เสี่ยวหมี่เริ่มร่ายรายการทั้งผ้าไหม ด้ายปัก รวมทั้งสีระบายแบบภาพก็ยังต้องซื้อหา
ในเมื่อคิดจะทำธุรกิจให้ใหญ่โตก็จำต้องควบคุมคุณภาพ ให้คู่ควรที่ผู้อื่นจะเต็มใจซื้อหาในราคาสูง
เื่ที่น่ากังวลอีกอย่างคือ โลกนี้ไม่เหมือนโลกยุคปัจจุบันที่พวกสาวๆ ไปซื้อหาเสื้อผ้าอาภรณ์กันตามร้านต่างๆ ผู้หญิงสมัยนี้เย็บผ้าทำชุดด้วยตัวเองเป็ส่วนใหญ่ ขอแค่ขายได้ราคาดี ไม่นานก็จะมีคนทำเลียนแบบ
จะให้ดีจำเป็ต้องคิดทำโลโก้ที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้
แต่ควรปักเป็โลโก้แบบไหนดี...
เสี่ยวหมี่นั่งขบคิดอยู่ในห้อง จมอยู่กับความคิดของตนเอง ทุกคนคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้ของนางแล้วจึงไม่ไปรบกวนนาง พวกเขายิ้มแย้มสนทนากันและทำงานในมือต่อ
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะคว้ามือของกุ้ยจือเอ๋อร์ “พี่สะใภ้ งานฝีมือของท่านยอดเยี่ยมนัก ท่านสามารถเย็บลวดลายพิเศษอะไรได้หรือไม่ ลวดลายแบบที่ในแคว้นต้าหยวนนี้มีเพียงท่านคนเดียวที่ทำได้ ให้มันซับซ้อนอย่างที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้”
ทีแรกกุ้ยจือเอ๋อร์ใมาก แต่เมื่อได้ยินประโยคคำถามจากนางก็เอ่ยว่า “ท่านย่าของข้าเป็คนจากทางใต้ ตอนหลังเพราะอุทกภัยถึงได้หนีมาแล้วแต่งให้ท่านปู่ข้า ตอนเด็กๆ ข้าเคยเรียนวิธีปักผ้าแบบหนึ่งมาจากท่านย่า ท่านย่าบอกว่านางคิดของนางขึ้นมาเอง ลองเย็บผ้าเช็ดหน้าส่งไปขายที่ร้านผ้า เถ้าแก่ที่นั่นบอกว่าน่าเกลียดไม่ยอมรับ ตอนหลังจึงถ่ายทอดให้ข้าคนเดียว แต่มันก็น่าเกลียดจริงๆ”
“น่าเกลียดไม่เป็ไร ข้าแค่กลัวว่าจะมีคนเลียนแบบได้”
เมื่อครู่เสี่ยวหมี่เอ่ยถามเพราะว่ากุ้ยจือเอ๋อร์เป็คนที่มีฝีมือเย็บปักดีที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะเจอสมบัติล้ำค่าเข้าจริงๆ นางจึงลองให้กุ้ยจือเอ๋อร์เย็บออกมาให้ดู
เป็จริงดังที่กุ้ยจือเอ๋อร์ว่า เป็วิธีการปักโดยใช้ด้ายปักซ้อนๆ เข้าด้วยกันจนด้ายแต่ละเส้นชี้ขึ้นมาเป็ตัวอักษรหนึ่งตัว ดูเอียงๆ ไม่เรียบร้อย ไม่นับว่างดงามจริงๆ
แต่เสี่ยวหมี่ลองคิดดูแล้วเมื่อเอามารวมกับกระต่ายน้อยปี่เต๋อของนางซึ่งมีรูปลักษณ์เป็สัตว์นามธรรมที่ไม่มีอยู่จริง ก็นับว่าส่งเสริมกันและกันได้ดี นางจึงกล่าวว่า “พี่สะใภ้ วันหน้าท่านก็ช่วยทำงานปักนี้ให้ข้าเถอะ ข้าจะไม่เอาเปรียบท่านแน่นอน แต่ท่านต้องรับรองกับข้าว่างานปักนี้ท่านจะทำให้ข้าคนเดียว ห้ามสอนวิธีการปักนี้ให้คนอื่น”
จู่ๆ กุ้ยจือเอ๋อร์ก็ถูกให้ความสำคัญเช่นนี้ จึงใจนรับคำไม่ถูก กลับเป็ท่านป้าหลิวที่อยู่ข้างๆ ะโขึ้นมาว่า “เสี่ยวหมี่วางใจ ในเมื่อวิธีการปักเช่นนี้เ้าใช้ประโยชน์จากมันได้ ทั้งยังให้ค่าจ้างอีก การปักนี้ย่อมต้องเป็ของเ้าคนเดียว ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะเลียนแบบ มีข้าอยู่อย่ากลัวไปเลย”
“ได้ ข้าเชื่อท่านป้าและพี่สะใภ้”
เป็คนชั่วก่อนค่อยเป็สุภาพบุรุษ เมื่อตกลงเื่ค่าแรงกันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เริ่มลงมือทำงาน คืนนี้ทำตุ๊กตาออกมาได้สิบกว่าตัว สีน้ำตาลห้าตัว สีขาวห้าตัว และสีขาวสลับดำสามตัว
ท่านป้าหลิวเห็นว่าเสี่ยวหมี่ไม่ได้เตรียมฝ้ายไว้จึงถามขึ้นว่า “เสี่ยวหมี่ ไม่มีฝ้ายแล้วหรือ ที่บ้านข้ายังมีฝ้ายใหม่ๆ อยู่อีกสองสามจิน ไม่สู้เอามาใช้ก่อนเล่า”
“ไม่ต้อง ท่านป้า หากยัดฝ้ายเข้าไปในกระต่าย เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเสียรูปร่าง ไม่สู้ใส่ขนเป็ดขนไก่ เวลากอดยังอุ่นมากอีกด้วย”
เสี่ยวหมี่คิดไว้ดีแล้ว นางให้เงินสองตำลึงกับท่านป้าหลิว “วันพรุ่งนี้รบกวนพวกพี่เสี่ยวเตาลองไปตามหมู่บ้านอื่นๆ เอาเงินพวกนี้ไปแลกขนเป็ดขนไก่มาสักสิบจินก็พอ เงินที่เหลือก็ให้เป็ค่าแรงของพวกพี่ๆ เ้าค่ะ”
ขนสัตว์พวกนี้เป็เพราะก่อนหน้านี้ลู่เสี่ยวหมี่เอามาใส่ในเสื้อกันหนาวให้พวกเฝิงเจี่ยนและบิดากับพี่ชายของนาง ทุกคนถึงได้รู้ว่ามันเป็ของดี ตอนนั้นไม่รู้เพราะเหตุใดไม่มีใครเล่าลือออกไป
หากว่าเสี่ยวเตาพาคนอื่นๆ ไปกว้านซื้อที่หมู่บ้านอื่น อย่าว่าแต่หนึ่งจินสองร้อยอีแปะเลย ต่อให้ซื้อสักยี่สิบอีแปะก็ยังมีคนขาย ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร นี่คือการค้าที่ได้กำไรเต็มๆ
ท่านป้าหลิวย่อมไม่อยากเอาเปรียบนาง จึงรีบปฏิเสธ “ไม่ได้ แค่ออกแรงวิ่งไปหาซื้อเท่านั้น จะรับค่าแรงขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ท่านป้า ท่านก็รับไว้เถอะ ท่านเองก็รู้ว่าพี่รองของข้าติดเล่นเกินไป เื่เช่นนี้ข้าไม่กล้ามอบให้เขาไปทำ จึงต้องลำบากพวกพี่เสี่ยวเตาให้ต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว หากว่าท่านป้าสงสารข้า ก็ช่วยข้าล้างขนพวกนั้นให้สะอาดก็แล้วกันเ้าค่ะ เพราะบ้านข้าก็ไม่มีใครคอยช่วย”
“ได้ เื่เล็ก ข้ารับรองว่าจะล้างให้สะอาดเอี่ยม”
ทุกคนสนทนากันต่ออีกนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าพระจันทร์ลอยสูงแล้ว จึงพากันกล่าวลา
แน่นอนว่าหนังสัตว์และวัสดุทั้งหลายทิ้งไว้ที่บ้านเสี่ยวหมี่ วันหน้าทุกคนจะมารวมตัวกันทุกคืน เพราะหากนำกลับไปกลับมาค่อนข้างจะวุ่นวาย
เมื่อพวกผู้หญิงกลับไปถึงบ้านก็ถูกซักถามไม่หยุด
ครั้นได้ยินว่าเสี่ยวหมี่ให้ค่าแรงสูงขนาดนี้แลกกับการทำงานเย็บปักให้เท่านั้น พวกผู้ใหญ่ก็ทำเป็พูดว่าสิ้นเปลืองยิ่งนัก แต่ในใจคิดอยากจะเข้าร่วมด้วยใจจะขาด
ส่วนในใจของสะใภ้ทั้งหลายก็ไม่อยากให้แม่สามีของตัวเองตามไปที่บ้านสกุลลู่ด้วย เพราะอย่างไรเสียวันทั้งวันก็มีแค่เวลาสองชั่วยามนั้นที่พวกนางพอจะได้พักผ่อนบ้าง
อีกอย่างเสี่ยวหมี่ยังบอกไว้แล้วว่า หากว่าตุ๊กตาพวกนี้ขายได้ราคาดี ยังจะให้ของขวัญขอบคุณแก่พวกนางด้วย ค่าแรงที่ได้เมื่อมอบเป็กองกลางให้ครอบครัวแล้วยังจะเหลือเก็บส่วนตัวได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว
หากว่าแม่สามีตามไปด้วย ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของแม่สามี คงไม่เหลืออิสระอะไรแล้ว
พวกนางจึงแต่งเสริมเติมแต่งเื่มาตรฐานของเสี่ยวหมี่ พวกแม่สามีจึงยอมยกธงยอมแพ้ พวกนางอายุเยอะแล้ว ฝีมือเย็บปักย่อมไม่ดีเท่าสาวๆ หากต้องเสียค่าปรับพวกนางคงเสียหน้าไม่น้อย
ไม่สนใจบทสนทนาของคนบ้านอื่น เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเสี่ยวหมี่ทานอาหารเสร็จแล้วก็ลากพี่รองของนางเข้าเมืองไปซื้อของ รอจนเฝิงเจี่ยนนายบ่าวได้ข่าว สองพี่น้องก็เข้าเมืองไปเสียแล้ว เกาเหรินกระทืบเท้าไม่พอใจ หาว่าเสี่ยวหมี่ไม่มีน้ำใจ ไม่พาเขาเข้าเมืองด้วย เขาไม่ได้กินไก่ย่างที่ประตูเมืองทิศใต้ กำลังอยากกินอยู่พอดี
ส่วนผู้เฒ่าหยางนั้นสาดสายตามองสีหน้าดำคล้ำของเ้านายไปทีหนึ่ง ก่อนจะรีบเข้าไปหยุดเกาเหรินไม่ให้แผลงฤทธิ์
ยังดีที่เสี่ยวหมี่มีภาระที่บ้านหลายอย่าง พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่ถึงจุดสูงสุดนางก็กลับมาแล้ว
อาจเพราะแม้จะอยู่ห่างกันหลายลี้ นางก็ยังรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเกาเหริน นางจึงนำไก่ย่างที่ประตูเมืองทางทิศใต้มาฝากเขาด้วย ลู่อู่ที่เหนื่อยมาทั้งเช้ายังไม่ทันได้เอาของลงจากรถก็เริ่มแย่งไก่กับเกาเหริน สกุลลู่จึงครื้นเครงขึ้นมา
เฝิงเจี่ยนกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ข้างหน้าต่าง ครั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงผลักหน้าต่างเปิดออกไป
เสี่ยวหมี่ถือห่อผ้าสองห่อที่ด้านในมีผ้าไหมอยู่เต็ม นางแย้มยิ้มราวบุปผา รอยยิ้มนั้นสะท้อนเข้าสู่สายตาของเขา และสะท้อนไปถึงหัวใจเขาอีกครั้ง
เื่บางเื่ก็เป็เช่นนี้ ยิ่งคิดอยากจะหนี ก็เหมือนจะยิ่งเด่นชัดอยู่ในจิตใจ กลับกันบางครั้งหากอยู่ใกล้ชิด อาจจะยิ่งรู้สึกห่างเหินก็เป็ได้
เขาเงียบขรึมอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำเช่นไรกับแม่นางที่เฉลียวฉลาดสดใสคนนี้ดี
ไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างเห็นแก่ตัว หรือยอมทนเ็ปปล่อยมือไป...
เสี่ยวหมี่เห็นผู้เฒ่าหยางยืนอยู่ไกลๆ นางจึงโบกมือให้ “ท่านลุงหยาง ข้าซื้อยาสูบมาให้ท่านครึ่งจิน ยังมีกล้องยาสูบทองเหลืองด้วย เดี๋ยวคืนนี้จะให้พวกพี่สะใภ้ช่วยเย็บกระเป๋าใส่ยาสูบให้ท่าน ถึงตอนนั้นท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะปฏิเสธยาสูบจากนายท่านเฝิงอย่างไรแล้ว”
ท่านลุงหยางพยักหน้า ยิ้มกว้างจนตายิบหยี คนในหมู่บ้านเขาหมีล้วนจริงใจ ตนเองมีของดีอะไรก็อยากจะแบ่งปัน
เขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านมานาน บางครั้งได้พบกับนายท่านเฝิงและคนอื่นๆ นั่งล้อมวงสนทนากัน ก็มักจะถูกยัดกล้องยาสูบให้ลองอยู่เรื่อย
พูดตามจริง ยาสูบก็เป็ของดี ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง จะเขียนบทความหรือทำอะไรก็คล่องไปหมด เพียงแต่กล้องยาสูบที่ผ่านปากคนอื่นมาแล้ว จะให้เขาเอามาสูบก็รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหมี่จะค้นพบเื่นี้ ทั้งยังคิดเผื่อเขาอย่างรอบคอบ
“ขอบคุณแม่นางลู่ ข้าซาบซึ้งใจจริงๆ”
“ท่านลุงหยางเกรงใจแล้ว ครอบครัวเดียว...อะแฮ่ม ข้าเอาของไปวางก่อนนะเ้าคะ อีกประเดี๋ยวต้องรบกวนท่านลุงหยางช่วยข้าก่อไฟทำกับข้าวด้วยแล้วเ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่พูดได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนไปพูดเื่อื่น
เหลือไว้แต่ผู้เฒ่าหยางที่แอบเหล่ตามองไปทางหน้าต่างห้อง เขาถอนใจอย่างปลงๆ...
ตกกลางคืนพวกผู้หญิงก็มารวมตัวกัน เมื่อเห็นผ้าไหมเต็มห่อผ้าสองห่อต่างตื่นเต้นดีใจกันใหญ่
“เสี่ยวหมี่ เ้าไปสรรหามาจากที่ใดกัน สีสันสวยยิ่งนัก”
“พี่สะใภ้ลืมไปแล้วหรือ เถ้าแก่เฉินเปิดร้านขายผ้าอย่างไรเล่าเ้าคะ ข้าจ่ายเงินแค่สองตำลึงเหมาเศษผ้าพวกนี้มา” เสี่ยวหมี่มือหนึ่งจุดตะเกียง ทางหนึ่งก็อธิบายให้ฟัง
“คุ้มค่ายิ่งนัก”
“ผ้าไหมชิ้นนี้พอจะตัดชุดเล็กๆ ได้ชุดหนึ่งเลยนะ”
สตรีรักสวยรักงามเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นผ้าสวยๆ ก็ชอบกันมาก
เป็ท่านป้าหลิวที่เรียกสติพวกนางให้กลับมาอยู่กับงาน พวกนางจึงเริ่มลงมือทำงานกันอย่างรวดเร็ว
ส่วนเสี่ยวหมี่นั้นจุดตะเกียงบนโต๊ะและเริ่มร่างภาพของนางต่อไป
ถึงแม้นางจะคุ้นเคยกับเื่ราวของกระต่ายน้อยปี่เต๋อในชาติก่อนเป็อย่างดี แต่เื่บางเื่จะเอามาเล่าในยุคนี้คงไม่ได้ จึงต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย
นางคิดไปพลางเขียนไปพลางอยู่แบบนี้ทั้งคืน แต่ก็วาดไปได้ประมาณไม่กี่สิบรูปเท่านั้น ตอนหลังนางรู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว จึงเปลี่ยนไปวาดตะกร้า เก้าอี้ โต๊ะ เตียงอันเล็กๆ เตรียมจะวาดเครื่องเรือนให้กับกระต่ายน้อยปี่เต๋อแทน
นางไม่เชื่อหรอกว่าตุ๊กตาที่ครองใจเด็กๆ ในชาติก่อน จะสยบแม่นางน้อยในห้องหอของชาตินี้ไม่ได้...
อากาศ่ปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็เหมือนก่อนหน้านี้ที่นายท่านเฝิงเคยบอกไว้ หลังจากหิมะชุดสุดท้ายหมดไปแล้ว อากาศจะอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดขุนเขาก็ปรากฏรูปลักษณ์อันแท้จริงของมันออกมา พืชนานาพันธุ์ค่อยๆ โผล่พ้นดิน
นกกาบินว่อนเหนือที่นา เป็สัญลักษณ์ว่าปีใหม่มาถึงแล้ว
วันนี้ หลังจากเสี่ยวหมี่ทำอาหารเช้าเสร็จ นางไม่มีอารมณ์กินสักเท่าไร ใจของนางจดจ่ออยู่กับการแยกประเภทของเล่นกระต่ายน้อยปี่เต๋อที่เย็บเสร็จแล้วใส่กล่องไม้
ลู่อู่ถือถ้วยข้าวต้มไก่ เดินวนรอบๆ กล่อง เขาที่เป็ชายฝึกยุทธ์ย่อมไม่นิยมชมชอบของเล่นของเด็กผู้หญิง ดูแค่นิดเดียวก็หมดความสนใจ แล้วเข้าไปแย่งปลาทอดหม่าล่ากับเกาเหรินต่อ
เสี่ยวหมี่ะโว่า “พี่รอง ท่านรีบกินให้เสร็จแล้วออกมาเตรียมรถเร็วเข้า”
เพิ่งพูดจบ ไม่รอให้ลู่อู่ตอบรับ กลับเป็เฝิงเจี่ยนที่เดินออกมาจากเรือนพักฝั่งตะวันออก
“ข้าจะเข้าเมืองไปกับเ้า”
“อา” เสี่ยวหมี่อึ้งไป ตอนที่คิดจะเอ่ยปฏิเสธ เฝิงเจี่ยนกลับเดินไปที่รถม้าแล้ว
ผู้เฒ่าหยางเองก็เข้ามาช่วยผูกม้าเข้ากับรถ ชัดเจนว่าสองนายบ่าวคู่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะเข้าเมืองไปกับนางให้ได้
เสี่ยวหมี่หมดหนทาง ความกระอักกระอ่วนระหว่างนางกับเฝิงเจี่ยนช่างยากจะอธิบายออกมาเป็คำพูด พูดกันจริงๆ แล้วก็เป็นางเองที่หาเื่ทะเลาะกับเขา แต่ถึงอย่างไรก็อยู่บ้านเดียวกัน จะให้เป็แบบนี้ต่อไปก็คงไม่ได้
ปล่อยให้เป็ธรรมชาติก็แล้วกัน ไม่แน่วันหนึ่งจู่ๆ อาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้ก็เป็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้