัวที่แทบจะทำให้ตาพร่ามัวว่า “รางวัลร่ำรวยอย่างฉับพลันหนึ่งครั้ง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้