ทั้งสองคนนั่งลง ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นชาหอม ท่ามกลางความจริงใจยังมีบรรยากาศคลุมเครือสายหนึ่งแฝงอยู่
เสียดายเพียงนิดที่ใบหน้าของมู่เสวียนเย่เ็าเกินไป ทำลายบรรยากาศคลุมเครือนี้จนหมดสิ้น
จนถึงขณะนี้มู่เฉิงอินก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ ไยคุณชายใหญ่จึงมานั่งอยู่เบื้องหน้านางได้ หญิงสาวยังคงหลงอยู่ในภวังค์ของตนเอง
ทว่าหากมู่เสวียนเย่ไม่เอ่ยปาก นางเองก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดเช่นกัน
แม้เมื่อวานนางจะพูดจาเด็ดเดี่ยวว่าจะไล่ตามความสุขของตน แต่วันนี้ยามต้องเผชิญหน้ากับมู่เสวียนเย่ ทั้งร่างนางก็นิ่งงันราวถูกหยุดเวลาเอาไว้
“แม่นางมู่”
จากนั้นไม่นาน มู่เสวียนเย่ก็เป็ฝ่ายเอ่ยขึ้น
“คุณชายมู่ เชิญกล่าวเ้าค่ะ”
ทั้งสองคนระมัดระวังยิ่ง ยามเปิดปากก็ไม่กระทำสุ่มสี่สุ่มห้า
“น้ำใจของแม่นางมู่ ข้าเสวียนเย่ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ จดหมายฉบับก่อนหน้านี้อาจทำให้เ้าต้องขุ่นเคือง ข้าหวังว่าแม่นางจะให้อภัย”
มู่เสวียนเย่กล่าว
เมื่อสิ้นเสียง ใจของมู่เฉิงอินพลันเต้นผิดจังหวะ จดหมายฉบับใดน่ะหรือ? ย่อมต้องหมายถึงฉบับที่ขอตัดความสัมพันธ์เป็แน่ เพียงนึกถึงนางก็รู้สึกเจ็บในหัวใจ
คุณชายใหญ่ตระกูลมู่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
เป็เพราะหลังจากส่งจดหมายขอยุติความสัมพันธ์แล้ว ยังกลัวว่านางจะไปตามตื้อ ดังนั้นวันนี้จึงมาเน้นย้ำต่อหน้านางอีกที?
สิ่งใดที่เรียกว่าน้ำใจนาง เขาขอรับไว้กัน
เขากำลังจะปฏิเสธความรักของนางอีกหรือ?
มือของมู่เฉิงอินที่อยู่บนโต๊ะกำเข้าหากันแน่น ในใจบังเกิดความทุกข์ใจเกินรับไหวแล่นขึ้นมาเป็ระลอก
“คุณชายมู่คิดว่าเฉิงอินไม่เหมาะสมกับท่านใช่หรือไม่เ้าคะ?”
จู่ๆ มู่เฉิงอินก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามเสียงดัง
นางรู้สึกดั่งไม่ได้รับความเป็ธรรม เมื่อครู่ที่นางเปิดประตูและพบมู่เสวียนเย่ หัวใจทั้งดวงของนางเต้นรัวราวกับจะะโออกมาจากอก ความรักที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีเช่นกัน นางที่มาโรงน้ำชาเพื่อดื่มชา กลับได้พานพบเขา นี่ไม่เรียกว่าเป็พรหมลิขิตหรอกหรือ?
ในขณะที่นางกำลังคิดว่าจะเอ่ยสิ่งใด คุณชายมู่กลับเป็ฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน เขาเข้ามาในห้องนี้ด้วยท่าทางราวกับอยากกล่าวบางเื่กับนางเป็การส่วนตัว
นางใจเต้นด้วยความกังวลทว่าก็เป็สุข แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่าย้าพูดสิ่งใดก็ตาม
แต่ไม่คิดว่าเื่ที่เขา้าเอ่ยถึงคือเื่จดหมายขอตัดความสัมพันธ์ฉบับนั้น
ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจอันใด อาจทำให้ขุ่นเคืองอันใด
คำไม่คุ้นเคยดังกล่าวทำให้หัวใจของมู่เฉิงอินร่วงหล่นไปอยู่ใต้หุบเขา ทุกข์ใจเหลือแสน
ดังนั้น นางจึงมิอาจทนไม่ถามออกไปสักคำได้
หลังถูกมู่เฉิงอินสาดคำถามใส่ มู่เสวียนเย่พลันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้น สบประสานกับดวงตางดงามที่ไม่อาจละสายตาได้ของสตรีตรงหน้า ซึ่งยามนี้จับจ้องมาที่เขาอย่างแน่วแน่
หัวใจของมู่เสวียนเย่ถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองจนใจเต้นแรง เขาพูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “แม่นางมู่ เปี่ยมมารยาทรู้ความ งดงามเพริศพริ้ง เป็สตรีที่ดีเลิศผู้หนึ่ง มีสิ่งใดที่มิอาจคู่ควรเล่า? หากจะกล่าวว่าไม่คู่ควร กลับเป็ข้าเสวียนเย่ที่ไม่ควรคู่กับแม่นาง”
คำกล่าวนี้คือความในใจของมู่เสวียนเย่ เขามิใช่บุรุษประเภทลื่นไหลหลอกลวง เมื่อได้ยินมู่เฉิงอินพูดจาเช่นนี้ ในใจของเขายิ่งรู้สึกละอายต่อสตรีที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าเดิม
คุณหนูตระกูลมู่ มู่เฉิงอิน ทั้งรู้ความและอ่อนหวาน เป็ที่รู้จักในแวดวงสตรีสูงศักดิ์ของต้าโจว นางเกิดในตระกูลนักปราชญ์ ย่อมมีกลิ่นอายแห่งผู้มีการศึกษา แม่นางน้อยผู้นี้มีจิตใจกว้างขวาง ทั้งมีทัศนคติหลายอย่างเหมือนกับเขาโดยบังเอิญ
หากครอบครัวของเขาไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เขาก็ปรารถนาจะสานความสัมพันธ์กับแม่นางจากตระกูลมู่ผู้นี้ต่อ
หลังได้รับกุญแจทองอันเล็กจากนาง หัวใจของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นยากเกินควบคุม อีกทั้งยังรู้สึกว่าตนที่เป็ชายชาตรีเข้มแข็งกลับต้องให้อิสตรีเป็ฝ่ายเข้าหาก่อน ช่างเกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นวันนี้เขาจึงพกหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเสียใจมาพบนาง
ดังนั้น สิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดย่อมออกมาจากใจจริง
ทว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อรวมทั้งคำสรรเสริญและความเสียใจเข้าไป เมื่อผ่านเข้าหูของมู่เฉิงอิน กลับเหมือนเป็การปฏิเสธความรักของนาง
ทำให้ใจนางยากจะรับไหว
วานนี้นางเพิ่งจะกล่าวคำสาบานด้วยใจจริง เพิ่งตัดสินใจว่าจะไล่ตามจีบเขา ทว่าความตั้งใจนี้กลับถูกทำลายั้แ่ยังไม่ทันเริ่มเสียด้วยซ้ำ นางทั้งโมโหและเศร้าโศกเป็อย่างยิ่ง
“เช่นนั้นคุณชายมู่ ในใจของท่านมีคนที่อยากแต่งงานด้วยแล้วหรือเ้าคะ?”
มู่เฉิงอินถามขึ้นมาอีกครั้ง
วันนี้นางจะทุ่มสุดตัว หากไม่ถามให้ชัดเจน จะอย่างไรก็ไม่ยอมเป็อันขาด
ในเมื่อได้พบหน้าที่โรงน้ำชา ทั้งสองต่างมาเพียงลำพังไม่มีผู้ใดติดตาม นี่ย่อมเป็โชคชะตาและโอกาสที่์ประทานให้ ไม่ว่าจะเป็ความคิดของคุณชายมู่หรือความในใจของนาง วันนี้นางต้องถามให้ชัดเจน
หากในใจของคุณชายมีแม่นางที่พึงใจอยู่แล้ว นางย่อมไม่เข้าไปแทรกกลางเป็มือที่สาม หรือหากเขาปรารถนาจะปกป้องแว่นแคว้น จิตใจมิได้หมกมุ่นอยู่กับเื่ส่วนตัว นางย่อมเต็มใจที่จะรอ
“ย่อมไม่มี”
มู่เสวียนเย่ส่ายหัวอย่างจริงใจ
เขาเพิ่งอายุครบยี่สิบปี ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดที่จะสร้างครอบครัวมาก่อน น้องหญิงของเขาหายตัวไป ท่านพ่อเศร้าโศกทุกข์ใจเป็อย่างยิ่ง เขาจะไปเอาความคิดเช่นนั้นมาจากที่ใด?
เมื่อได้ยินมู่เสวียนเย่ตอบว่าไม่ หัวใจของมู่เฉิงอินพลันสั่นไหวน้อยๆ ดวงตาของนางเปล่งประกาย ริมฝีปากสีแดงสดเม้มแน่น “ในเมื่อคุณชายมู่ไร้คนในใจ อีกทั้งยังเห็นว่าเฉิงอินสูงส่งคู่ควร ทว่าเฉิงอินกลับมิใช่สตรีที่ท่าน้าแต่งงานด้วย...”
นางกล่าว
น้ำเสียงเจือปนเสียงสะอื้น ทั้งมีน้ำใสๆ เอ่อล้นปกคลุมดวงตาอย่างมิอาจควบคุม
แท้จริงแล้วนางเป็สตรีที่เข้มแข็งยิ่ง แม้จะดูบอบบางอ่อนโยน ทว่าเมื่อตัดสินใจเื่ใดแล้ว นางย่อมมีความกล้าเช่นไม่ชนกำแพงทางใต้ไม่หันกลับ [1]
แต่ยามนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้ทำให้ใจนางสั่นไหว นางกลับมิอาจควบคุมน้ำตาของตนเองได้
ผู้อื่นย่อมไม่เข้าใจ
ว่านางชอบคุณชายใหญ่ตระกูลมู่มากมายเพียงใด
ทันทีที่มู่เสวียนเย่เงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของมู่เฉิงอิน ใจเขาตื่นตระหนก เร่งรีบลุกขึ้น “แม่นางมู่ เ้า...”
“คุณชายมู่ ท่านมิต้องเอ่ยคำใด โปรดฟังข้าก่อนเถิดเ้าค่ะ”
มู่เฉิงอินขัดจังหวะตอนเขากำลังจะเอ่ยปาก
นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ั์ตาแดงระเรื่อ สตรีร่างเล็กมีท่าทีดื้อรั้น คล้ายไม่ปรารถนาให้หยดน้ำตาไหลริน
ขนตาของนางยาวเป็อย่างยิ่ง ราวกับผีเสื้อสีอ่อนสองตัว เมื่อนางกะพริบตา ขนตาของนางก็สั่นไหวน้อยๆ เกิดเป็เงาสายหนึ่ง
“คุณชายมู่ ท่านคงจำคราแรกที่เราพบกันไม่ได้กระมัง เมื่อหกปีที่แล้ว ข้าติดตามท่านแม่ไปวัดฟู่เหยียนเพื่อจุดธูปขอพร แต่ระหว่างทางกลับพบโจรเข้า คนในครอบครัวของข้าได้รับาเ็และเสียชีวิต รถม้าที่ท่านแม่กับข้านั่งสูญเสียการควบคุม ม้าวิ่งเตลิดอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนั้นข้าคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว ข้ากลัวเป็อย่างยิ่ง ได้แต่จับมือท่านแม่ไว้แน่น ข้าคิดจะเปิดม่านแล้วะโออกไปนอกรถม้าพร้อมกับท่านแม่ ทว่าความเร็วของม้าที่กำลังใจนวิ่งอย่างบ้าคลั่งนั้นเร็วเกินไป ข้ากับท่านแม่ล้วนไม่มีความกล้าที่มากพอ
ยามนั้น ม้าที่วิ่งอย่างรวดเร็วกำลังมุ่งตรงไปยังหน้าผาสูงชัน หากมันพุ่งทะยานลงไป คงได้สิ้นสุดเหตุการณ์ไปทั้งเช่นนั้น
ข้าคิดว่าข้าและท่านแม่ย่อมตายแน่แล้ว
แต่พริบตานั้นท่านกลับโผล่มาจากฟากฟ้า ปราบม้าที่กำลังพยศ และช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ได้
ข้ายังจำคำที่ท่านกล่าวว่า ‘มิต้องกลัว พวกท่านปลอดภัยแล้ว’ ได้เป็อย่างดีเ้าค่ะ”
มู่เฉิงอินสูดลมหายใจลึก นางเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต ทว่าในใจยังหลงเหลือความกลัวอยู่
มู่เสวียนเย่ฟังเงียบๆ เขายังมีความทรงจำเกี่ยวกับเื่ที่สตรีตรงหน้าเล่าให้ฟังอยู่บ้าง ทว่าเป็ความทรงจำที่มิได้ชัดเจนนัก น่าจะเป็เมื่อสองสามปีก่อน มีกลุ่มโจรอยู่ในเมืองหลวง และเขาเป็ผู้นำของหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวงที่ได้รับคำสั่งให้ไล่ตามจับโจรกลุ่มนี้กลับมาให้ได้ แต่เขาไม่นึกว่าโจรที่ไร้หนทางหนีกลุ่มนี้จะบ้าคลั่งและบุกปล้นรถม้าของคนที่สัญจรผ่านมา
ในครั้งนั้น เขาช่วยไว้ได้หลายชีวิต หลายครอบครัวจริงๆ
และเป็เพราะคนที่เขาช่วยเหลือล้วนเป็ฮูหยินหรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมา หลังจากช่วยชีวิตพวกนางได้แล้วเขาจึงไม่ออกหน้า แต่เขาไม่นึกว่าแม่นางที่ตนช่วยเหลือจะกลายมาเป็สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้?
“นั่นเป็ความรับผิดชอบของข้า”
มู่เสวียนเย่เปิดปากกล่าว
ทว่าเขากลับเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางทั้งจริงจังและใส่ใจยิ่ง “ั้แ่นั้นมาท่านก็คือวีรบุรุษในใจข้า หากไม่ใช่ท่าน ข้าย่อมไม่แต่งให้ผู้ใด!”
เชิงอรรถ
[1] ไม่ชนกำแพงทางใต้ไม่หันกลับ 不撞南墙不回头 (Bù zhuàng nán qiáng bù huítóu) เป็สำนวน อธิบายถึงคนที่ยืนหยัดในความคิดของตนเอง ทำจนถึงที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้