ฉีซีมองใบหน้าของตนในกระจก รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หลังจากผ่านพ้นความเ็ปที่ทำให้เหงื่อเย็นไหลไปทั่วทั้งตัว ภาพลักษณ์ยับเยินเปื้อนน้ำตาไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
บางทีอาจเป็เพราะคำสั่งของซีอ๋อง เหล่าสาวใช้จึงนำเอาผ้าพันแผลและยาสมานแผลมาทาที่ฝ่าเท้าของนาง สาวใช้เหล่านี้ไม่ได้นวดคลึงเช่นเดียวกับซีอ๋อง ฉีซีหมดเรี่ยวแรงจึงไม่สามารถขยับเขยื้อน เพียงครู่เดียวแผลก็พันเสร็จเรียบร้อย นางยืนนิ่งให้เหล่าสาวใช้หวีผมเป็มวยคล้อย ประดับปิ่นเงินฝังอัญมณีรูปดอกไม้ จากนั้นปล่อยให้พวกนางประคองพาไปยังห้องโถงด้านข้าง
โถงด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยสองตัว ที่นั่งสำหรับแขกอยู่ต่ำกว่าสามขั้นและอยู่ทางขวาของที่นั่งหลัก ฉีซีรู้สึกประหลาดใจกับการจัดวางตำแหน่ง เขาจะทานอาหารเย็นกับนางหรือ?
นางไม่เข้าใจระบบของต้าจิ้ง ทว่านางรู้เกี่ยวกับความแตกต่างทางชนชั้น
เพียงไม่รู้ว่าสำหรับซีอ๋องแล้ว นางจัดเป็สตรีในลานหลังจวนของเขา หรือเป็แขก?
ทว่าสิ่งที่แน่นอนก็คือซีอ๋องไม่คิดว่านางเป็ข้ารับใช้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะหรือได้ทานอาหารกับเขาเป็อันขาด อย่างไรก็ตามธรรมเนียมของหยวนฉี นอกจากฮองเฮาและสนมเอกทั้งสี่แล้ว คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมโต๊ะกับฮ่องเต้ มื้อกลางวันอาจเป็เื่บังเอิญ ทว่าเหตุใดนางจึงได้กินมื้อเย็นกับเขาอีกล่ะ?
ซีอ๋องวางแผนจะจัดการนางอย่างนั้นหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรฉีซีก็ไม่อยากเจอเขา เขาน่ากลัวกว่าเื่ที่เกิดในหอนางโลมเสียอีก
นางรู้ดีว่าวิธีปฏิเสธการร่วมหลับนอนกับเขานั้นรุนแรงเกินไปและทำให้เขาโกรธ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกับนาง ใจลอยคว้างไร้จุดหมาย เสมือนใบไม้ปลิวล่องลอยไปตามสายน้ำ เต็มไปด้วยความกังวลและหวาดระแวง
ไม่รู้ว่ารอมานานแค่ไหน นางจึงเริ่มคิดว่าซีอ๋องจงใจลงโทษให้นางนั่งรออาหารเย็นที่ไม่มีวันมาถึงหรือเปล่า แต่แล้วซีอ๋องพร้อมกับข้าหลวงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในตำหนัก
โม่ซีอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผมอย่างประณีตและพิถีพิถัน สวมเสื้อคลุมสีเหลืองห่านปักลายพระจันทร์เสี้ยว ลายเมฆขาวและนกกระสาเหลือง ยามเดินดูเหมือนนกกระสาเหลืองกำลังกางปีกโบยบินอยู่เหนือเมฆหมอก
ทิวทัศน์ตรงหน้างดงามอย่างยิ่ง ทว่าฉีซีไม่สามารถสงบใจลงได้
นางทานมื้อค่ำอย่างเหม่อลอย และไม่รู้รสชาติอาหาร
ไม่รู้ว่าโม่ซีกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะทรมานนางอีกหรือไม่ ฉีซีเป็กังวล
ขณะที่สาวใช้กำลังเปลี่ยนชามซุปให้ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาและสบกับสายตาเ็าของเขา นางตื่นตระหนกมากจนเผลอทำช้อนซุปในมือหล่น
น้ำซุปกระเด็นเปื้อนบริเวณหน้าอกของนาง นางรีบลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ทว่ากลับโดนกระแทกแผลที่แขนอีกครั้ง นางเ็ปจนร้องโอดโอย และนอนลงบนเสื่อไม่สามารถนั่งตัวตรงได้สักพัก
เมื่อโม่ซีเห็นจึงลุกขึ้น เดินไปหานางและประคองให้ลุกขึ้น
เขาหยิบถุงผ้าออกจากแขนเสื้อ หยิบขวดกระเบื้องออกมา และยื่นยาหอมไปที่ริมฝีปากของนาง
"กินเสียสิ"
ยาหอมมีกลิ่นดอกไม้ที่คุ้นเคย ฉีซีรู้ว่าเป็ยาแก้ปวด ทว่ากลับตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของยา
นางกินยาเม็ดนี้ไปสองครั้งตอนที่กำลังจะหมดสติ จึงไม่รู้ว่ายาออกฤทธิ์อย่างไร ทว่านางกลัวมากว่ายาเม็ดนี้จะออกฤทธิ์เหมือนผงหม่าเฟ่ยทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้ นางจึงลังเลและเม้มริมฝีปากแน่น
เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมกินยา โม่ซีก็ขมวดคิ้ว หรี่ตาลงและเอ่ยเสียงต่ำ "เหตุใดจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้? ยอมเ็ปจนหมดสติมากกว่าร่วมหลับนอนกันอย่างนั้นหรือ? ยอมพิการมากกว่ายอมรับความเมตตาอย่างนั้นหรือ?"
น้ำเสียงของเขาเ็าปนด้วยความโกรธ ฉีซีไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไรจึงเบือนหน้าหนี โม่ซีตบโต๊ะและลุกออกไป โดยไม่ทานซุปหรือของหวานต่อ
เขาโกรธหรือ? เบื่อหน่ายกับความโง่เขลาของนางหรือ? ไม่พอใจกับอารมณ์ฉุนเฉียวของนางหรือ?
เหตุใดจึงไม่คิดบ้างว่าผู้ใดบังคับนาง? ไม่ว่าจะโกรธหรือรังเกียจก็คงไม่อยากหลับนอนกับนางแล้วใช่ไหม?
ฉีซีไม่กลัวสิ่งใดนอกจากเขาจะปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายหรือฆ่านาง นางรักตัวกลัวตาย และหวังจะได้ทำตามคำสั่งเสียของเสด็จแม่จึงไม่สามารถตายที่นี่ได้
แม้ว่าาแที่มือจะเ็ปจนน้ำตาไหล ทว่านางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเขาจากไป นางแอบมีความสุขในใจและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก
โม่ซีหันกลับมาเพื่อสั่งการเื่ที่พักพิงสำหรับคืนนี้ เมื่อเห็นนางน้ำตาคลอ เม้มริมฝีปากดูท่าทางน่าสงสาร ทว่ากลับทำให้คนอยากอบรมสั่งสอน ความปรารถนาที่จะเอาชนะทำให้เขาอยากหันหลังกลับและพานางกลับไปทรมานที่ตำหนัก
ในเวลานี้ จูมามาเข้ามาหาและกระซิบ "ท่านอ๋อง แม่ทัพมู่มาขอเข้าพบ"
โม่ซีทำได้เพียงชำเลืองมองฉีซีด้วยสีหน้าอึดอัด และสั่งสาวใช้อย่างเ็า "พาแม่นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า" จากนั้นจึงเดินจากไป
ฉีซีมองเขาเดินจากไปและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พอกลับมาได้สติก็เห็นยาหอมและขวดกระเบื้องวางอยู่บนโต๊ะ นางกอดอกแล้วครุ่นคิดว่าควรกินดีหรือไม่?
ทว่าสาวใช้ก็ขัดจังหวะความคิดของนางแล้วพูดว่า "แม่นาง กลับตำหนักไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด"
ฉีซีมองไปที่ยาหอมบนโต๊ะ กัดริมฝีปากแล้วยื่นมือออกไปหยิบยาหอม กลืนลงคอพร้อมกับซุปรังนกรากบัวหวานแล้ว จากนั้นจึงตามสาวใช้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนัก
บางทีมันอาจจะเป็เพราะฤทธิ์ยาหรืออาจจะเป็กลิ่นหอมของธูปไม้สนในตำหนัก ในตอนแรกฉีซียังคงไม่สบายใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปและซีอ๋องก็ยังกลับมาที่ตำหนัก นางจึงค่อยๆ สงบลง ท้ายที่สุดนางก็รู้สึกง่วง เอนกายลงบนตั่งนุ่มและหลับตาลง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเอะใจและรีบเอื้อมมือไปบีบแผล แน่นอนว่ามันไม่เจ็บแล้ว คงเป็เพราะฤทธิ์ยาแก้ปวด ทว่าหากนางเผลอหลับไป คงจะไร้ซึ่งการป้องกันและถูกซีอ๋องจัดการได้อย่างง่ายดายใช่ไหม?
นางรีบลงจากตั่งนุ่ม กอดอกเดินวนไปวนมาในตำหนักเพราะกลัวว่าตนจะผล็อยหลับไป
นางฝืนทนกับอาการาเ็ที่เท้าและเดินต่อไปแม้จะรู้สึกเ็ป ทว่าก็ไม่กล้าหยุด ยิ่งเดินนาน ร่างกายของนางก็ยิ่งร้อนขึ้นอย่างประหลาด นางจึงหยุดพัก โน้มตัวและพัดให้ตัวเองเย็นลง ทำซ้ำท่าเดิมอยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลา ยามห้าย นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน
นางก้มศีรษะเดินวนไปมา ทันใดนั้นดวงตาก็เหลือบไปเห็นรองเท้าที่คุ้นเคย
“เ้ากำลังทำอะไร?” โม่ซียืนขวางหน้านางและเอ่ยถามอย่างสงสัย
หลังจากหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหารกับรองแม่ทัพแล้ว เขาก็กลับมาที่ตำหนักและเห็นฉีซี สวมเพียงเสื้อชั้นในบางๆ ส่ายศีรษะและเดินวนไปมาในตำหนัก ความไม่พอใจเดิมที่มีต่อนางหายไป เหลือเพียงความสนุกสนาน
ฉีซีจ้องเขา ถอยหลังไปหลายก้าว และสะดุดล้มหงายหลัง โม่ซีคว้าเอวของนางไว้และดึงนางเข้าสู่อ้อม
“โอ๊ย” ฉีซีอุทาน เพราะโดนาแที่แขนของนาง
“ยังเจ็บแผลอยู่หรือ?” โม่ซีขมวดคิ้วและดึงมือนางมาตรวจสอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีรอยเืจึงกล่าวว่า “เ้าสมควรได้รับความเ็ปแล้ว ผู้ใดใช้ให้เ้าฉีกแผลตัวเองกัน?”
“ผู้ใดใช้ให้ท่านปฏิบัติต่อต่อข้าเช่นนี้กันล่ะ?” นางเอ่ยถามโดยเลียนแบบน้ำเสียงของโม่ซี
โม่ซีอึ้งไปชั่วครู่
นางหมายถึงเื่ไหน?
เขาขมวดคิ้วด้วยท่าทางเ็า ทว่านางกลับไม่หวาดกลัวและตอบอย่างมั่นใจว่า "...นอกจากฝูงหมูในหอนางโลมแล้ว ท่านก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างเลวร้ายที่สุด... การขูดกระดูกเพื่อรักษาาแอะไรนั่น หากพวกท่านคิดว่าตนเองวีรบุรุษก็อดทนเอาเองสิ เหตุใดจึงไม่ให้ข้าใช้ผงหม่าเฟยด้วย?”
ในตอนท้ายของประโยค นางรู้สึกอึดอัดใจมาก น้ำตาคลอเบ้าและเอ่ยถามเสียงสะอื้นว่า "ข้าเพียงกลัวว่าท่านจะหลับนอนกับข้าเท่านั้นเอง เหตุใดต้องรังแกข้าด้วย──"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้