หลิงเฉินและหลิงอวิ๋นตามหาหนิงมู่ฉืออยู่นาน ในที่สุดก็เจอ ทั้งสองคนจึงรู้สึกโล่งใจเป็อย่างมาก ทั้งสองคนมองเ้าม้าเป่าจูที่กำลังกินหญ้าอยู่ในโรงเลี้ยงม้าอย่างเอร็ดอร่อยพลางถอนหายใจออกมา
ด้านจ้าวซีเหอในขณะนี้กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเครียด มองน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวที่ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เพิ่งจะทำและนำมาให้ เขาขมวดคิ้วเป็ปมแน่น ขณะลุกขึ้นยืนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “เมิ่งเอ๋อร์ ข้าเคยบอกเ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ต่อไปไม่ต้องทำอาหารมาให้ข้าอีก”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ชะงักไปชั่วครู่ ประกายตาฉายแววผิดหวัง พร้อมกับเอ่ยอย่างน้อยใจ “เมิ่งเอ๋อร์แค่เห็นว่า่นี้ท่านทานไม่ค่อยลง จึงได้…”
เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวตอบ “ต่อไปอย่าได้ทำเื่ไร้สาระเช่นนี้อีก ข้าไม่มีวันชอบเ้า”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อปนร้าวรานใจ ก่อนจะวางถ้วยไว้บนโต๊ะ ก้าวเดินตรงเข้าไปหา “ซื่อจื่อ ท่านบอกข้ามาว่าข้าสู้หนิงมู่ฉือไม่ได้ตรงที่ใด! ตอนนี้นางจากไปแล้ว ไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกแล้ว!”
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไป ทว่ากลับถูกฉู่เมิ่งเอ๋อร์พุ่งเข้ามากอดจากทางด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยอย่างเ็ป “หรือท่านรังเกียจฐานะในอดีตของเมิ่งเอ๋อร์เ้าคะ”
เขาส่ายหน้าพลางปลดแขนนางออกจากตัว “ข้าไม่รู้ว่าข้าทำพลาดอย่างไรถึงทำให้เ้าเข้าใจผิด”
เอ่ยจบเขาเดินออกจากตำหนัก ตรงไปยังโรงพนัน ฉีอันเห็นเช่นนั้นรีบเดินตามไป
จ้าวซีเหอนั่งลงบนโต๊ะภายในโรงพนัน ก่อนจะสั่งสุรามาดื่มด้วยสีหน้าทุกข์ใจ ฉีอันที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่มองจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าเศร้าใจ
เมิ่งเคอที่นั่งอยู่อีกโต๊ะแย้มยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาทักทาย “ซื่อจื่อ ท่านเป็อันใดไป เหตุใดถึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนี้”
จ้าวซีเหอถอนหายใจออกมาคราหนึ่งโดยไม่ตอบคำถาม เมิ่งเคอไม่คิดมาก รินสุราใส่จอกก่อนจะยื่นไปชนกับจอกของจ้าวซีเหอ “ข้าจะดื่มเป็เพื่อนท่านเอง”
ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งหนิงมู่ฉือ นางมองวัดร้างที่ตั้งอยู่บนเขาหนานซานเบื้องหน้านาง นางมองวัดเก่าผุพังพร้อมกับขมวดคิ้ว นางเห็นกลุ่มขอทานที่นอนอยู่ในวัดกำลังถูกไล่ออกไป กลุ่มขอทานเ่าั้ส่งเสียงด่าออกมา หากก็ไม่อาจทำอันใดได้
นางมองหม้อใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัด นางเรียกสติตัวเองกลับคืนมาขณะเดินตรงไปที่หม้อใบนั้น ใช้กระบวยอันใหญ่คนน้ำที่กำลังเดือดพลางะโ “พวกเ้ารีบไปนำข้าวสารมา”
เด็กรับใช้แบกถุงข้าวสารเข้ามา เปิดถุงออกแล้วเทใส่ในหม้อ นางออกแรงคนข้าวสารจนเริ่มสุกบานออกเป็รูปดอกไม้ ส่งหลิ่นหอมจนผู้คนที่อยู่แถวนั้นมีสีหน้าตกตะลึง
ไม่นานก็มีผู้คนเดินเข้ามาล้อมนางเอาไว้ ทว่านางไม่ได้สนใจ สติยังคงจดจ่ออยู่กับโจ๊กในหม้อ นางมองโจ๊กในหม้อโดยไม่รู้เลยว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่
ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด จอมยุทธ์ผู้หนึ่งสะพายดาบที่หลังกำลังจ้องมองหนิงมู่ฉือไม่ละสายตา จอมยุทธ์ผู้นั้นเอามือกอดอก มุมปากยกเป็รอยยิ้มเ็า คิ้วตรง ดวงตาคมกริบ หน้าตาดูดีหมดจดจ้องมองหนิงมู่ฉือพร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจ “น่าสนใจ”
ครั้นหนิงมู่ฉือต้มโจ๊กเสร็จ เรียกเสียงอุทานอย่างตกตะลึงจากผู้คนที่มุงอยู่ได้เป็อย่างดี เห็นทุกคนมองเม็ดข้าวสีใสที่อยู่ในหม้อ นางยิ้มออกมา “โจ๊กของข้าหม้อนี้มีชื่อว่า โจ๊กเทพเซียน เป็โจ๊กที่คนในวังทานกัน”
“โจ๊กเทพเซียน? เหตุใดถึงชื่อนี้ หรือว่าทานแล้วจะสามารถเหาะขึ้นฟ้าได้” ขอทานผู้หนึ่งจ้องโจ๊กในหม้อไม่ละสายตาขณะเอ่ยถาม
“ทุกคนอย่าเบียดกัน ได้รับทุกคนแน่นอน” ทันทีที่นางเริ่มให้มีการแจกโจ๊ก ผู้คนมากมายก็หลั่งไหลเข้ามา จนนางต้องถอยหลังไปสองก้าวด้วยความหวาดกลัว นางถอยหลังจนไปสะดุดเข้ากับก้อนหิน ขณะที่กำลังจะล้มกลับถูกแขนทรงพลังคู่หนึ่งรับตัวเอาไว้ได้ทัน นางมองคนผู้นั้นอย่างขอบคุณ
คนผู้นั้นส่งยิ้มมาให้นาง “แม่นางยืนไหวหรือไม่”
สีหน้านางเปลี่ยนเป็แดงก่ำพร้อมกับรีบทรงตัวขึ้นยืน จากนั้นเอ่ยขอบคุณคนผู้นั้น “ขอบคุณจอมยุทธ์มาก” ทว่าคนผู้นั้นไม่แม้แต่จะตอบรับ หมุนตัวเดินหายไปจากสายตานางอย่างรวดเร็ว
หนิงมู่ฉือนั่งมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่งพร้อมกับพึมพำ “แปลกคนเสียจริง”
เพิ่งสิ้นเสียงนาง ทันใดนั้นเองคนผู้หนึ่งในเสื้อผ้าเก่าขาดๆ วิ่งตรงมายังนาง ก่อนจะะโออกมาว่า “สตรีผู้นี้คือเทพแม่ครัวคนปัจจุบัน รีบจับตัวนางเอาไว้เร็ว หากจับตัวนางได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีข้าวให้กินอีก”
นางมองผู้พูด รู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือคนบ้า นางออกวิ่งโดยไม่สนใจเื่ที่นางบอกแก่นายอำเภอว่าให้ส่งคนไปส่งนางที่เยี่ยนฉืออีก นางวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ในขณะที่ด้านหลังมีคนมากมายวิ่งตามมา
คนที่วิ่งตามมาด้านหลังวิ่งจนเหนื่อยหอบหายใจอย่างแรง ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความชอบอกชอบใจ “สตรีผู้นี้วิ่งเร็วดีจริง ข้าชื่นชอบสตรีที่มีนิสัยร้อนแรงเช่นนี้ที่สุด เ้ารีบมาให้ข้าหอมเสียดีๆ”
นางมองผู้พูดอย่างรังเกียจขณะยังคงวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด จนไปชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเข้า
คนผู้นั้นจ้องมองนางผาดหนึ่ง ก่อนจะมองกลุ่มขอทานที่วิ่งตามมาด้านหลัง คนผู้นั้นยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยหยอกเย้า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คุณชายอย่างข้าจะมีโอกาสได้เจอสถานการณ์วีรบุรุษช่วยสาวงามเช่นนี้กับเขาด้วย”
คนผู้นั้นรั้งนางให้ไปยืนด้านหลัง ก่อนจะจ้องมองกลุ่มขอทานที่วิ่งตามมาด้วยแววตาคมกริบ กลุ่มขอทานใหนีแตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง
หนิงมู่ฉือมองคุณชายที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างขอบคุณ “ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน ได้แต่ต้อง…”
“ได้แต่ต้องมอบร่างกายตอบแทน?” คุณชายผู้นั้นพูดพลางยิ้ม ทำให้ใบหน้าของหนิงมู่ฉือขึ้นสีแดงก่ำ “ไม่ใช่เ้าค่ะ ข้า้าจะพูดว่า ได้แต่ต้องทำอาหารตอบแทนท่าน!”
นางมีสีหน้าเขินอาย ่นี้ดวงนางคงไม่ดี แม้ยามออกมาทำความดี ยังมาเจอบุรุษหยอกเย้าเอาเสียได้!
คุณชายผู้นั้นจ้องมองหนิงมู่ฉือครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็แปลกใจ “เ้าคือสตรีที่ทำโจ๊กในวัดร้างเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่”
นางพยักหน้า มองบุรุษตรงหน้าอย่างพิจารณา ชายผู้นี้ไม่อาจเรียกได้ว่าสุภาพอ่อนน้อมเช่นสุภาพชน หากนำไปเทียบกับจ้าวซีเหอ หน้าตายังถือว่าห่างไกลกันมาก แต่ก็ถือว่ามองแล้วสบายตาใช้ได้
ทันใดนั้นเองคนผู้นั้นยื่นมือมาจับมือนางพร้อมกับหัวเราะ นางถึงกับคาดไม่ถึง “เดิมทีข้าคิดจะส่งคนไปลักพาตัวเ้ามา ไม่คิดเลยว่า เ้าจะเดินเข้ามาในกำมือข้าเอง”
นางได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ตื่นใ พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะจับมือนางแน่นมาก แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็สตรีที่เคยเรียนวิทยายุทธมาบ้าง นางชักเท้าถีบคนผู้นั้นจนกระเด็นออกไป “ในเมื่อเ้าไม่เกรงใจ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
คนผู้นั้นจ้องมองนางอย่างเคียดแค้น กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเ้าเอาไว้ แต่เ้ากลับไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้