เมื่อสิ้นคำ ดวงหน้าชราก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“เด็กคนนั้น นางลำบากเกินไปแล้ว ลำบากเกินไปแล้วจริงๆ ย่าอย่างข้าทำให้นางต้องลำบาก...”
ท่านย่าเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความโศกเศร้าที่ยากจะเก็บซ่อนไว้ ซึ่งแฝงอยู่ในดวงตาของนาง
“ท่านย่า อย่าร้องไห้ไปเลย ท่านมีอันใดอยากพูดก็พูดออกมาเถิด อย่าเก็บไว้ในใจ เด็กคนนั้นเป็เด็กที่รู้ความ หากเห็นท่านเป็เช่นนี้ย่อมเ็ปเป็แน่”
ฮวาเหยียนเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นผ้าไหมเช็ดหน้าที่นางพกติดตัวให้อีกฝ่าย
ท่านย่านอนพิงผ้าห่มอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ารวดร้าวยิ่ง นางจมดิ่งสู่ความเศร้าโศกที่มิอาจพรรณนาได้ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ว่า “ญาญ่าลำบากเกินไปแล้ว นางไม่มีพ่อแม่ั้แ่เด็ก ทั้งปู่ยังด่วนจากไป มีเพียงเราสองคนพึ่งพิงกันและกัน แต่หญิงชราเช่นข้าไร้ความสามารถ มิอาจนำพานางให้มีชีวิตที่ดีได้แม้สักวัน ร่างกายของข้าอ่อนแอเต็มไปด้วยโรค หากพวกเรามีเงินเพียงเหรียญเดียวก็จะถูกนำไปใช้เป็ค่ายาของข้า นางอายุยังน้อยแต่มิเคยได้ทานข้าวดีๆ สักมื้อ ไม่เคยมีเสื้อผ้าดีๆ ได้สวมใส่ มิว่าเป็การเรือนอันใดล้วนเป็นางที่จัดการ นางรู้ความเป็อย่างยิ่ง รับงานทำความสะอาดเรือน ไปยกอาหารที่เหลาอาหาร ทั้งยังรับงานซักผ้าให้เพื่อนบ้าน ได้เงินมาสามถึงห้าเหรียญ ทว่ากระทั่งขนมกุ้ยฮวาสักชิ้นก็มิอาจหักใจซื้อกิน...”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้า หญิงชราวัยหกสิบมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
หัวใจของฮวาเหยียนยากที่จะรับไหวเช่นกัน ดวงตาของนางขมฝาด ที่แท้แล้วพ่อแม่ของเด็กน้อยมาด่วนจากไปเช่นนี้ สตรีสองนางจึงพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอด หญิงสาวถอนหายใจเสียงเบา
“ล้วนเป็ข้าเองที่ทำให้ญาญ่าต้องลำบาก คุณหนูใหญ่ ท่านว่าหญิงชราเช่นข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออันใด? มิสู้ตายไปเสียยังดีกว่า...”
ยิ่งท่านย่าพูดมากเท่าไร นางก็ยิ่งทรุดลงเร็วขึ้นเท่านั้น เดิมทีนางก็ป่วยหนักอยู่แล้ว เมื่อรวมเข้ากับแรงกระทบกระเทือนด้านอารมณ์ จึงคิดเพียงอยากตายให้จบไปเสีย เช่นนั้นญาญ่าก็จะไม่ต้องลำบากอีก
ฮวาเหยียนเห็นว่าท่านย่ามุดเข้าไปในปลายเขาควาย [1] แล้ว จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านย่า ท่านพูดอันใดออกมา?”
นางส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย
ฮวาเหยียนนึกถึงตอนที่ตนยังเป็เด็ก นางโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ญาติขาดมิตร เหงาเสียจนต้องพูดคุยกับเงาของตนเอง ในตอนนั้นนางเคยคิดว่าบิดามารดาของตนอยู่ที่ใด? ญาติพี่น้องของนางอยู่ที่ใด? เหตุใดจึงทิ้งนางเอาไว้? หากมีญาติสักคน นางก็คงมิใช่เด็กกำพร้า มิต้องเติบโตมาเป็หญิงสาวที่เ็าเยี่ยงนี้
“ญาญ่าเป็เด็กมีเหตุผลและกตัญญู แม้ตอนนี้นางจะลำบากและเหนื่อยไปบ้าง แต่นางก็เป็สุขนักเพราะมีท่านอยู่เคียงข้าง นางจึงมิได้โดดเดี่ยว ในใต้หล้านี้ผู้ที่มีสายเืเดียวกับนางก็เหลือเพียงท่าน ดังนั้นนางจึงพยายามเป็อย่างยิ่ง ยืนหยัดอดทนก็เพื่อให้ท่านมีคืนวันที่ดี ท่านคือกำลังใจของนาง ท่านย่า เคยคิดหรือไม่ว่าหากท่านจากไป ญาญ่าจะเปลี่ยนไปเช่นไร?”
ความโศกเศร้าในน้ำเสียงของฮวาเหยียนไม่อาจปิดบังได้
นางให้ญาญ่าเป็ตัวแทนของตนเองในวัยเด็ก
“หากมิมีข้าที่ทำให้นางลำบาก ญาญ่าคงมีวันเวลาที่ดี...”
ท่านย่าพึมพำกับตนเอง
ทว่าฮวาเหยียนกลับส่ายหัว “ไม่ หากท่านจากไป ญาญ่าอาจไม่เป็สุขเท่ายามนี้ นางจะกลายเป็เด็กกำพร้า ไม่มีใคร้านาง ไม่รู้ว่าควรไปที่ใด และเอาแต่เฝ้าเรือนอยู่เช่นนั้น บางทีนางอาจถูกคนเลวรังแก หรืออาจถูกครอบครัวใหญ่รับเลี้ยง แต่สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพึ่งพาผู้อื่น ทว่าย่อมไม่มีผู้ใดใส่ใจและรักนางเท่ากับท่าน”
คำพูดของฮวาเหยียนดั่งค้อนหนักทุบเข้าที่หัวใจของหญิงชรา
นางมองไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่ไร้แวว ตกตะลึงพรึงเพริด ในสายธารความคิดกำลังจินตนาการถึงภาพที่ฮวาเหยียนบรรยายเมื่อครู่
“ข้า ร่างกายของข้า...ช่างไร้ประโยชน์นัก ต้องพึ่งยาเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ ตอนที่บิดาของนางกำลังจะตาย ฮ่องเต้ได้ส่งเงินบำรุงขวัญมาก้อนหนึ่ง เดิมทีด้วยเงินก้อนนี้ญาญ่าก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ ทว่าร่างกายของข้ามิแข็งแรง เงินบำรุงขวัญก้อนนั้นส่วนใหญ่จึงถูกใช้ไปเพราะข้า ข้าต้องขอโทษญาญ่าแล้ว... ข้าเองก็มิอาจหักใจทิ้งนางได้ ทว่าหากข้ายังอยู่อีกหนึ่งวัน ญาญ่าก็จะเหนื่อยเพิ่มอีกหนึ่งวัน พวกเราล้วนลำบากเหลือเกิน...”
ท่านย่าร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง ทว่าฮวาเหยียนกลับได้ยินข้อมูลสำคัญจากคำพูดนาง ดูเหมือนว่าบิดาของญาญ่าจะมิใช่คนธรรมดา ฮ่องเต้ถึงขั้นส่งเงินบำรุงขวัญมาเชียวหรือ?
ฮวาเหยียนระงับความสงสัยที่ผุดขึ้นในใจ ก่อนเอ่ยปลอบท่านย่าว่า “ท่านย่า โปรดฟังคำแนะนำของข้าสักคำ คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ย่อมเป็การดีที่สุด เงินทองเ่าั้ล้วนเป็สิ่งนอกกาย เื่ใดต้องใช้เงินแก้ปัญหาย่อมไม่เรียกว่าปัญหา ท่านคิดถึงญาญ่าอีกสักหน่อยเถิด ท่านสามารถหักใจทิ้งนางลงได้จริงหรือ? อีกทั้งในสายตาของญาญ่า นางมิเคยรู้สึกว่าท่านทำให้นางลำบาก ท่านเป็เหมือนแรงผลักดันที่ทำให้นางขยันหมั่นเพียร ให้นางพยายามยิ่งขึ้น”
ฮวาเหยียนมีใบหน้างดงาม ยามนางให้คำเตือนก็จริงจังเป็พิเศษ
นางบอกว่าเงินทองเป็ของนอกกายหรือ เฮอะ...ความจริงแล้วสตรีผู้นี้รักเงินเป็ที่สุด
ทว่าั้แ่ที่นางเข้าจวนตระกูลมู่และได้ััถึงความอบอุ่นของมนุษย์ ทั้งนางเองก็รู้สึกเห็นใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับญาญ่าและท่านย่า ดังนั้นจึงพยายามโน้มน้าวใจหญิงชราอย่างอดทน
ดูเหมือนท่านย่าจะถูกฮวาเหยียนเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว อารมณ์ที่พุ่งสูงจึงสงบลงไม่น้อย ทว่านางยังคงขมวดคิ้ว ท่าทางไร้ิญญาไม่กระฉับกระเฉง
ฮวาเหยียนรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลเื่ใด นางเหลือบมองออกไปนอกประตูพลางเอ่ยว่า “ท่านย่า ร่างกายของท่านต้องได้รับการปรับสมดุล หยวนเป่ามีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง แม้อายุของเขายังน้อยและวิชาแพทย์ก็อยู่ในระดับธรรมดา ทว่าหากท่านเชื่อคำของเขา ยอมให้เขายื่นมือเข้าช่วย โอสถที่จำเป็เ่าั้ยกให้ตระกูลมู่ของข้าเป็ผู้จัดหาเถิด แต่หากท่านย่า้าจ่ายเงินให้ข้า ข้าเห็นว่าที่สวนของท่านปลูกผักไว้มากมาย ล้วนเป็ผักสดทั้งสิ้น เช่นนั้นท่านใช้ผักเ่าั้มาชำระหนี้แทนดีหรือไม่?”
ท่านย่าเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮวาเหยียนกล่าว ดวงตาของนางทั้งลึกโบ๋และแดงก่ำ นางจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าได้อย่างไร คุณหนูตระกูลมู่ผู้นี้ไม่เพียงมีจิตใจเมตตา กลับยังรู้ใจนางเป็อย่างยิ่ง แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าวิชาแพทย์ของเด็กน้อยอยู่ในระดับธรรมดา ทว่านางรู้ดีว่าทักษะของคุณชายน้อยเยี่ยมยอดนัก มิเช่นนั้นเขาคงไม่ทราบสภาพร่างกายของนางด้วยการตรวจชีพจรเพียงคราเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะกลัวว่านางจะต้องแบกรับภาระมากเกินไป จึงเสนอให้เอาผักที่ปลูกในสวนมาแลก นี่เป็น้ำใจในระดับใดกัน? ผักเ่าั้จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ทว่าหญิงชรารู้ดี หาก้ารักษาร่างกายของนาง เช่นนั้นก็ต้องใช้โอสถชั้นดีซึ่งหาที่ใดเปรียบ
ท่านย่ามิอาจกล่าวคำปฏิเสธใดได้ คำพูดของฮวาเหยียนแทงลึกเข้ามาในหัวใจนาง หากยังมีชีวิตอยู่ นางก็จะอยู่เคียงข้างญาญ่าได้นานขึ้น มิเช่นนั้นใต้หล้านี้คงต้องเหลือญาญ่าเพียงผู้เดียวแล้ว
แต่นางก็มิอาจสงบใจให้พยักหน้าตอบรับได้ เป็เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก และหญิงชราเช่นนางย่อมไร้ความสามารถ
ฮวาเหยียนรู้ดีว่าท่านย่ากำลังคิดสิ่งใด หญิงชราผู้นี้มีกระดูกสันหลังเป็ของตนเอง มิใช่คนประเภทชอบเอาเปรียบผู้อื่น หาใช่คนแก่ที่รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างสบายใจ
แค่มองญาญ่าที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดี ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงชราสั่งสอนมาดีนัก และเป็สาเหตุที่ทำให้ฮวาเหยียนยินดียื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกนาง
เมื่อเห็นความกดดันบนใบหน้าของหญิงชรา ฮวาเหยียนจึงเอ่ยอีกครั้งว่า “ท่านย่า ข้ายังมีอีกความคิดหนึ่ง ท่านโปรดรับฟังสักนิด... ข้า้าหารือเื่ขอความร่วมมือจากท่าน ตระกูลมู่ของข้ามีหลายปากท้องนัก โรงครัวต้องซื้อผักผลไม้ เนื้อสด และอื่นๆ มากมายทุกวัน ข้าได้ยินญาญ่าบอกว่ายามปกตินางมักเข้าสวนปลูกผักกับท่าน แล้วเอาไปขายที่ตลาดเล็กตอนเช้า ได้เงินเป็ค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่นำผักสดเ่าั้มาส่งให้ตระกูลมู่ของข้าเล่า? ตระกูลมู่จะให้ท่านราคางาม ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้ท่านประหยัดแรงได้มาก เมื่อเป็เช่นนี้ทุกเดือนท่านก็จะมีเงิน และเงินที่เหลือเก็บไว้ใช้ในครัวเรือนก็จะมากขึ้นด้วย...”
เชิงอรรถ
[1] มุดเข้าไปในปลายเขาควาย 钻牛角尖 (zuān niú jiǎo jiān) หมายถึง ดันทุรังหรือจริงจังเกินเหตุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้