ฮวาเหยียนและหยวนเป่าตามจีอู๋ซวงไปยังสถานที่ซึ่งคล้ายคลังเก็บสมบัติ พวกนางเห็นจีอู๋ซวงกดปุ่มกลไกบนผนังสองสามครั้ง เกิดเสียงดังขึ้น ผนังพลันเปิดกว้างเผยให้เห็นพื้นที่ภายในที่เหมือนห้องเก็บของ
ว้าว...
ั์ตานางอาบย้อมแสงสีทอง เปล่งประกายจนมิอาจลืมตาขึ้นได้
“แม่นางเหยียน พวกข้านับเงินเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว เ้าสามารถรับไปได้ทุกเมื่อ”
จีอู๋ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มวิบวับ ท่าทางดูมั่งคั่งร่ำรวย
แขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ของหออู๋ิมีสิทธิพิเศษเช่นนี้ที่ใดกัน สามารถมาถึงคลังเก็บสมบัติของหออู๋ิได้ แม้จะเป็เพียงห้องขนาดเล็ก แต่ผลกระทบต่อผู้คนนั้นยิ่งใหญ่นัก
จีอู๋ซวงเป็คนฉลาด เขามองออกนานแล้วว่าอีกฝ่ายคลั่งไคล้ในเงินตรา ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ผลลัพธ์คือการได้เห็นฮวาเหยียนตกตะลึงไม่เบา
“มากมายนัก เงินทองมากมายเหล่านี้...เป็ของข้าทั้งหมด...”
ฮวาเหยียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าแสงสีทองที่เปล่งประกายตรงหน้าทำให้ดวงตาของนางเจ็บ นึกอยากขึ้นไปนอนกลิ้งบนกองเงินนี้เสียจริง
นางก้าวไปข้างหน้า ััทองคำแท่งนี้ ััทองคำแท่งนั้น ท่าทางชื่นชอบจนมิอาจทนไหว
เงินกองนี้พูนจนเหมือนูเาขนาดย่อมเลยทีเดียว...
“ล้วนเป็ของเ้าทั้งหมด”
เมื่อจีอู๋ซวงเห็นท่าทีหลงใหลในเงินตราของฮวาเหยียน เขาจึงเสริมประโยคหลังเพิ่มเข้ามา
เฮอะ...
คำกล่าวนั้นทำให้ฮวาเหยียนกลับคืนสู่ท่าทางเดิมของตน เป็ของนางทั้งหมดหรือ? ผิดแล้ว...กระทั่งทองคำสักแท่งก็ไม่ใช่ของนาง ทว่าเป็ขององค์รัชทายาทสารเลวนั่น
ใจเจ็บ กายเจ็บ เจ็บไปทั้งร่าง
ทองคำและเงินมากถึงเพียงนี้ แต่ทั้งหมดกลับมิใช่ของนาง ฮวาเหยียนรู้สึกว่าหัวใจของนางมีโลหิตหยดซึม
แต่จีอู๋ซวงกลับเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ กาใดน้ำไม่เดือดหยิบกานั้น เพราะเขาทำให้นางเป็ทุกข์ยิ่ง
หยวนเป่าเห็นว่ามารดาเริ่มหายใจแรง แสดงท่าทีกราดเกรี้ยวราวกับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง เด็กน้อยจึงรีบเดินไปข้างหน้า จับมือของฮวาเหยียนเพื่อเป็การปลอบโยน
ฮวาเหยียนหลับตาแน่น บังคับตนเองมิให้มองดูแท่งทองคำในห้องนี้ นางจับมือบุตรชายของตน หมุนกายกลับและเดินออกไปข้างนอกทันที
“นี่ แม่นางเหยียน เ้าจะไปที่ใด? ไม่พูดเื่เงินแล้วหรือ ข้าเรียกคนมาช่วยเ้าขนไปที่จวนได้นะ”
“เก็บใส่กล่องให้ข้า อีกสักครู่ข้าจะมาขนไป!”
ทันทีที่โยนคำกล่าวนี้ทิ้งท้าย ฮวาเหยียนก็จูงหยวนเป่าออกจากหออู๋ิโดยไม่เหลียวหลัง สามารถเห็นได้จากเงาของนางว่ามีท่าทีเปี่ยมด้วยความโมโห ทั้งขยับก้าวอย่างรีบเร่ง
“ท่านแม่ พวกเราจะไปที่ใดหรือขอรับ?”
หยวนเป่าไม่เข้าใจจึงเอ่ยถามออกมา
เพียงเห็นว่ามารดาของตนมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่ง นางมุ่งไปทิศทางเดียวโดยไม่ลังเล
บรรยากาศของนางดุร้าย ราวกับกำลังจะบุกไปตีผู้ใดสักคน
“ไปจวนไท่จื่อ”
“หา? ไปทำอันใดที่จวนไท่จื่อหรือขอรับ?”
หยวนเป่ากะพริบตาพลางถามด้วยท่าทางน่าเอ็นดู เขาไม่ปรารถนาจะไปที่จวนไท่จื่อเพื่อพบองค์รัชทายาทสารเลวผู้นั้น เขาไม่ชอบคนผู้นั้น เพราะคนผู้นั้นกลั่นแกล้งท่านแม่
“หึ...”
สิ่งที่ตอบหยวนเป่ากลับมาคือรอยยิ้มเ็า
ตามมาด้วยฮวาเหยียนที่กล่าวว่า “ไปหาเื่ให้องค์รัชทายาทสารเลวนั่นอยู่อย่างมิเป็สุข”
ใช่แล้ว ไปเพื่อทำให้ตี้หลิงหานอยู่อย่างมิเป็สุข การเก็บเงินจำนวนสามล้านตำลึงลงกล่องอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูป เมื่อนางมองผู้คนช่วยกันเก็บเงินเ่าั้พลางคิดว่าเงินทั้งหมดนี้มิใช่ของตน นางก็ใกล้จะะเิตนเองจนตายแล้ว สุดท้ายจึงฉวยโอกาสใช้เวลานี้ไปยั่วโมโหตี้หลิงหานสักสองสามคำ หากสามารถทำให้เขาอึดอัดใจ นางคงสบายใจขึ้นไม่น้อย
หยวนเป่า “...!” ท่านแม่ ท่านจะก่อเื่อีกแล้วหรือ!
ทว่าหยวนเป่าย่อมรู้ถึงอารมณ์ของมารดาดี หากไม่ให้นางได้ระบายสักหน่อย จิตใจของนางคงรู้สึกอึดอัดหดหู่
เฮ้อ ท่านแม่อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ข้าจะทำอันใดได้? ทำได้แค่ตามใจนางเท่านั้น
...
การปฏิบัติของจีอู๋ซวงที่มีต่อฮวาเหยียนนับว่าดียิ่ง เมื่อเห็นว่านางเดินจากไปอย่างก้าวร้าว เขายังเอาอกเอาใจโดยการให้นางยืมม้าของหออู๋ิ ภายหลังเมื่อเห็นว่ารถม้าวิ่งตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จีอู๋ซวงก็เผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก
เพราะทิศทางนั้นคือจวนไท่จื่ออย่างไรเล่า
กล่าวตามตรงว่าเขาเป็คนยุ่งเื่คนอื่นเพราะไม่กลัวบานปลาย [1]
แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง คือเขารู้สึกว่าอาหานมักจะเมินเฉยต่อสตรี มีแค่คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นี้ที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรงของอีกฝ่ายได้ ไม่แน่ว่าบางทีทั้งสองคนอาจต้องใจกันขึ้นมา ดังนั้นเขาเพียงสร้างโอกาสให้น้องชายผู้นี้เท่านั้น...
รถม้ามาถึงจวนไท่จื่อและตรงไปที่ประตูหลัก เสียงทุบดังราวกับจะพังประตูจวนก็มิปาน เหมือนคนที่มาหาเื่ไม่มีผิด ทว่าเพราะวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของฮวาเหยียนในครั้งก่อน ทำให้ทุกคนไม่ว่าตำแหน่งสูงหรือต่ำล้วนรู้จักนางดี
มิเช่นนั้นทหารเฝ้าประตูผู้ฉลาดเฉลียว จะรีบร้อนเข้าไปรายงานผู้เป็นายทันทีที่เห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่หรือ
ยามนี้เป็เวลาเที่ยงวัน ตี้หลิงหานกำลังเสวยสำรับมื้อกลางวันอยู่ เมื่อได้ยินรายงานจากข้ารับใช้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่? นางมาด้วยเื่ใด?”
อั้นจิ่วที่ยืนอยู่ข้างหลังตี้หลิงหานพลันกล่าวว่า “หรือนางจะมามอบเงินให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ?”
“หึ...ที่แท้ก็รอไม่ไหวแล้ว”
ตี้หลิงหานยิ้มเย็น มิได้วางตะเกียบในมือลง พูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นก็เชิญนางเข้ามา ข้าเองก็อยากเห็นว่านางจะทำอันใด”
...
นับเป็ครั้งที่สองที่ฮวาเหยียนและหยวนเป่าเข้าจวนไท่จื่อ คราก่อนพวกนางบุกมาอย่างเร่งรีบ ทว่าครั้งนี้พวกนางสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพระหว่างทางได้
กล่าวไปแล้วตระกูลมู่ก็เป็ตระกูลที่มั่งคั่ง แต่ยังถือว่าด้อยกว่าจวนไท่จื่ออยู่มาก
ตลอดทาง ต้นหญ้าและต้นไม้ทุกต้นในจวนล้วนเลิศล้ำงดงาม มิต้องเอ่ยถึงเรือนต่างๆ ที่วิจิตรตระการตา ศาลาคลายร้อนและทะเลสาบ ูเาจำลอง สวนหิน ความเรียบง่ายและหรูหราแฝงอยู่ในทุกๆ ที่
ความรู้สึกอิจฉาในหัวใจของฮวาเหยียนะเิออกมาโดยไม่รู้ตัว
ดูโครงสร้างของจวนไท่จื่อ ดูไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่บนศาลาคลายร้อน ดูปลาจิ๋นหลี่สีแดงที่ว่ายอยู่ในทะเลสาบ และดูกล้วยไม้ล้ำค่าในสวนเถิด...
องค์รัชทายาทตี้หลิงหานผู้นี้คงเป็คนโลภที่ไม่รู้จักพอ แค่ดอกบัวพันปีดอกเดียว กลับบีบให้นางต้องจ่ายเงินถึงสามล้านตำลึง มิรู้ว่าเขาเบียดเบียนผู้อื่นมามากมายเท่าใดแล้ว
ฮวาเหยียนลอบด่าตี้หลิงหานในใจอีกครา
ฮวาเหยียนกับหยวนเป่าถูกพาไปหาตี้หลิงหาน ก่อนที่พวกนางจะพบว่าตี้หลิงหานกำลังเสวยสำรับมื้อกลางวันอยู่ บนโต๊ะมีอาหารอยู่สี่จาน เป็อาหารมังสวิรัติทั้งหมด เต้าหู้ผลชิ่งหนึ่งจาน ผัดมันเทศหนึ่งจาน และอาหารเรียกน้ำย่อยอีกสองจาน
เขานั่งหลังตรงบนเก้าอี้ สวมชุดผ้าปักลายเมฆาซึ่งทำให้รูปร่างสูงโปร่ง คิ้วตาอันหล่อเหลาและหยิ่งยโสของเขาดกดำราวกับถูกวาดด้วยหมึกจากปลายพู่กัน งดงามดั่งโอรส์
เมื่อฮวาเหยียนมาถึง ตี้หลิงหานก็วางชามในมือลง เขาหยิบผ้าไหมเช็ดหน้ามาเช็ดมือ ทุกการเคลื่อนไหวแสดงถึงความสง่างามอย่างผู้ที่ได้รับการอบรม จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเ็ามิแยแสของเขาเหลือบมองมาที่ฮวาเหยียน “คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ สตรีที่ยังมิได้ออกเรีอนเช่นเ้ากลับผลีผลามวิ่งมาที่จวนไท่จื่อของข้าเช่นนี้ แม้เ้าไม่้าชื่อเสียงของเ้า แต่เปิ่นกงยัง้าอยู่”
ตี้หลิงหานเปิดปากพูด เพียงคำแรกก็มิใช่คำที่ดีนัก
นี่คือการกล่าวโดยนัยว่าฮวาเหยียนไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ วิ่งปรี่มาถึงจวนของบุรุษ
ทันทีที่ฮวาเหยียนเห็นตี้หลิงหาน เส้นประสาททั้งหมดในร่างกายของนางก็ขมวดเกร็ง นางเข้าสู่สภาวะการต่อสู้ขั้นสุด เมื่อนางได้ยินตี้หลิงหานกล่าววาจากระทบนางเช่นนี้ นางก็พ่นลมหายใจเ็า กลอกตาพลางกล่าวว่า “พระองค์ตรัสเช่นนี้ช่างน่าขันนัก สิ่งใดเรียกว่าสะอาดก็คือสะอาด ขุ่นมัวก็คือขุ่นมัว [2] คนมีสมองควรรู้ว่าเื่ของหม่อมฉันกับพระองค์ย่อมมิอาจเป็ไปได้เพคะ”
ฮวาเหยียนกล่าวยิ้มๆ
น่าเสียดายที่รอยยิ้มของนางไปไม่ถึงดวงตา
หลังกล่าวจบคำก็เห็นดวงตาที่สดใสของนางค่อยๆ หันมองมา ก่อนพูดต่อว่า “พระองค์ทรงปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้หรือเพคะ? แขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงประตู แม้แต่ชาสักถ้วยก็ไม่มีให้? จวนไท่จื่อไร้กฎระเบียบเยี่ยงนี้เป็ปกติหรือเพคะ?”
“หึ คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ เปิ่นกงมิได้ปิดประตูมิต้อนรับเ้าเป็คราแรก ข้าไว้หน้าให้ท่านอ๋องมู่แล้ว ทว่าเ้าเล่า? นับเป็แขกผู้มีเกียรติจำพวกใด?”
เชิงอรรถ
[1] ยุ่งเื่คนอื่นเพราะไม่กลัวบานปลาย 看热闹不嫌事大 (kàn rè nào bú xián shì dà) หมายถึง คนที่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่น ไม่เพียงยุ่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่มักทำให้เื่ราวบานปลาย เนื่องจากคิดว่าไม่ใช่เื่ของตัวเอง
[2] สิ่งใดเรียกว่าสะอาดก็คือสะอาด ขุ่นมัวก็คือขุ่นมัว 清者自清, 浊者自浊 (qīng zhě zì qīng, zhuó zhě zì zhuó) หมายถึง มือสะอาดไม่จำเป็ต้องล้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้