เล่มที่ 1 บทที่ 4 นายน้อยสำนักเทียนซือ
‘ฟังดูไม่เลว...’
แต่พอลองคิดดูอีกที ถึงรู้ว่าไม่ชอบมาพากล การฝึกวิชากระบี่ไม่ได้สำเร็จใน่เวลาสั้นๆ แม้แต่วิชากระบี่ระลึกตนที่เป็เพียงวิชาพื้นฐานของพวกเข้าสำนักใหม่ๆ ก็ยังต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็เวลาหลายเดือน ถึงจะพอกวัดแกว่งได้บ้าง
แม้แต่กระบี่ระลึกตนยังยาก แล้วนับประสาอะไรกับเคล็ดวิชากระบี่ที่ซับซ้อนกว่านี้เล่า อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายสิบปี ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญที่มีอายุยืนยาว ก็มีเวลาไม่พอ
เพราะฉะนั้นผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ส่วนมากจะพัฒนาระดับได้ไวใน่แรก ปีสองปีก็พัฒนาแล้ว แถมเวลาประมือกับคู่ต่อสู้ ยังมีกระบวนท่าแปรเปลี่ยนมากมาย เมื่อคู่ต่อสู้พลาดพลั้ง ก็เอาชนะอย่างง่ายดาย แต่่หลังต้องฝึกวิชากระบี่ที่ซับซ้อนมากขึ้น บางครั้งต่อให้ใช้เวลาหลายป ก็ยังไม่สามารถบรรลุได้ ในตอนนี้เอง คู่ต่อสู้ในอดีตที่ตนเคยเอาชนะได้พัฒนาก้าวไปไกลแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ ต้องเจอกับตัวถึงจะเข้าใจ
“วิชาหมื่นกระบี่ช่างชั่วร้ายจริงๆ ตอนนี้ก็อยู่ขั้นจจีแล้ว ดูท่าจะเปลี่ยนไม่ทัน...” แค่คิดว่าเคล็ดวิชานี้ต้องฝึกวิชากระบี่มากมาย หลินเฟยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จะทำอย่างไรดี หรือจะต้องเสี่ยงทำลายรากฐานเดิม? แต่ถ้ารากฐานาเ็ ก็อาจจะเป็เหมือนเมื่อชาติที่แล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่สามารถบรรลุขั้นย่างชี่
‘จริงด้วย ชาติที่แล้ว...’
พอคิดถึงตรงนี้ หลินเฟยก็ตาเป็ประกาย ดูเหมือนชาติที่แล้วข้าจะทิ้งบางอย่างไว้ที่ถ้ำเสวียนปิง ถ้าสิ่งนั้นยังอยู่ละก็ปัญหาเื่เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ก็จะถูกขจัดไป บางทีอาจทำให้เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่เปลี่ยนรูปโฉมไปเลยก็ได้
หากคิดจะไปถ้ำเสวียนปิง ดูท่าจะต้องลำบากหน่อยแล้ว...
‘ลำบากก็ต้องทน ใครใช้ให้เจอเ้าของร่างเดิมที่ขยันสร้างปัญหา’ หลินเฟยไม่คิดอะไรมาก หลังจากครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ก็สามารถตัดสินใจได้
“อาจารย์คนใหม่ของข้าหลับหรือยังนะ...” หลินเฟยมองไปนอกหน้าต่าง ลานน้อยไม่ไกลยังมีแสงไฟสว่างไสว ดูท่าตาเฒ่ายังเหมือนเดิม เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการหลอมศาสตราวุธ
‘ช่างมีความตั้งใจเสียจริง…’
พอคิดถึงผู้เป็อาจารย์ขึ้นมา หลินเฟยก็ยิ้มย่างขมขื่น
‘ดูเหมือนข้าจะโชคร้าย...’
เมื่อชาติก่อน การถูกขับไล่ไปหอดาบตอนกลางคืนก็นับว่าแย่แล้ว ไม่คิดว่าชาตินี้จะแย่กว่าเดิม
สำนักเวิ่นเจี้ยนมีเื่ตลกอยู่เื่หนึ่ง ตัวเอกของเื่ก็คือตาเฒ่าผู้เป็อาจารย์ข้านี่แหละ…
ว่ากันว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผู้เฒ่าเ้าสำนักเก็บขวดได้ใบหนึ่ง หลังเปิดขวดทำให้เทพมารตนหนึ่งหนีออกมา เทพมารเอ่ยว่าผู้ที่ปลดปล่อยเขาคือผู้มีพระคุณ เขาสามารถประสาทพรให้สมหวังได้หนึ่งอย่าง ผู้เฒ่าดีใจมาก ก่อนจะมอบรายชื่อแผ่นหนึ่งให้ ผู้เฒ่าบอกว่านี่คือรายชื่อศัตรูของสำนักเวิ่นเจี้ยน ขอให้ท่านเทพมารช่วยทำลายให้สิ้น เทพมารมองผู้เฒ่าอย่างหนักใจก่อนจะเอ่ยตอบ เื่นี้ค่อนข้างยาก เปลี่ยนเป็อย่างอื่นได้หรือไม่?
ผู้เฒ่าพิจารณาชั่วครู่ เขาเองก็รู้สึกว่ามันยากไปจริงๆ ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นใหม่ว่า ขอให้หลัวเสิ่นเซียวเลิกหมกมุ่นอยู่กับการหลอมศาสตราวุธ ขอให้เขาตั้งใจอบรมศิษย์ให้ดี
เทพมารเกาหัว ก่อนจะขอเอาใบรายชื่อไปดู…
‘เื่ตลกก็คือเื่ตลกอยู่วันยังค่ำ’ ทว่าอาจารย์ของหลินเฟย ก็ไม่น่าเชื่อถือจริงๆนั่นแหละ…
ทั้งๆที่เป็ผู้าุโแห่งหุบเขาอวี้เหิง ไม่กี่ปีก็ผลาญทรัพย์สมบัติที่เ้าหุบเขาคนก่อนทิ้งไว้จนหมดสิ้น แถมยังติดหนี้นอกสำนักอีกไม่รู้เท่าไร ทำให้ศิษย์หุบเขาอวี้เหิงไม่กล้าออกไปไหน เพราะกลัวเ้าหนี้ของอาจารย์มาตามทวงหนี้กับพวกเขา
การคัดเลือกศิษย์ที่สาม หนึ่งปีจะมีครั้ง ตาเฒ่าดูเหมือนจะเป็คนกระตือรือร้นที่สุด ทุกครั้งจะต้องรับศิษย์มากมาย ไม่ใช่เพราะ้าเผยแพร่วิชาหรอกนะ แต่เป็เพราะยิ่งมีศิษย์มาก ทรัพยากรที่ได้รับจากสำนักก็จะมากตาม เวลาจะยักยอกขึ้นมาจะได้สะดวก…
หลายปีที่ผ่านมา เ้าของร่างเดิมก็ถูกเอาเปรียบไม่น้อย ยาลูกกลอนต่างๆก็ต้องซื้อเอง หินิญญาก็ต้องขุดหาเอง แค่นึกถึงตรงนี้ หลินเฟยก็ดูจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ว่าทำไมเ้าของร่างเดิมถึงเลือกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ ที่ทำเช่นนั้นก็เพราะความยากจน ไม่มีสิทธิ์เลือก ได้แต่เก็บเอาแต่สิ่งที่คนอื่นไม่้า...
‘ช่างน่าสงสารเสียจริง…’
“ดูท่าคงต้องหาข้ออ้างให้ตาเฒ่านั่นไล่ข้าไปถ้ำเสวียนปิงแล้วล่ะ ขืนยังอยู่ต่อเกรงว่าวันดีคืนดีอาจจะถูกจับไปขายก็ได้...”
ขณะกำลังนึกถึงนั้น จู่ๆข้างนอกก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมา…
“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ใครมากันนะ?” หลินเฟยรู้สึกประหลาดใจ หุบเขาอวี้เหิงนอกจากพวกทวงหนี้แล้ว สิบวันถึงครึ่งเดือนก็ไม่มีใครมา เพราะที่นี่เป็จุดอับฮวงจุ้ยของสำนักเวิ่นเจี้ยน ทุกคนกลัวว่าย่างกรายเข้ามาแล้วจะพลอยซวยไปด้วย
‘แล้วคืนนี้มันอะไรกัน...’
‘ฟังจากเสียง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนสองคน’
หลินเฟยเปิดประตูออกไปด้วยความสงสัย พอถึงหน้าประตู ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมลานที่พักเอาไว้ มีประมาณห้าหกคนเห็นจะได้ สี่ถึงห้าคนในนั้นดูเหมือนจะเป็ศิษย์หุบเขาอวี้เหิง ส่วนคนที่เหลือดูไม่คุ้นหน้าเท่าไร หลินเฟยได้ยินมีคนเอ่ยเรียกศิษย์พี่จางอยู่หลายครั้ง เดิมคิดว่าเป็ศิษย์ของเ้าหุบเขาคนใดคนหนึ่งเสียอีก
จนกระทั่งเดินเข้าไปใกล้จึงนึกขึ้นได้...
‘นี่จางเจิ้งฉางไม่ใช่หรือ?’
เขาเป็บุตรคนเดียวของปรมาจารย์จาง และยังเป็นายน้อยของสำนักเทียนซือ หลายวันนี้เขามาพำนักที่สำนักเวิ่นเจี้ยนพอดี ได้ยินว่าเอาแต่ก่อเื่ไปทั่ว เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็ทำให้สำนักเวิ่นเจี้ยนทุกที่มีแต่ความวุ่นวายไก่บินสุนัขะโ[1]เต็ม ไปหมด คนที่มีใจอยากสั่งสอนก็กลัวปรมาจารย์จางจะไม่พอใจ ตอนนี้ศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยนต่างก็อยากจะส่งเทพแห่งโรคระบาด[2]ตนนี้กลับไปใจจะขาด...
และคนที่ไม่ได้ดูฤกษ์ยามก่อนก้าวออกจากประตู ก็ถูกเทพตนนี้เล็งเข้าพอดี คนคนนี้ก็คือเพื่อนใกล้เรือนเคียงของหลินเฟย เซียนสาวผู้เ็าแห่งหุบเขาอวี้เหิง ที่มีแต่พวกสมองเพี้ยนคอยตามตื๊อ!
จะว่าไปแล้วเซียนสาวแห่งหุบอวี้เหิงนางนี้ ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่เหมือนกัน ปีที่แล้วตอนเข้าสำนักใหม่ๆ เ้าหุบเขาต่างๆทะเลาะกันอย่างเอาเป็เอาตาย หวังชิงตัวนางให้มาเป็ศิษย์ นางมีกายเย่หัวแต่กำเนิด เป็อัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคน แล้วใครจะไม่อยากรับนางเป็ศิษย์เล่า?
ในตอนนั้นผู้าุโแห่งหุบเขาอวี้เหิง้าจะชิงตัวนาง ถือได้ว่างัดทุกกลเม็ดออกมาใช้ บ้างก็ใช้สิ่งล่อ บ้างก็อ้างความสัมพันธ์ ไม่มีใครเป็รองใคร ไม่มีฝ่ายใดชนะ สุดท้ายเลยผลักเื่นี้ให้เ้าสำนักตัดสินใจ
เ้าสำนักเองก็สนอกสนใจ ไม่เลือกช่วยใครทั้งนั้น แต่กลับส่งนางมาที่หุบเขาอวี้เหิง ผู้าุโต่างๆล้วนไม่ยอม หุบเขาอวี้เหิงคือที่ใด จะปล่อยให้อัจฉริยะผู้มีกายเย่หัวไปหุบเขาอวี้เหิงได้อย่างไร แบบนี้มันไม้งามปักในกองขี้วัว*ชัดๆ แถมยังเป็ขี้วัวที่จนมากๆอีกต่างหาก...
(*ไม้งามปักในกองขี้วัว หมายถึง ไม่คู่ควร)
สุดท้ายเ้าสำนักเอ่ยคำนึงออกมา
“ปีนี้ยังมีงานรับศิษย์สายตรง...”
ทันทีทันใดเหล่าผู้าุโก็หยุดทะเลาะกัน จริงด้วย ปีนี้ยังมีงานรับศิษย์สายตรง อัจฉริยะผู้มีกายเย่หัวจะต้องติดอันดับแน่ ตอนนั้นค่อยพยายามใหม่ บางทีอาจจะชิงตัวนางออกจากหุบเขาอวี้เหิงได้
‘ไม่จำเป็ต้องมาทะเลาะกันให้หัวร้างข้างแตกแบบนี้...’
_________________________________________________________________________________
[1] ไก่บินสุนัขะโ หมายถึง วุ่นวายไปหมด
[2] เทพแห่งโรคระบาด หมายถึง ตัวกาลกินี มีแต่คนอยากหลีกหนี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้