เฝิงเจี่ยนยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน กล่าวหยอกล้อว่า “เ้าจะเย็บเพิ่มตอนนี้ก็ยังทันนะ”
“แหม ไม่ได้หรอก หากส่งกระต่ายร้อยตัวไปขายจริงๆ ก็คงจะขายได้แค่ตัวละไม่กี่ตำลึงกระมัง”
เสี่ยวหมี่ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น นางไม่ได้ละโมบขนาดนั้นจริงๆ เสียหน่อย
“อีกเดี๋ยวท่านต้องเตือนข้าด้วยนะเ้าคะ ว่าเมื่อเถ้าแก่เฉินกลับไปแล้วต้องบอกเขาให้ส่งผ้าทำอาภรณ์มาให้มากหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ากระต่ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีขนาดนี้ ให้ค่าแรงพวกพี่สะใภ้น้อยเกินไป ตอนนี้จะอย่างไรก็ต้องตอบแทนพวกนางเพิ่มเติม นี่ก็ใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าจะมอบผ้าให้พวกนางคนละพับเพื่อทำอาภรณ์รับฤดูกาลใหม่ก็แล้วกัน”
เฝิงเจี่ยนชอบนิสัยใจกว้างเช่นนี้ของเสี่ยวหมี่เป็ที่สุด นางจิตใจดีแต่ก็ไม่ได้ใจอ่อน เมื่อมีของดีๆ ก็ไม่เคยหลงลืมคนที่คอยให้ความช่วยเหลือนางเลย
“ได้ เ้าเองก็ตัดชุดใหม่และซื้อเครื่องประดับใหม่ๆ ด้วยสิ”
“ลองดูก่อนก็แล้วกัน แต่บิดาข้าและพวกท่านนั่นแหละที่ควรจะต้องตัดอาภรณ์เนื้อบางเพิ่มแล้ว และยังต้องตัดเย็บชุดทำงานหนาๆ เพิ่มอีกสองสามตัว...”
ทั้งสองสนทนากันอย่างยิ้มแย้ม ราวกับสามีภรรยาปรึกษากันเื่ในบ้านไม่มีผิด
แต่คนทั้งสองกลับไม่รู้ตัว ต่างจากเกาเหรินที่วิ่งมาจะเร่งให้เสี่ยวหมี่เริ่มทำอาหารได้แล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็อดกลอกตาไม่ได้
เวลานี้ต่อให้เขาจะตะกละแค่ไหนก็เข้าไปไม่ได้ นายท่านของเขาน่ากลัวเกินไป ถึงอย่างไรชีวิตน้อยๆ ก็ยังสำคัญกว่าขนมไข่ขาวนึ่ง
เถ้าแก่เฉินเป็คนฉลาดและรับผิดชอบในหน้าที่ เขานำขนมไข่ขาวนึ่งที่เสี่ยวหมี่แบ่งไว้ให้หนึ่งกล่องกลับเข้าเมืองไป เพิ่งจะพ้นยามเที่ยงก็ให้เด็กรับใช้ขนผ้าหลากสีสันมาให้เสี่ยวหมี่ที่หมู่บ้าน ผ้าไหมสีสันสดใส ส่วนผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดส่วนใหญ่เป็สีเรียบๆ ผ้าทั้งสองชนิดล้วนเป็ผ้าชั้นดี
เด็กรับใช้ยิ้มแย้มท่าทีนอบน้อม “แม่นางลู่ เถ้าแก่ของเราบอกแล้วว่า ท่านใช้เท่าไรก็จดจำนวนมาก็พอขอรับ ที่เหลือรอครั้งหน้าพวกเรามาตัดผักค่อยขนกลับไปพร้อมกัน”
“ได้ ช่วยขอบคุณเถ้าแก่เฉินแทนข้าด้วยนะเ้าคะ”
เดิมทีเสี่ยวหมี่ยังรู้สึกว่าผ้าพวกนี้เหมือนจะมากเกินไป ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจว่าเถ้าแก่เฉิน้าให้นางเลือกผ้าดีๆ ได้ตามใจก่อน จึงพอใจเป็อย่างยิ่ง นึกถึงว่าฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว นางยังต้องกังวลเื่เสบียงอาหารภายในบ้านอยู่เลย ยามนี้ผ่านไปไม่กี่เดือน ก็ราวกับครอบครัวมีอันจะกินก็ไม่ปาน สามารถได้สิทธิ์เลือกเนื้อผ้าดีๆ ก่อนผู้อื่นด้วย
บางทีนึกดูแล้วก็ราวกับฝันตื่นหนึ่ง แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกกังวลหรือไม่มั่นคงแต่อย่างใด นางมีวันนี้ได้เพราะความพยายามและการขบคิดอย่างดีทุกย่างก้าว
“ท่านลุงหยาง ช่วยข้าส่งขนมไข่ขาวนึ่งสองก้อนนี้ไปรับรองพี่ชายคนนี้หน่อยเถอะ ข้าจะไปเลือกผ้าสักหน่อย บ้านเราจะได้สวมเสื้อใหม่กันทั้งบ้าน”
“ได้เลย”
ท่านลุงหยางนำเด็กรับใช้ร้านผ้าออกไป เดินผ่านเกาเหรินที่ปกป้องอาหารของเขาเต็มที่ ก่อนจะแย่งขนมไข่นึ่งมาให้เด็กรับใช้ร้านผ้าที่รับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
คนสกุลลู่ทราบข่าวว่าเด็กรับใช้ร้านผ้ามา ทั้งยังเห็นว่าเป็ยามเย็นมากแล้ว จึงพากันกลับบ้าน
เสี่ยวหมี่โบยบินไปบนกองผ้าราวกับผีเสื้อตัวน้อยก็ไม่ปาน นางเลือกผ้าพับนี้มาทาบกับร่างของบิดา ร่างของเฝิงเจี่ยน ยุ่งจนเหงื่อซึมบนหน้าผากแต่กลับยิ้มแย้มไม่หุบ
บนโต๊ะอาหารเย็นของสกุลลู่ในวันนี้มีเพียงอาหารง่ายๆ ที่น้อยครั้งจะเป็ มีแค่เนื้อหมูสับผัดเข้มข้นราดเส้นบะหมี่แห้ง
แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร แม้แต่เกาเหรินยังอดทนยืนให้เสี่ยวหมี่เอาผ้ามาวัดตัวนิ่งๆ ทั้งยังชอบเสนอความเห็นของตนเองขึ้นมาบ่อยๆ
“ข้าไม่ชอบเสื้อที่คอเสื้อสูง”
“ข้าชอบสีแดงสด”
น่าเสียดาย สุดท้ายถูกเสี่ยวหมี่ปฏิเสธอย่างเผด็จการ
“อยู่นิ่งๆ ไม่ได้จะแต่งงานเสียหน่อย จะสวมอาภรณ์สีแดงสดทำอะไรทั้งวันทั้งคืน ลองดูสีเขียวใบบัวนี่สิเหมาะกับฤดูใบไม้ผลิแค่ไหน”
เรียกได้ว่าครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง
ส่วนบิดาลู่นั้นในมือถือตำราไม่วาง แต่กลับไม่ยอมเข้าห้องไปเสียที ชอบเหลือบตามามองคนทั้งคู่บ่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าหยางยิ้มตาหยี ในปากคาบกล้องยาสูบ พ่นควันจางๆ ออกมา
รอจนคนทั้งบ้านวัดตัวเลือกผ้ากันเสร็จแล้ว ท้องฟ้าก็มืดสนิท
เสี่ยวหมี่คิดถึงพี่รองและพี่สามที่ตอนนี้ไม่อยู่บ้านเป็อย่างมาก เถ้าแก่เฉินให้สัญญาว่าตอนเขาออกไปทำการค้ารอบหน้าซึ่งจะผ่านสำนักศึกษา เขาจะเข้าไปสืบเื่ความเป็อยู่ของคนทั้งสองมาให้ นอกจากนี้พี่รองลู่เดิมทีก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ เขาไม่รังแกผู้อื่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะถูกผู้อื่นรังแก
ดังนั้นเพียงไม่นานนางจึงลืมเื่นี้ไป
ถึงแม้ยามนี้ตอนกลางวันจะมาถึงเร็วขึ้นและอากาศในหุบเขาจะอบอุ่นขึ้นมากแล้ว แต่พรานในหมู่บ้านเขาหมีนั้นเชื่อฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ พวกเขาจะยังไม่ขึ้นเขาไปใน่เวลานี้
เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็่เวลาที่พวกสัตว์ทั้งหลายกำลังขยายพันธุ์ หากขึ้นไปล่าสัตว์เสียั้แ่ตอนนี้ มันก็อาจสูญพันธุ์ได้ในอนาคต
ดีที่ปีนี้มีสกุลลู่คอยช่วย คนหมู่บ้านเขาหมีจึงปลูกข้าวโพดกัน นอกจากนี้่เช้าพวกผู้ชายจะไปช่วยสกุลลู่ทำสวน ซึ่งสกุลลู่ก็เลี้ยงข้าวพวกเขา พวกเด็กๆ ไปเรียนที่ห้องเรียนสกุลลู่ก็อิ่มท้องกลับบ้านมาทุกวัน ทำให้เสบียงอาหารในบ้านเหลืออยู่มากพอ พวกผู้หญิงและคนชราในบ้านจึงกินอิ่มได้อย่างสบายใจ
เช่นนี้เอง คนในหมู่บ้านเขาหมีจึงไม่ผอมโซอดอยากอีกต่อไป กลับอวบอ้วนใบหน้าแดงปลั่งกันทุกคน
เนื่องจากทั้งชายหญิงล้วนค่อนข้าง ‘ว่าง’ หลังปีใหม่มานี้คนในหมู่บ้านเขาหมีจึงได้ฟังข่าวดีจากคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวหลายคู่แล้ว
ตอนที่เสี่ยวหมี่เรียกให้สะใภ้แต่ละบ้านมาเลือกผ้าที่บ้านนาง ก็ได้ยินท่านป้าหลิวเล่าให้ฟัง
เดิมทีเื่เช่นนี้ไม่ควรเอามาเล่าให้แม่นางน้อยอย่างเสี่ยวหมี่ฟัง แต่สกุลลู่ไร้นายหญิงของบ้าน และเสี่ยวหมี่ก็เป็ผู้ดูแลบ้านในยามนี้ ยามปกตินางเฉลียวฉลาดไม่เหมือนเด็กคนหนึ่งแม้แต่น้อย ท่านป้าหลิวจึงเล่าให้นางฟัง เตรียมเผื่อไว้เพราะตามธรรมเนียมแล้วพวกนางจะต้องเตรียมของขวัญไปแสดงความยินดี
เสี่ยวหมี่รู้สึกดีใจแทนพี่สะใภ้ที่ตั้งครรภ์สองคนนั้น จากนั้นก็คิดถึงพี่ชายสามคนของนางที่ยังไม่ได้แต่งงาน คำนวณดูแล้ว พี่ใหญ่ลู่ก็อายุสิบเก้าแล้ว เหมาะจะสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว
ถึงแม้จะบอกว่าต้องไว้ทุกข์ให้มารดายี่สิบเจ็ดเดือน แต่ชาวบ้านในชนบทส่วนใหญ่เมื่อผ่านไปครึ่งปีก็จะอนุญาตให้ลูกหลานแต่งงานได้แล้ว อย่างไรเสียคนก็ตายไปแล้ว คนที่ยังอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป
เสี่ยวหมี่เก็บเื่นี้เอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้ตรงหน้านางมีเื่รีบร้อนกว่าต้องทำ
“พี่สะใภ้ทุกท่าน วันนี้ที่เรียกพวกท่านมาเพราะมีข่าวดีจะบอก กระต่ายพวกนั้นที่ถูกส่งไปเมืองหลวงขายได้ราคาดีมาก ก่อนหน้านี้ข้าเคยสัญญาไว้แล้วว่าจะมอบผ้าสวยๆ ให้พวกพี่สะใภ้เป็ของตอบแทน วันนี้เถ้าแก่เฉินส่งผ้ามาให้มากมายหลากหลายสีสัน พวกท่านรีบมาเลือกเร็วเข้า ฤดูใบไม้ผลิแล้วควรจะตัดชุดใหม่สักชุด”
“ส่งกระต่ายไปขายหมดแล้วหรือ”
“เมื่อคืนเรายังคุยกันอยู่เลย เกรงว่ากระต่ายพวกนั้นจะขายไม่ออก เสียดายต้นทุนที่เสี่ยวหมี่ต้องเสียไป คิดไม่ถึงว่าจะขายออกไปแล้วจริงๆ นี่เป็เื่ดียิ่งนัก”
“นั่นสิ นั่นสิ เมื่อวานพ่อของโก่วเซิ่งเอ๋อร์จับกระต่ายตัวเป็ๆ กลับมาได้ ข้ายังบ่นอยู่เลยว่า ต้นทุนของกระต่ายที่เราเย็บกันตัวเดียวยังมากพอจะซื้อกระต่ายเป็ๆ สิบตัวได้เลยด้วยซ้ำ”
พวกผู้หญิงไม่ได้ถามว่ากระต่ายขายไปได้ในราคาเท่าไร เพียงแค่รู้สึกดีใจแทนเสี่ยวหมี่ที่ไม่ขาดทุน
นี่คือความมีน้ำใจของคนในหมู่บ้าน ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอยู่เสมอ นี่จึงเป็เหตุผลที่เสี่ยวหมี่ยินดีจะช่วยยกระดับชีวิตของคนในหมู่บ้านไปพร้อมๆ กัน
นางยื่นมือออกไปเปิดกล่องออกแล้วกวักมือเรียก “ทุกท่านอย่าเอาแต่สนทนากันอยู่เลย รีบเข้ามาเลือกเร็วเข้า ของบ้านข้าเลือกเสร็จไปแล้ว พี่สะใภ้ชอบสีไหนลายไหนก็หยิบไปได้เลยเ้าค่ะ พี่สะใภ้ที่ตั้งครรภ์อยู่ก็เลือกผ้าเนื้อนิ่มไปเพิ่มอีกผืนสองผืนด้วยนะเ้าคะ เตรียมเอาไว้ให้หลานๆ ที่ยังไม่คลอดออกมา”
ทั่วทั้งห้องจุดตะเกียงสว่างไสว ยิ่งสะท้อนสีสันของเนื้อผ้าให้สดใสยิ่งขึ้น พวกผู้หญิงจึงตื่นเต้นกันมาก
“โอ้โห มีมากขนาดนี้เชียว”
“ลายนี้งามนัก เป็ผ้าแบบเดียวกับที่ข้าเห็นหญิงร่ำรวยคนหนึ่งในเมืองสวมใส่”
“นี่คงแพงมากกระมัง” สะใภ้บางคนก็รู้ความเป็อย่างยิ่ง ลังเลไม่กล้ายื่นมือออกไปหยิบ “เสี่ยวหมี่ เ้าเก็บเอาไว้ใส่เองเถิด พวกเรามีเสื้อผ้าเยอะแล้ว อีกอย่างยามปกติเ้าก็ช่วยเหลือเรามากพอแล้ว”
“พี่สะใภ้ ข้าให้ท่านหยิบท่านก็หยิบไปเถิด ตัวข้านั้นตระหนี่ยิ่งนัก หากว่ากระต่ายเ่าั้ขายไม่ได้กำไร ข้าคงยึดค่าแรงของพวกท่านกลับมาแล้วด้วยซ้ำ จะมาให้รางวัลพวกท่านเช่นนี้ได้อย่างไร”
เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้าง นางหยิบผ้าไหมลายดอกสนขึ้นมาทาบลงบนร่างท่านป้าหลิว “ท่านป้า ท่านเอาผ้านี้ไปตัดเป็เสื้อ ส่วนท่อนล่างก็สวมกระโปรงสีน้ำตาล รับรองว่าจะต้องออกมาดูดีแน่นอน”
ท่านป้าหลิวจะไม่ชอบผ้าไหมเนื้อลื่นพวกนี้ได้อย่างไร อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “ฮ่องเต้ของเราทรงพระปรีชายิ่งนัก หลายปีก่อนมีราชโองการ ไม่แบ่งแยกสูงต่ำ ให้ทุกคนมีสิทธิ์สวมผ้าไหมได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เสี่ยวหมี่ใจดีแค่ไหนพวกเราก็ไม่มีโอกาสสวม”
เป็ครั้งแรกที่เสี่ยวหมี่ได้ยินอะไรเช่นนี้ แต่นางก็ไม่กล้าถามมากเพราะกลัวจะเปิดเผยตัวตนไปมากกว่านี้ จึงหันไปเลือกอาภรณ์ให้พี่สะใภ้คนอื่น
ยามปกติพวกนางก็เลือกซื้อแต่ผ้าที่เนื้อััค่อนข้างแข็งมาตัดเสื้อผ้า เพราะล้วนเป็ครอบครัวพรานป่าที่ไม่ได้มีเงินทองมีชีวิตสุขสบาย
ยามนี้ได้มาอยู่ท่ามกลางกองผ้าเนื้อดีสีชัดลายสวย พวกผู้หญิงรักสวยรักงามจึงพากันออกความเห็นกันไม่ขาดปาก ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าตอนปีใหม่เสียอีก
เสี่ยวหมี่เลือกผ้าสีเขียวอ่อนอมฟ้าเพื่อตัดเป็เสื้อตัวใหม่ให้ตนเอง ส่วนท่อนล่างตั้งใจจะสวมเข้าคู่กับกระโปรงจีบรอบสีขาว
กุ้ยจือเอ๋อร์แย่งผ้าไปทันที ยิ้มกล่าวว่า “เ้าอย่าทำให้ผ้าดีๆ เสียของเลย ยกให้เป็หน้าที่ข้าเถอะ”
“ได้สิ พี่สะใภ้ฝีมือดี วันหน้าข้าออกผ้าพี่สะใภ้ออกแรง เสื้อผ้าของหลานๆ ในท้อง ในอนาคตข้าจะขอเหมาเอง”
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่เกรงใจ คนอื่นๆ ได้ยินก็พากันหัวเราะ แล้วก็โวยวายว่า “แหม ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
สนทนากันอยู่พักหนึ่ง ผ้าก็เลือกเสร็จกันแล้ว เริ่มมีสะใภ้บางคนแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามว่า “เสี่ยวหมี่ ในเมื่อกระต่ายนั่นขายได้กำไรดี พวกเราควรจะทำเพิ่มหรือไม่?”
“ไม่ต้อง กระต่ายของเราขายให้กับบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง สิ่งที่พวกนางชอบจริงๆ ก็คือความแปลกใหม่หายาก หากว่าเป็ของที่มีขายอยู่เกลื่อนท้องตลาด วันหน้าพวกนางก็คงไม่ซื้อแล้ว”
เสี่ยวหมี่จัดเก็บผ้าที่เหลืออยู่ลงกล่องให้เรียบร้อย “ข้าตกลงกับพ่อค้าทางนั้นแล้วว่า ทุกสามเดือนจะออกตุ๊กตาแบบใหม่ไปขาย เช่นนี้พวกเราเองก็ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ต่อไปทุกสามวันหลังมื้อเย็น พวกพี่สะใภ้ค่อยมารวมตัวกันทำงานเย็บปัก พลางสนทนาสัพเพเหระกันไปด้วยอย่างไม่ต้องรีบร้อนก็พอแล้ว”
“ได้ จะอย่างไรที่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ กลางคืนยาวนาน แบ่งเวลามาทำงานเย็บปักเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย”
“แหม เ้าอย่าพูดเชียวว่ากลางคืนยาวนานไม่มีอะไรทำ หากว่างจริงๆ ท้องเ้าจะโตขึ้นมาได้อย่างไร”
พวกผู้หญิงสนทนาหยอกล้อกัน
เสี่ยวหมี่แสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยแทรกแต่อย่างใด แต่สะใภ้คนนั้นที่พูดจาไม่ระวังถูกท่านป้าหลิวถลึงตาใส่ จึงรีบเอามืออุดปากแล้วหัวเราะออกมาไม่หยุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้