โลงศพของเฉิงจือหย่วนถูกนำไปไว้ที่บ้านโลงศพแล้ว สัมภาระของที่บ้านก็ถูกลำเลียงมายังเรือนน้อยที่ตรอกหยางหลิ่วแล้วเช่นกัน ตั้งรกรากที่อำเภอหนานอี๋อย่างง่ายดายเช่นนี้เอง ทางบ้านเดิมนั้นก็ไม่กล้ามาก่อกวนชั่วคราว
เมื่อเฉิงชิงตัดสินใจแก้ไขปัญหาอันยุ่งยากเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังช่วยหาที่พักให้คนทั้งบ้านแทนนางที่ยังคงไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนดี ตามเหตุผลแล้ว นางหลิ่วควรพึงพอใจอย่างมาก
แต่นางหลิ่วกลับยังคงมีความสงสัยอยู่มากมาย
เหล่าพี่สาวของเฉิงชิงก็สับสน จนบุตรสาวคนโตทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากถาม
“น้องชาย ทำไมเ้าต้องรับเงินสองร้อยตำลึงเงินจากท่านอาสามมาด้วย? คนบ้านเดิมรังแกพวกเราเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ไม่้าความสงสารจากพวกเขาอีก!”
บุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของนางหลิ่ว แต่เป็บุตรสาวของภรรยาเก่าแซ่ฉีของเฉิงจือหย่วน
เมื่อปีนั้น เฉิงจือหย่วนและมารดาเลี้ยงตัดขาดกัน เขาให้คนในตระกูลช่วยออกหน้าเื่แยกบ้าน จากนั้นพาภรรยาแซ่ฉีที่เพิ่งแต่งเข้ามาไปจากอำเภอหนานอี๋ นางฉีคลอดยาก หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวคนโตแล้วก็ตายจากไป พอบุตรสาวคนโตเติบใหญ่ได้ประมาณหนึ่ง เฉิงจือหย่วนก็แต่งนางหลิ่วเป็ภรรยาคนที่สอง นางหลิ่วดูแลบุตรสาวคนโตจนอายุได้ขวบกว่าถึงได้ตั้งครรภ์ เพียงครั้งเดียวก็คลอดบุตรสาวคนที่สองและบุตรสาวคนที่สามออกมา
เฉิงชิงคือบุตรสาวคนที่สี่ของเฉิงจือหย่วน ั้แ่เล็กก็ถูกเลี้ยงดูเยี่ยงบุตรชาย เฉิงจือหย่วนไม่เพียงประกาศเช่นนี้แก่ภายนอก ภายในยังปิดบังกับบุตรสาวทั้งสามด้วย
เฉิงชิงได้นางหลิ่วเลี้ยงดูมากับมือั้แ่ยังเล็ก ความลับที่นางเป็ผู้หญิงมีเพียงนางหลิ่วและเฉิงจือหย่วนเท่านั้นที่รู้
เมื่อเฉิงจือหย่วนตายจากไป นางหลิ่วจึงเป็เพียงคนเดียวที่รู้เื่นี้
นางหลิ่วเก็บงำความลับนี้ไว้อย่างดี เกรงว่ายามนางหลิ่วตายไป นางก็คงไม่คิดที่จะบอกเพศที่แท้จริงให้บุตรสาวทั้งสามได้รับรู้ สตรีนั้นยามอยู่บ้านต้องเชื่อฟังบิดา ยามออกเรือนไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี ยามสิ้นสามีแล้วก็ต้องเชื่อฟังบุตรชาย เฉิงชิงนับว่าเป็บุตรชายกำมะลอคนหนึ่ง ถึงกระนั้นก็เป็ที่พึ่งให้นางหลิ่ว เป็ที่พึ่งให้เหล่าพี่สาว!
บุตรสาวคนโตยกข้อนี้มาพูดดียิ่งนัก นางเองก็ไม่คิดว่าเฉิงชิงจะรับเงินของเฉิงจือซู่ แต่ไม่อาจสอบถามเฉิงชิงต่อหน้าผู้คน ทำได้เพียงทนไว้จนถึงบ้านแล้วค่อยเอ่ยถาม
เฉิงชิงก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อบุตรสาวคนโตแบบขอไปที นางคิดว่าครั้งนี้น่าจะเป็การช่วยปรับทัศนคติเื่เงินของพี่สาวคนโตผู้นี้ได้
เด็กน้อยเอ๋ย อย่าได้รังเกียจเงินเหม็นโฉ่โสมมเชียว รอให้หลังจากถูกสังคมทำร้ายแล้วถึงจะรู้ว่า ปากของชายหนุ่มนั้นหลอกลวงคนได้ แต่เงินที่ส่องประกายแวววาวไม่มีทางที่จะทรยศเ้าของ
“พี่ใหญ่ ทำไมข้าถึงไม่ควรเอาเงินจากท่านอาสามเล่า?”
บุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงเอ่ยอย่างร้อนรน “ใน่ที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับบ้านเดิม น้องชาย เ้าทำแบบนี้จะไม่เป็การทำให้บ้านเดิมดูถูกพวกเราหรอกหรือ!”
เฉิงชิงหัวเราะ แล้วหันไปถามนางหลิ่ว “ท่านแม่ หากไม่มีเงินสี่ร้อยตำลึงเงินที่ร่วงหล่นมาจากฟ้า[1] ภายในบ้านจะเหลือเงินอยู่เท่าไรขอรับ?”
นางหลิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ถือกล่องเงินใบเล็กออกมา
“บิดาเ้าจากไปกะทันหัน เดิมมีเงินอยู่แปดร้อยกว่าตำลึงเงิน ซื้อโลงศพให้เขาไปจำนวนหนึ่ง จ่ายค่าเลิกจ้างคนรับใช้ไปจำนวนหนึ่ง ยังมีค่าหมอค่ายาของเ้า ระหว่างทางสามเดือนมานี้ยังมีค่าจ้างคนคุ้มกัน จนถึงตอนนี้… ภายในกล่องนี้มีเพียงหกสิบสามตำลึงเงินกับหนึ่งก้วนเหรียญทองแดง”
หนึ่งก้วนเหรียญทองแดงเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน ตระกูลเฉิงทั้งบ้านมีเงินอยู่เพียงหกสิบสี่ตำลึงเงินเท่านั้น
เฉิงจือหย่วนจะดีจะเลวอย่างไรก็เป็คนที่รับราชการมาสิบกว่าปี มีคำกล่าวว่า ‘เป็เ้าเมืองมือสะอาดสามปี หิมะก็ตกเป็หนึ่งแสนตำลึงเงิน[2]’ เฉิงจือหย่วนแม้ไม่ได้เป็ถึงเ้าเมือง แต่ก็เป็นายอำเภออยู่สามปี ทั้งบ้านกลับมีเงินเพียงแปดร้อยกว่าตำลึงเงิน พาคนในครอบครัวพักอยู่ที่จวนข้าราชการมาโดยตลอด นอกนั้นก็ไม่ได้ซื้อบ้านเรือนหรือที่นาที่ไหนอีก… นับเป็ที่มาที่เฉิงชิงเชื่อมั่นว่าตนเองจะสามารถพลิกคดีเพื่อเฉิงจือหย่วนได้
หากเฉิงจือหย่วนเกี่ยวข้องกับคดียักยอกเงินบรรเทาผู้ประสบภัยพิบัติ จนต้องฆ่าตัวตายหนีความผิด แล้วไหนล่ะเงินที่เขายักยอก?
ในเมื่อข้าหลวงใหญ่พลิกหาทั้งที่ว่าการอำเภอแล้วก็ยังไม่พบสมุดบัญชี ไม่พบเงินจำนวนมากเ่าั้ เฉิงจือหย่วนก็เป็เพียงนายอำเภอยากจนคนหนึ่ง!
พอนางหลิ่วบอกเล่าสถานภาพทางการเงิน บุตรสาวคนโตก็นิ่งอึ้งไป
แค่เพียงที่พวกนางอยู่กันไม่กี่ห้องในตอนนี้ ปีหนึ่งยังต้องจ่ายค่าเช่าสิบห้าตำลึงเงิน อีกทั้งภายในบ้านยังเหลือเงินเพียงหกสิบสี่ตำลึง ใช้ได้ไม่นานจริงๆ
บุตรสาวคนโตกัดฟันเอ่ย “ท่านแม่ น้องชาย ในเมื่อยามนี้บ้านเราตกต่ำ ก็ไม่จำเป็ต้องพูดถึงการรักษาภาพพจน์ในฐานะบุตรีของนายอำเภออีก ข้ายังพอมีเครื่องประดับศีรษะและเสื้อผ้า เอาไปที่โรงรับจำนำยังพอมีค่าอยู่สี่ห้าร้อยตำลึง”
ใช้เงินที่ได้จากการนำเสื้อผ้าและเครื่องประดับไปจำนำ ดีกว่ายอมไปก้มหัวให้บ้านเดิม
นิสัยใจคอของบุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงเหมือนกับเฉิงจือหย่วนไม่มีผิดเพี้ยน
การตัดสินใจของนางส่งผลกระทบต่อบุตรสาวคนที่สองและสาม พี่น้องคู่นี้ก็โวยวายจะเอาสิ่งของไปโรงรับจำนำ แม้พวกนางจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนพี่สาวคนโต เสื้อผ้าเครื่องประดับของพี่สาวคนโตเกินกว่าครึ่งมาจากเงินช่วยเหลือครอบครัว อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆ ของบุตรสาวคนที่สองและสาม พอรวมกันแล้วก็น่าจะได้ประมาณสามสี่ร้อยตำลึง
เห็นบุตรสาวทั้งสามร้อนใจ นางก็พลอยหวั่นไหวไปด้วย มองเฉิงชิงตาปริบๆ คิดจะนำเอาของส่วนตัวของตนเองไปโรงรับจำนำด้วย
เฉิงชิงจะพูดอะไรได้?
ซาบซึ้งก็ส่วนซาบซึ้ง แต่ก็ปวดหัวด้วยเช่นกัน
นางได้แต่เพียงฝืนยิ้ม
“พี่ใหญ่ ต่อให้ข้าจะไม่มีอนาคตอันสดใสแค่ไหน ก็ไม่สามารถทนดูพวกท่านไม่มีแม้แต่ปิ่นจะปักผม ไร้เสื้อผ้าจะสวมใส่ได้หรอกนะ สิ่งที่สตรีบ้านอื่นมี จะช้าเร็วอย่างไรข้าก็ต้องหามาให้พวกท่านมากกว่าให้ได้! ข้าให้ท่านแม่บอกเกี่ยวกับเงินที่ยังเหลืออยู่ในบ้านให้พวกพี่ฟัง ก็เพราะ้าที่จะเตือนสติพวกพี่ว่าเงินนั้นเป็ของดี ถึงพวกเราจะมีเื่กับบ้านเดิม แต่อย่าได้ไปมีเื่กับเงินของบ้านเดิมเลย”
บุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงอยากจะโต้แย้ง แต่เฉิงชิงไม่เปิดโอกาสให้นางได้เอ่ยปาก
“แยกบ้านในปีนั้น ท่านพ่อไม่รับเงินสักแดงเดียว ยกทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมดมอบให้ท่านย่าเลี้ยงจู คนเขาซาบซึ้งท่านพ่อหรือ? ก็ไม่ พวกเขาเพียงหัวเราะเยาะลับหลัง หาว่าท่านพ่อนั้นโง่ พี่ใหญ่ ท่านดูเครื่องแต่งกายของท่านอาสามวันนี้สิ ที่เอวห้อยหยกมันแพะชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็มีค่าราวแปดเก้าสิบตำลึงเงิน หยกประดับชิ้นเดียวมีค่ามากกว่าเงินของพวกเราทั้งบ้านในตอนนี้อีกนะ นั่นก็เป็เพราะปีนั้นท่านพ่อสละสิทธิ์ในสมบัติตระกูลอย่างไรล่ะ!”
นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามนิ่งอึ้งกันไปตามๆ กัน
พวกนางไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนเลย เพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของเฉิงจือหย่วนเท่านั้น คนบ้านเดิมกินดีอยู่ดี มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ทั้งๆ ที่เป็ลูกหลานบ้านรองเหมือนกันแท้ๆ พวกนางกลับตกต่ำจนถึงขนาดต้องเอาของไปจำนำเพื่อมีชีวิตรอดไปวันๆ เมื่อนำทั้งสองฝั่งมาเทียบกันแล้วพลันรู้สึกเ็ปใจ
บุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “น้องชาย เ้า้าจะเรียกร้องทวงคืนสมบัติตระกูลจากบ้านเดิมหรือ?”
ถึงแม้จะไม่ยุติธรรม แต่เพราะปีนั้นบิดาได้สละสิทธิ์ไปแล้ว ตอนนี้จะไปเรียกร้องทวงคืนกลับคืนมา บุตรสาวคนโตก็ยังรู้สึกว่าโอกาสชนะมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ พวกนางจะเอาอะไรไปเรียกร้องทวงคืนสมบัติตระกูลจากบ้านเดิมเล่า ยามมีชีวิตอยู่ บิดาก็เป็แค่นายอำเภอขั้นเจ็ด ลูกชายของท่านย่าเลี้ยงเฉิงจือซวี่เป็ขุนนางอยู่ต่างถิ่น ตอนนี้รั้งตำแหน่งผู้ว่าการเขตพิเศษขั้นห้าครึ่งขั้น เพียงแค่ยื่นมือมาก็ทำให้พวกนางตายกันทั้งบ้านได้แล้ว
เฉิงชิงพยักหน้า
“เรียกร้องทวงคืนสมบัติของตระกูลนั้นไม่จำเป็แล้ว เพราะนั่นเป็การรนหาที่ตาย ข้าเพียงแค่อยากจะพูดว่าเงินของบ้านเดิมนี้ พวกเราสามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ นั่นไม่ใช่เงินที่ท่านย่าเลี้ยงนำติดตัวมาจากบ้านเดิมของนาง แต่เป็เงินที่บรรพบุรุษบ้านรองเก็บสะสมต่อกันมาอย่างยากลำบาก!”
ถ้าไม่ใช้จ่ายก็นับว่าเสียเปล่า สองร้อยตำลึงเงินนับเป็อะไรได้ ความจริงแล้วเฉิงชิงก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แต่ไม่ว่าจะพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้นำตระกูลก็ดี หรือเพราะทางนั้น้ากู้หน้าให้ตัวเองดูดีจึงมอบเงินมาเล็กน้อยก็ดี หรือการให้นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามเอาเสื้อผ้าเครื่องประดับไปจำนำ วิธีนั่งกินนอนกินบุญเก่าเหล่านี้ล้วนไม่ควรทำ นางได้วางแผนอื่นสำหรับอนาคตของตนเองไว้แล้ว
นางหลิ่วกล่าวอย่างทุกข์ใจ “รับเงินจากบ้านเดิมมาแล้ว พวกนั้นก็มีข้ออ้างในการจะหาเื่พวกเราแล้ว”
ใบหน้าเฉิงชิงเรียบนิ่งดุจสายน้ำ
“ท่านแม่ ท่านคิดผิดแล้ว จะรับหรือไม่รับ พวกเขาก็มาหาเื่ได้อยู่ดี พวกเราทำได้แค่เพียงเตรียมรับมือเท่านั้น ไม่ใช่เป็เต่าหดหัวอยู่ในกระดอง!”
นับประสาอะไรกับเงินสองร้อยตำลึงเงิน บางทีเงินนี้อาจจะมีประโยชน์อื่นก็เป็ได้
[1] ร่วงหล่นมาจากฟ้า หมายถึงได้มาอย่างไม่คาดคิด
[2] เป็เ้าเมืองมือสะอาดสามปี หิมะก็ตกเป็หนึ่งแสนตำลึงเงิน หมายถึงคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์ขาวสะอาดขนาดไหน แต่เื้ัก็ต้องมีการรับส่วยบ้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้