รอผู้กำกับสั่ง เทกนี้ผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ ฟู่อันเพิ่งจะพาเจียงไป๋มาพบผู้กำกับ
“ผู้กำกับ ท่านนี้ก็คือคุณเจียงคนเขียนบทที่มาใหม่ เขาเป็คนเขียนบทหนังโหด เลว ดี!”
พอมาถึงฟู่อันก็ยิ้มพลางพูดพร้อมโค้งตัวให้ความเคารพ เขาพาเจียงไป๋มาพบกับผู้กำกับเฉิงเต้าหยุน
ปีนี้เฉิงเต้าหยุนอายุสี่สิบกว่าปี แต่เพราะทำงานหนักมาหลายปี จอนผมก็เริ่มขาวแล้ว ิับนหน้าก็แห้งกร้านมาก ดูแล้วไม่เหมือนกับอายุสี่สิบกว่า อย่างน้อยก็น่าจะห้าสิบกว่า
แต่ตัวเขากล้าหาญเป็อย่างมาก พอเห็นเจียงไป๋ก็ตะลึงงันแล้วหัวเราะก่อนกล่าวว่า “เดิมทีฉันคิดว่าคนที่เขียนเื่ราวอย่างนี้ออกมาได้อย่างน้อยก็น่าจะอายุพอๆ กับฉัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังหนุ่มขนาดนี้ ไม่ง่าย ไม่ง่ายเลย! ใช่แล้ว เสี่ยวไป๋ เทกเมื่อครู่นายก็เห็นแล้ว เป็อย่างไรบ้าง?”
“ดีมาก พอๆ กับที่ผมคิดไว้ พูดตรงๆ ก่อนที่ผมจะมา ยังกลัวว่าจะแสดงออกมาได้แย่กว่าที่ผมคิด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเยี่ยมยอดถึงขั้นนี้แล้ว”
พวกเขาเอ่ยปากชมกันยกใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้นเทกเมื่อครู่ก็ดีมากจริงๆ
“ฮ่าๆ พูดตรงๆ ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น ตอนแรกที่ไปหาโจวฟา ฉันก็ยังกังวล คิดไม่ถึงว่าเ้าคนนี้ถึงจะตกตะกอนมาปีกว่า แต่ฝีมือการแสดงพัฒนาไปรวดเร็ว และเหนือความคาดหมายของฉันมาก อีกสักครู่ฉันจะแนะนำให้พวกเธอได้รู้จักกัน อายุพวกเธอก็พอๆ กัน น่าจะคุยเข้ากันได้ ก่อนหน้านี้เ้านี่โด่งดังชั่วข้ามคืน เลี่ยงไม่ได้ที่จะหยิ่งผยองอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เป็กันเองมากแล้ว นายไม่ต้องไปสนใจนิสัยเสียๆ บางอย่างของพวกดาราบนตัวเขาและเื่เข้ากันได้ยากเลย พอดีเลยนายก็จะได้พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทที่อยู่ในใจของนายด้วย”
เฉิงเต้าหยุนหัวเราะเสียงดัง เขาตบไหล่เจียงไป๋พลางพูดด้วยท่าทางราวกับได้พบรุ่นน้อง
นี่ถ้าหากให้พวกอู๋จงเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะใจนฟันร่วงไปไม่รู้กี่ซี่ต่อกี่ซี่แล้ว ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าตบไหล่เจียงไป๋ขนาดนี้เลยหรือ?
ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!
แต่เจียงไป๋กลับไม่ติดใจเอาความ เพราะเขารู้สึกได้ถึงเจตนาดีที่มาจากภายในใจลึกๆ ของเฉิงเต้าหยุน
ไม่นานเฉิงเต้าหยุนก็โบกมือเรียกให้โจวฟากับตี๋หู่เข้ามาหา และก็แนะนำคนทั้งสามให้รู้จักกันอย่างง่ายๆ
แน่นอนว่าในฐานะคนเขียนบทของเื่นี้ เมื่อเจียงไป๋มาถึงที่ ตามหลักการแล้วเฉิงเต้าหยุนก็คงไม่แนะนำกันง่ายๆ แล้วก็จบไป แต่ก็ระดมนักแสดงสำคัญๆ ทุกคนแล้วแนะนำให้เจียงไป๋ได้รู้จัก หลังจากนั้นก็ได้ประกาศข่าวที่เขาจะเลี้ยงข้าวในตอนเย็น เรียกเสียงโห่ร้องได้ในทันที
ั้แ่มาถึง งานถ่ายก็ไม่เคยหยุดพักเลย
ในฐานะหนังที่ได้รับความนิยมในยุคแปดศูนย์ของชาติก่อน เคยสร้างเป็หนังฮ่องกงต้นแบบที่มีการบันทึกยอดตั๋ว เื่โหด เลว ดี ไม่ธรรมดาเลย พอเริ่มถ่ายทำปริมาณงานก็จะมาก ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับผลงานการประพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ใช้เวลามาก ดังนั้นเฉิงเต้าหยุนจึงไม่ยอมล่าช้าแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากที่พบกับเจียงไป๋แล้ว ก็เริ่มถ่ายทำเทกต่อไปทันที
“คิดไม่ถึงว่านายจะหนุ่มขนาดนี้ ครั้งแรกที่ได้รับบทหนังฉันถึงกับร้องไห้ ฉันรู้สึกว่าบทบาทนี้ดึงดูดความสนใจมากๆ ความรู้สึกเืร้อนอย่างนั้นไม่ปรากฏมาหลายปีแล้ว ดังนั้นฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องแสดงบทเสี่ยวหม่า เพราะแบบนี้จึงไปขอร้องผู้กำกับเฉิงโดยเฉพาะ พูดแล้วก็ต้องขอบคุณนาย หากไม่มีนาย ฉันก็คงจะไม่ได้มาแสดงบทนี้ ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถอาศัยบทนี้ผันตัวได้!”
เทกนี้มีแค่ตี๋หู่ไม่มีโจวฟา ดังนั้นโจวฟาที่ว่างก็เข้ามาหาเจียงไป๋และกระซิบข้างๆ เขาช่างพูดมากเหมือนกับที่เฉิงเต้าหยุนพูดไว้ไม่มีผิด แต่ไม่มีความหยิ่งผยองแม้แต่น้อย พูดไปพูดมาก็จริงใจมาก ทำให้อดเข้าใกล้ไม่ได้
“บทหนังก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือนายแสดงได้ดี”
เจียงไป๋ฉีกยิ้มพลางพูดอย่างจริงใจ
จริงๆ แล้วบทหนังที่ดีก็เป็อีกเื่หนึ่ง แต่ความสำเร็จของหนังเื่หนึ่ง บางครั้งก็อาศัยฝีมือการแสดงที่ล้ำลึกของนักแสดง ก็เหมือนกับเื่โหด เลว ดี ในชาติก่อน โจวเหวินฟะแสดงจนดังถล่มทลาย ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน หากว่าเสี่ยวหม่ากลายเป็เจิ้งจื้อเว่ยก็คง … ทำให้ผู้คนเืพุ่งแน่
“ฮ่าๆ นายชมฉันเกินไปแล้ว” โจวฟาหัวเราะพลางพูด
ต่อมาทั้งสองคนก็พูดคุยกัน นอกจากบทหนังกับบทบาทแล้ว ยังมีความสนใจความชอบ ... กลับเข้ากันได้ดี
และเขาก็ไปถ่ายหนังต่อ เจียงไป๋ก็พูดคุยกับคนอื่นๆ ต่อ
แค่่บ่ายสั้นๆ คิดไม่ถึงว่าคนในกองถ่ายจะคุ้นเคยกับเขาแล้ว และบางคนก็มีความรู้สึกเสียดายที่พบเขาช้าไป และนี่ก็ทำให้ผู้คนอดที่จะไม่ชมเชยเสน่ห์ของเจียงไป๋ไม่ได้แล้ว
ไม่ทันไรก็เย็นมากแล้ว หลังจากที่ถ่ายหนังเสร็จไปฉากหนึ่ง ทุกคนก็ขับรถไปทานข้าวที่ร้านอาหารใจกลางเมืองกูซู
พอมาถึงจุดหมาย ก็ทักทายแล้วตรงขึ้นอาคารไป
พอขึ้นอาคารไป เฉิงเต้าหยุนก็ใจกว้างให้ทุกคนสั่งอาหารกันเอง
สักพักอาหารและเครื่องดื่มก็มาครบ ทุกคนเริ่มชูแก้วขึ้นพร้อมกัน
หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง โจวฟาลุกขึ้นมาเทเหล้าก่อน ต่อมาคือตี๋หู่ หลังจากนั้นคือนางเอกเหอหลิง และนักแสดงชายหน้าใหม่ระดับสาม เจียงไป๋เรียกแบบนี้เพราะจำชื่อไม่ได้ และก็ไม่ใส่ใจที่จะถาม
ในฐานะที่เจียงไป๋เป็เป้าหมายในการช่วยเหลือ จึงถูกมอมจนเมามาก เหล้าขาวมากมายที่กรอกลงท้อง ถึงจะเป็ปรมาจารย์วูซูจีนอย่างเขาก็ต้องมีอาการเมามายได้เหมือนกัน …
แน่นอนว่าเขาสามารถแอบขับเหล้าออกมาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเจียงไป๋ อย่างน้อยต่อหน้าคนที่ดูแล้วไม่เป็พิษเป็ภัย และอยากจะเป็เพื่อนกับเขาอย่างจริงใจ เจียงไป๋จะไม่ใช้วิธีการเช่นนี้
ไม่ทันไรก็ดึกมากแล้ว ทุกคนทยอยกันกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม พรุ่งนี้ยังมีอีกหลายฉากที่ต้องถ่าย วันนี้ก็ดื่มไปมากมาย ปกติแล้วก็ต้องพักผ่อนเร็วหน่อย
เจียงไป๋ก็กลับโรงแรมแล้วเหมือนกัน น่าเสียดายที่เพิ่งจะเอนตัวลงนอนแต่กลับไม่อยากนอนแล้ว จึงออกหมัดสักหน่อย จนเหงื่อท่วมตัว กลิ่นเหล้าหายไปหมดแล้ว เจียงไป๋อาบน้ำแล้วมองดูเวลายังไม่ดึกมาก แต่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว เขากลับออกไปข้างนอกอีกครั้งเพียงลำพัง
เจียงไป๋เดินเล่นอยู่บนถนนใกล้โรงแรมเพียงคนเดียว เขาเดินมาถึงสวนสาธารณะเจียซินโดยไม่รู้ตัว
ในสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำบางสายของเมืองกูซู เวลานี้เงียบสงัด เจียงไป๋เดินเล่นอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง สักพักก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เจียงไป๋จึงเดินเข้าไปดู เขาเห็นร่างหนึ่งกำลังแอบหลบร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง
ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็ผู้หญิง อายุไม่มาก ผมยาว สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีดำ กำลังนั่งร้องไห้เสียงดังอยู่บนม้านั่งยาว อีกทั้งยังตัวสั่นไม่หยุด
“เธอเป็อะไร? ดึกขนาดนี้มานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ทำไม?”
ปกติแล้วเจียงไป๋ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเื่ของชาวบ้าน แต่อาจจะเป็เพราะวันนี้ดื่มเหล้าไปมาก ถึงแม้จะออกหมัดไปเซตหนึ่ง จึงสร่างเมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาการเมาอยู่เล็กน้อย เจียงไป๋เข้าไปใกล้ๆ เด็กสาวที่กำลังร้องไห้แล้วพูด
แค่คำเดียวก็ทำให้เด็กสาวคนนั้นใ แม้แต่เสียงร้องไห้ก็หยุดชะงัก เธอรีบยืนขึ้นอย่างสั่นเทาแล้วถอยหลังไปหลายก้าวจน เกือบจะสะดุดล้มลงกับพื้น
เจียงไป๋ยื่นมือไปดึงอีกฝ่ายไว้ได้ทัน จึงทำให้เธอไม่สะดุดล้มลงกับพื้น
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ฉันก็แค่แปลกใจว่าดึกขนาดนี้แล้วทำไมเธอถึงมาร้องไห้อยู่ที่นี่คนเดียว หากเธอรู้สึกกลัว ฉันก็จะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายใ เจียงไป๋ก็รีบปริปากพูดอธิบายทันที เขายกมือทั้งคู่ขึ้น แล้วเผยรอยยิ้มอย่างไม่เป็พิษเป็ภัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้