คนใจโฉดนั้น เพียงปรายตามองก็บอกได้แล้วว่าเป็คนใจโฉด แต่ใบหน้าของจ้าวซื่อผู้นี้มองอย่างไรก็เป็ได้เพียงโจรร้าย
หลินฟู่อินไม่มีกะใจจะสนนาง แต่เป็ตอนนั้นเองที่จ้าวซื่อก้าวออกมา
จ้าวซื่อปรายตามอง สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปเมื่อเห็นถุงผ้าสีน้ำเงินเข้มที่เปรอะเปื้อนแป้งสีขาวนวลในมือของเฟิงซื่อ จึงก้าวยาวๆ ไปชิงถุงนั้นมาจากมือนาง
มือของเฟิงซื่อว่างเปล่าเสียก่อนที่นางจะทันได้รู้ตัว นางส่งเสียงกรีดร้องแล้วพยายามวิ่งไปชิงถุงคืนทันที
จ้าวซื่อจับถุงแน่นไม่ยอมปล่อย ปากส่งเสียงสาปส่ง “เฟิงซื่อ นังโจรโฉด แยกบ้านแล้วยังขโมยแป้งมาด้วยอย่างนั้นหรือ ข้าจะกลับไปบอกท่านปู่กับท่านย่าแน่!”
แน่นอนว่าจ้าวซื่อเองก็รู้ดีว่าแป้งนี้ไม่ได้ถูกขโมยมาจากบ้านเก่าของเฟิงซื่อ เพียงนางเห็นหลินฟู่อินอยู่ที่นี่ นางก็รู้แล้วว่านี่เป็สิ่งที่หลินฟู่อินนำมาให้ แต่นางแค่อยากได้มันเท่านั้นจึงทำเช่นนี้
ร่างของเฟิงซื่อเดิมผอมแห้งอยู่แล้ว ทั้งศีรษะยังถูกจ้าวซื่อทุบตีจนแตกมาเมื่อวาน นางจึงอยู่ในสภาวะเืจาง ร่างกายไม่พร้อม จึงไม่อาจสู้แรงจ้าวซื่อได้
ทั้งยังถูกจ้าวซื่อผลักจนล้มอีก
เฟิงซื่อทำได้เพียงร่ำไห้ ชี้นิ้วใส่จ้าวซื่อ “พี่ใหญ่ จิตใจท่านช่างโหดร้ายนัก อยากให้บ้านของพวกข้าต้องอดตายถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
หลินฟู่อินเห็นเฟิงซื่อผู้ทำงานหนักมากว่าครึ่งวันถูกปัดทิ้งอย่างไร้เรี่ยวแรง ได้แค่สวนกลับด้วยลมปากที่ไร้ค่าเช่นนี้แล้ว ริมฝีปากของนางพลันบิดเบี้ยว
จ้าวซื่อมองเฟิงซื่อผู้มีน้ำตานองหน้าอย่างถือดี “เ้าผิดเองที่ขโมยของจากบ้านข้า!” นางหันมามองหลินฟู่อินที่อยู่ข้างๆ ปากแสยะยิ้มแล้วกล่าว “เ้าเป็คนพูดเช่นนั้นเองนี่ ฟู่อิน”
ในตอนแรกนางยังไม่ได้ทำให้ฟู่อินโกรธมากนัก แต่หมัดนี้ทำให้นางเริ่มเดือดขึ้นมา ฟู่อินหรี่ตาทรงผลซิ่งของนางลงแล้วหัวเราะอย่างเ็า “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านกล่าวถูกแล้ว การขโมยมันช่างน่าขายหน้า! แต่ตอนนี้ท่านกำลังปล้นข้าอยู่ชัดๆ นี่ข้าต้องลากท่านไปหาเ้าหน้าที่เลยดีหรือไม่?”
จ้าวซื่อะโด้วยเสียงอันดังจนเกินเหตุ “โอ นังหนูฟู่อิน นี่คิดจะขู่ข้าแล้วหรือ? จะพาข้าไปหาเ้าหน้าที่ด้วยเหตุผลว่าอะไรล่ะ?”
“ด้วยของที่อยู่ในมือท่านตอนนี้ไง นั่นเป็เส้นใหญ่ที่ข้าให้ป้าสะใภ้สองเอง” หลินฟู่อินกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก
ตอนนี้ชาวบ้านที่สัญจรไปมาเริ่มหันมามอง เมื่อเห็นว่าคนจากบ้านใหญ่ บ้านสอง และบ้านสามของตระกูลหลินมารวมตัวกันอีกแล้ว จึงอดที่จะมุงไม่ได้ งานการที่ต้องทำจึงถูกลืมไป
“เ้าให้เส้นใหญ่กับป้ารองของเ้า แต่ทำไมจึงไม่ให้ข้าด้วยเล่า?”
ในตอนนี้เองที่อู๋ซื่อเดินแหวกฝูงชนเข้ามาหยุดตรงเบื้องหน้าของหลินฟู่อิน แล้วกล่าวอย่างเดือดดาล
ทันทีที่ได้ยินอู๋ซื่อกล่าวเช่นนั้น สตรีมีอายุคนหนึ่งก็กล่าวใส่หลินฟู่อินทันที “ฟู่อิน ย่าของเ้ากล่าวถูกแล้ว เ้ามีเส้นใหญ่ให้ป้ารองของเ้า เช่นนั้นแล้วก็ต้องแสดงความกตัญญูให้ย่าของเ้าด้วยสิ!”
คำพูดนั้นเรียกเสียงสนับสนุนจากโดยรอบทันที
อย่างไรเสียชาวมุงเหล่านี้ก็อายุไม่ใช่น้อย สิ่งที่พวกเขาสนจึงมีเพียงการเรียกร้องหาความกตัญญูจากคนรุ่นเล็กกว่าเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าครั้งนี้คนรอบข้างเข้าข้างนาง อู๋ซื่อจึงได้ใจขึ้นมา
“ใช่แล้ว ข้าจะเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวนี่ไปให้ย่าของเ้าก่อน!” สีหน้าของจ้าวซื่อสดใสขึ้น หลินฟู่อินจึงก้าวออกมาแล้วยื่นมือไปขวางนาง
เมื่อเห็นจ้าวซื่อจ้องเขม็งสวนมา หลินฟู่อินยื่นมือออกไปจับถุงโดยที่คนรอบตัวไม่ทันได้มอง ถุงก๋วยเตี๋ยวจึงถูกชิงมาอยู่ในมือหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินยื่นถุงนั้นให้เฟิงซื่ออีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า “ป้ารอง รีบเอาไปทำอาหารเถอะ อย่าได้ทนหิวเลย”
“นังเด็กไม่รักดี!” อู๋ซื่อตอบสนองด้วยการถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นกล้ามแขนคล้ำหนาแข็งแรง “นังคนอกตัญญู!”
ทันทีที่เห็นอู๋ซื่อง้างหมัดขึ้น เหล่าชาวบ้านต่างพากันกลั้นหายใจ
ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ย่าอู๋ซื่อ คุยกันดีๆ เถอะ อย่าลงไม้ลงมือเลย เด็กมันก็หวังดีนะ…”
คนรอบข้างเริ่มส่งเสียงเห็นด้วย อย่างไรเสียผู้คนก็มักเข้าข้างฝั่งผู้อ่อนแอ แต่หมัดของอู๋ซื่อไม่สามารถหยุดบ้านใหญ่ เพราะถือว่าเป็ผู้าุโ และผู้าุโต้องได้รับความกตัญญูจากบ้านสอง
แต่อู๋ซื่อเป็คนร่างใหญ่เมื่อเทียบกับหลินฟู่อิน เป็ผลให้คนรอบข้างเริ่มสงสารหลินฟู่อินขึ้นมาทันที
ลูกหลานนั้นห้ามอกตัญญูก็จริง แต่ผู้าุโเองก็ต้องห้ามแล้งน้ำใจด้วยเช่นกัน!
เมื่อฟู่อินเห็นว่าหมัดพุ่งมาแล้ว นางจึงใช้ร่างเล็กๆ หลบหมัดท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของเหล่าชาวบ้าน
อู๋ซื่อตกตะลึง ฟู่อินจึงใช้โอกาสอันน้อยนิดถอยหลังเพื่อสร้างระยะปลอดภัยจากตัวอู๋ซื่อ
สายตาทรงผลซิ่งพลันหรี่ลง แล้วปรายไปหาเหล่าชาวบ้านก่อนเริ่มกล่าว “บอกให้ข้าต้องรู้จักสำนึกบุญคุณท่านปู่ท่านย่าอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วข้าขอถามทุกคนหน่อย บ้านของข้าได้จ่ายค่าดูแลเพิ่มจากปกติอีกเดือนละหนึ่งตำลึงเงิน หนึ่งตำลึงเงินนี่มันก็มากพอที่ท่านปู่กับท่านย่าจะมีแป้งกินได้ทั้งเดือนแล้วใช่หรือไม่?”
“หนึ่งตำลึงเงินหรือ?” ใครบางคนส่งเสียงขึ้น
คนที่พอจะคำนวนเป็โพล่งขึ้นมา “แป้งขาวหนึ่งจิน [1] ราคาสองอีแปะครึ่ง หนึ่งตำลึงเงิน... หากมีหนึ่งตำลึงเงินก็จะซื้อได้มากถึงแปดสิบจินเลยนะ!”
“โห ถ้ามีมากขนาดนั้นก็เกินพอสำหรับผู้เฒ่าแล้ว!”
ใบหน้าเหี่ยวแห้งของอู๋ซื่อขาวซีดทันที
หลินฟู่อินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่แค่หนึ่งตำลึงเงิน เงินที่บ้านของข้าคือสองตำลึงเงิน ท่านลุงรองเองก็ต้องส่งทุกเดือนอีกสองตำลึงเงิน เท่านั้นก็เป็สี่ตำลึงเงินแล้ว!”
ทันทีที่ได้ยินคำของฟู่อิน สายตาของเหล่าชาวบ้านที่มองอู๋ซื่อก็เปลี่ยนไป
เดือนละสี่ตำลึงเงิน!
นี่บ้านหลินคิดจะสูบเืลูกชายคนรองกับคนเล็กจนตายหรือ!?
ลูกชายคนเล็กจนถึงตอนนี้ก็ยังหายไปในูเาไม่ได้กลับมา ฟู่อินผู้เป็ลูกสาวตั้งเงินรางวัลสำหรับตามหาแล้ว แต่จะกลับมาได้หรือเปล่ายังไม่มีใครรู้
สีหน้าของเหล่าผู้คนที่มองอู๋ซื่ออยู่เริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
หลินฟู่อินเห็นแล้วจึงยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปยังหลินต้าฉานแล้วกล่าว “เห็นท่านลุงรองกับคนในบ้านมีสภาพเช่นนี้แล้ว คิดว่ามันง่ายหรือที่จะต้องหาสองตำลึงเงินมาจ่ายทุกเดือน”
“พวกข้าน่ะ… แค่ข้าวสักเม็ดหรือก๋วยเตี๋ยวสักเส้นยังไม่มีเลยเ้าค่ะ…” เฟิงซื่อเข้าใจเป้าหมายของฟู่อินในทันที จึงกล่าวทั้งน้ำตา “หนูฟู่อินเป็ห่วงเื่การกินของพวกข้าที่เพิ่งแยกบ้านมา จึงนำเส้นก๋วยเตี๋ยวมาไว้ให้ทานยามฉุกเฉิน แต่พวกบ้านใหญ่กลับมาบอกว่าพวกข้าขโมยมันมา แล้วยังบอกว่าต่อให้พวกข้าผันตัวไปเป็ขโมยก็ไม่น่าแปลก! อา… นี่พยายามจะกดดันพวกข้าจนตายอย่างนั้นหรือ?”
“ป้ารอง อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย หากพวกท่านตายไปจริงๆ แล้วใครจะเป็คนช่วยดูแลท่านย่าและป้าใหญ่กัน?” หลินฟู่อินกล่าวประชดประชัน
ในตอนนี้พวกชาวบ้านที่มามุงกันอยู่ก็ได้เข้าใจกระจ่างชัดแล้ว ต่างพากันสาปส่งจ้าวซื่อและอู๋ซื่อผู้ใจดำกันอยู่ในใจ
“ย่าอู๋ จะทางไหนก็เป็ลูกหลาน แล้วทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนั้นกัน!” หญิงในชุดตัวยาวลายดอกไม้สีฟ้าวัยสี่สิบคนหนึ่งเอ่ย
“ตามนั้นเลย สะใภ้ใหญ่ของบ้านอู๋ พวกเ้าที่เป็บ้านใหญ่คิดจะให้บ้านสองกับบ้านเล็กมาช่วยดูแลจริงๆ หรือ!” ชายชราผมขาวคนหนึ่งหมดความอดทน กล่าวขึ้นมา
—---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จิน หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนักของจีน โดย 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้