บทที่ 71 ผู้พิทักษ์
ลั่วถูถึงกับประหลาดใจไปเล็กน้อย เขาพบว่าตนประเมินลั่วเฉิงกงต่ำเกินไป คนผู้นี้แม้แต่ท่านทูตก็ยังกล้าลองดีวางยาพิษดอกเทียนหลิงหมอซื่อโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ยินชื่อพิษนี้ ทว่าตอนนี้ปัญหาที่แท้จริงคือเขาตกอยู่ในอันตรายเข้าให้แล้ว!
“เ้าวางยาพิษในอาหารของข้าทุกวัน?” สีหน้าของทูตเยาว์วัยเริ่มปรากฏความโกรธขึ้นมาแล้ว
“มิผิด ในทางทฤษฎีคือข้าไม่ได้วางยาพิษในอาหารของเ้า เพียงแค่เพิ่มเครื่องปรุงพิเศษอย่างหนึ่งในอาหารที่เ้ากิน เกสรดอกเทียนหลิงหมอซื่อ เ้ามักจะชมว่าอาหารอร่อยนักอร่อยหนาไม่ใช่หรือ? นั่นเป็เพราะกลิ่นหอมของเกสรดอกเทียนหลิงหมอซื่อ เดิมทีเกสรดอกเทียนหลิงหมอซื่อไม่มีพิษ ทว่าถ้าโดนละอองเรณูเข้า จะกลายเป็พิษดอกเทียนหลิงหมอซื่อไปอย่างไรเล่า” ลั่วเฉิงกงหัวเราะออกมา หัวเราะด้วยความสาแก่ใจอย่างสุดแสน
ผู้คนอดลองสูดดมกลิ่นที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเข้าไปไม่ได้ ในอากาศที่แท้มีกลิ่นหอมดอกไม้ที่จางมากเสียจนแทบไม่มีอยู่จริง บางทีนี่ก็คงเป็ละอองเรณูของดอกเทียนหลงหมอซื่อ และได้แต่ประหลาดใจไปตามๆ กัน
“เ้าวิหารอู๋ หรือว่าท่านก็ถูกพิษด้วย?” สีหน้าของทูตเยาว์วัยเ็า หันไปเอ่ยถามอู๋เจิ้งจง
“นี่มัน... ” อู๋เจิ้งจงลังเลเล็กน้อย ลั่วเฉิงกงถึงขนาดกล้าวางยาพิษท่านทูต นี่มันเหนือความคาดหมายไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเดิมที่เขากับตระกูลลั่วมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อครู่คงไม่ขอความเมตตาให้ลั่วเฉิงกง ทว่าอย่างไรเสียท่านทูตก็เป็ผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกชั้นสูง เขาไม่เคยคิดเคยฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องสู้กับท่านทูต ไหนจะยังพลังของฝ่ายตรงข้ามที่กดดันตัวเขาได้ เพียงแต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าลั่วเฉิงกงบ้าระห่ำได้ขนาดนี้
“พี่อู๋ หากเขาตาย สมบัติบนร่างของเขาทั้งหมดจะเป็ของเ้า!” ลั่วเฉิงกงกล่าวอย่างจริงจัง ทำให้อู๋เจิ้งจงที่เดิมทีก็ลังเลอยู่ถึงกับใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ทูตคนหนึ่ง สมบัติทั้งหมดบนร่างต้องน่าดึงดูดยิ่งกว่าของสองชิ้นนั้นแน่
เมื่อเห็นท่าทีของอู๋เจิ้งจง สีหน้าของทูตเริ่มซีดเผือดในทันที ลั่วถูถึงกับรู้สึกสิ้นหวังไปด้วย ตอนนี้ไม่มีการไว้หน้ากันอีกแล้ว แม้เขาจะคิดหาวิธีมายังจวนตระกูลลั่วได้ ทว่าหากไร้ท่านทูตคอยหนุนหลัง เขาก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว
“ที่พี่ลั่วกล่าวมาจริงหรือ?” อู๋เจิ้งจงสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขาเต้นระรัว ถ้าท่านทูตตาย ใครจะรู้ว่าเป็ฝีมือของพวกเขา มิหนำซ้ำตอนนี้ท่านทูตถูกพิษ ไม่มีพลังิญญา สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่รอดูอยู่วงนอกก็ได้รับของตอบแทนก้อนโตแล้ว จะไปมีเหตุใดให้ต้องปฏิเสธเล่า แน่นอนว่าเขาจะเลือกลงมือสังหารลั่วเฉิงกงก็ย่อมได้ ทว่าที่แห่งนี้คือจวนตระกูลลั่ว แม้เขาจะสังหารลั่วเฉิงกงได้ง่ายดาย ทว่าตระกูลลั่วยังมีผู้เฒ่าลั่วจงเทียน ถึงระดับพลังของลั่วจงเทียนจะอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดถึงเื่สถานที่แล้ว ในจวนตระกูลลั่วที่ฝ่ายตรงข้ามเป็ผู้ได้เปรียบ ไหนจะยังยอดฝีมือตระกูลลั่วทั้งหมดอีก เขาก็ไม่มีทางได้เปรียบเห็นๆ ถ้าเป็เช่นนี้ เขาย่อมเลือกร่วมมือกับลั่วเฉิงกงเป็ธรรมดา
“เ้าหนุ่ม ส่งของในมือเ้ามา เห็นแก่ที่เ้ายังเป็คนตระกูลลั่ว จะไว้ชีวิตอันต่ำตมของเ้า!” สายตาของลั่วเฉิงกงมองไปทางลั่วถูด้วยสีหน้าดูแคลน
“ข้าสงสัยนักว่า ถ้าป้ายคำสั่งสองชิ้นนี้เสียหายขึ้นมาจะเป็อย่างไร” ทันใดนั้นลั่วถูกลับหัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า... ” ลั่วเฉิงกงถึงกับหัวเราะเสียงดัง ป้ายคำสั่งทั้งสองนี้เกรงว่าด้วยคมดาบหรือกระบี่ล้วนฟันไม่เข้า ครั้นจะทุบให้แตก ก็เป็ได้เพียงเื่น่าขัน
“ไม่เช่นนั้นเ้าก็ลองทุบดูสิ” ลั่วเฉิงกงเอ่ยด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“ก็ดี เ้าทำข้าใแทบแย่!” ลั่วถูหัวเราะอย่างไม่แยแส จากนั้นในมือปรากฏกระบี่สั้นที่ทำจากเหล็กชั้นสูง เห็นเพียงเปลวไฟดวงหนึ่งส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือ ทำเอากระบี่สั้นเล่มนั้นดูราวกับอยู่ในเตาหลอม กลายเป็โลหะที่ถูกหลอมในเสี้ยววินาที!
ในเวลานี้ แทบจะทุกคนล้วนตะลึงงัน เพราะในขณะที่ลั่วถูละลายกระบี่สั้น ในมือก็หยิบป้ายคำสั่งทั้งสองขึ้นมาด้วย ลั่วเฉิงกงที่เดิมทีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งถึงกับยิ้มไม่ออกไปทันที
“นั่นมันไฟอะไร... ” สีหน้าของลั่วเฉิงกงดูไม่ได้อย่างถึงที่สุด ถึงแม้เขาจะมั่นใจในป้ายคำสั่งหยกทั้งสองมาก แต่นั่นเพราะลั่วถูเป็เพียงคนธรรมดาที่ยังไม่เปิดิญญาคนหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่รู้สึกว่าป้ายคำสั่งทั้งสองจะทนทานกว่ากระบี่เหล็กชั้นดีเล่มนั้นสักนิด ในความเป็จริงขอแค่ลั่วถูทำลายลวดลายบนป้ายคำสั่ง ก็แทบจะเรียกว่าทำลายคุณค่าของเ้าสองสิ่งนี้ได้แล้ว
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ไฟที่เก็บมาจากการปรุงยาเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะทำลายของสองสิ่งนี้ได้ไหมนะ ป้ายหยกที่สวยงามเช่นนี้ ถ้าเผาทิ้งไปก็น่าเสียดายไม่หยอก!” ลั่วถูยักไหล่กล่าวออกมาราวกับเสียดายเล็กน้อย
สีหน้าของลั่วเฉิงกงหม่นหมองจนแทบน้ำตาตก เขาคิดไม่ถึงว่าเื่ที่เดิมทีอยู่ในการควบคุมแล้ว กลับพลิกผันอย่างฉับพลันเข้าอีกจนได้ เ้าเด็กหนุ่มที่ดูไปแล้วไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงจู่ๆ ก็ทำให้เขาไม่กล้าลงมือขึ้นมาเสียอย่างนั้น คะเนด้วยสายตาของเขาก็ยังคงมองไม่ออกว่าเปลวไฟของลั่วถูแท้จริงเป็ไฟชนิดไหนกันแน่ ถึงกับหลอมโลหะได้ในเสี้ยววินาที
ทั้งทูตเยาว์วัยทั้งเจียงิ่อดได้แต่มองไปที่ลั่วถูอย่างมึนงง สถานการณ์ทั้งหมดอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว
“ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะตกลงกันดีๆ ได้”
“เ้าจะเอาอะไร!”
“แน่นอนก็แค่มีชีวิตรอด ข้าคนนี้กลัวตายเป็ที่สุด ขอแค่มีชีวิตรอดไปได้ จะเื่อะไรก็ตกลงกันได้ทั้งนั้น ถ้าเ้าไม่คิดปล่อยให้ข้ารอด เช่นนั้นข้าก็คงทำได้ปล่อยเ้ากลับไปมือเปล่า”
“ขอแค่เ้าส่งมันให้ข้า ข้ารับรองว่าจะไม่สังหารเ้า!” ลั่วเฉิงกงไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย เมื่อครู่เหตุใดต้องทนสนทนากับเ้าเด็กนี่ด้วย ถ้ารู้แต่แรกคงชิงลงมือไปแล้ว ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบแค่แย่งของมาแล้วค่อยเจรจา เื่ราวคงไม่กลายเป็แบบนี้
“ข้าไม่เชื่อ ข้าต้องออกไปจากจวนตระกูลลั่วก่อนแล้วค่อยเจรจากันอีกที ข้าว่าเ้าคงพอจะแสดงความจริงใจออกมาสักเล็กน้อยได้กระมัง!” ลั่วถูเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ปล่อยพวกเขาออกไป!” ประกายจิตสังหารแล่นวาบผ่านแววตาของลั่วเฉิงกงเพียงเล็กน้อยเสียจนแทบหาไม่เจอ แต่ยังคงโบกมือให้คนตระกูลลั่วเปิดทางให้อยู่ดี ทว่ากลับต้องเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวออกมาอย่างเ็าว่า “แต่เขาไปไม่ได้!” เมื่อเห็นท่านทูตทำท่าจะตามลั่วถูออกไป ลั่วเฉิงกงกลับทำสีหน้าเ็าทันที เขาจะปล่อยตัวอันตรายผู้นี้ไปไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรเสียพิษบุปผาปีศาจก็สะกดพลังิญญาในร่างกายได้แค่สองสามชั่วยามเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ระดับของฝ่ายตรงข้ามกลับคืนมา เช่นนั้น เกรงว่าทั้งจวนตระกูลลั่วคงไม่แคล้วถูกความโกรธแค้นของฝ่ายตรงข้ามทำลายสิ้น
ลั่วถูกล่าวกับท่านทูตอย่างลำบากใจ “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ช่วยท่านไม่ได้!”
“พี่ถู บางทีอาจไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ เขาบอกว่าพิษดอกไม้ออกฤทธิ์เพลงกี่ชั่วยามก็สลายไปแล้วไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นพวกเราไม่สู้รอสักสองสามชั่วยามแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย!” ตอนที่ลั่วถูมัวแต่ลังเล เจียงิ่ที่อยู่ข้างกายกลับกล่าวออกมาอย่างสบายใจเสียอย่างนั้น
ลั่วถูได้แต่อึ้ง จากนั้นมองไปยังเจียงิ่ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเจียงิ่ถึงกล่าววาจาเช่นนี้ในตอนนี้ด้วย
“แม่หนู เ้าอยากเห็นวาระสุดท้ายของเขาอย่างนั้นสินะ?” สายตาของลั่วเฉิงกงเปี่ยมด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
ทูตผู้นั้นได้แต่ตกตะลึง และมองไปที่เจียงิ่อย่างประหลาดใจ ทั้งสองคนสามารถออกไปได้แท้ๆ กลับเลือกอยู่ต่อ เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“ถ้าเ้าฟื้นพลังกลับมา เ้าจะกำจัดพวกเขาได้ไหม?” เจียงิ่ไม่ได้อธิบายกับลั่วถู แต่ถามท่านทูตหนึ่งประโยคแทน ทำเอาผู้คนสับสนไปตามๆ กัน
“แน่นอน!” ท่านทูตพยักหน้า
“ดีมาก ในเมื่อพวกเขากล้ารังแกพี่ถูของข้า เช่นนั้นข้าจะถ่วงเวลาสองชั่วยามให้เ้าเอง เมื่อถึงเวลานั้นเ้าต้องจัดการพวกเขาให้ข้า!” เจียงิ่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“น้องิ่! อย่าพูดเหลวไหล!” ลั่วถูเหงื่อไหลท่วม ทั้งเจียงิ่ทั้งเขาเป็คนธรรมดากันทั้งคู่ แต่ในเวลาเช่นนี้กลับกล่าวอะไรวาจาไม่รู้ความออกมาเสียได้
“แม่หนูน้อย ช่างมีอวดดีเสียจริง เช่นนั้นข้าอยากจะเห็นนักว่าเ้าจะหาเวลาสองชั่วยามให้เขาได้อย่างไร สังหารมัน!” ลั่วเฉิงกงหัวเราะเสียงเย็น และออกคำสั่งทันที เขาไม่คิดจะรั้งรอแม้แต่น้อย
“ตายเสียเถอะ... ” เหล่ายอดฝีมือตระกูลลั่วพุ่งเข้าใส่ท่านทูตอย่างไม่ลังเล พลังิญญาที่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรปิดล้อมจากทุกทาง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ลงมืออย่างสุดกำลัง ศัตรูครั้งนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก ใครจะล่วงรู้ว่ายังมีทางรอดอยู่อีกไหม
“ที่พวกเ้ายังไม่ลงมือ หรือเป็เพราะรอ์พิโรธลงโทษก่อนอย่างนั้นหรือ?” ในขณะที่บรรดาศิษย์ของตระกูลลั่วพุ่งเข้าใส่ เจียงิ่กลับะโออกมาเสียงดังฟังชัด
“แม่หนูน้อย เ้ารู้เื่์พิโรธลงโทษดีทีเดียว... ” เมื่อเสียงของเจียงิ่จบลง ลำแสงสายหนึ่งพลันส่องตัดผ่านความว่างเปล่าลงมาจากฟ้าราวสายฟ้า
“เคร้ง เคร้ง เคร้ง... ” บรรดาศิษย์ตระกูลลั่วรู้สึกได้เพียงจู่ๆ มือก็เบาลงเสียอย่างนั้น อาวุธในมือของพวกเขาหักออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเสี้ยววินาที หลังจากนั้นเงาสีเขียวร่างหนึ่งพลันปรากฏตรงหน้าท่านทูต แล้วยกมือขึ้น เศษคมมีดที่แตกออกลอยขึ้นมาราวกับได้รับพลังบางอย่างที่ช่วยยกพวกมันให้ลอยขึ้น และกลายเป็ลำแสงหลายเส้น พุ่งไปที่อกของเหล่าศิษย์ตระกูลลั่วด้วยความเร็วอันยากจะเปรียบได้
“ยอดเซียนหลิวหยิ่ง...” อู๋เจิ้งจงกับลั่วเฉิงกงถึงกับหลุดปากเรียกออกมาพร้อมกัน
“ผู้พิทักษ์หลิวหยิ่ง!” สีหน้าของลั่วเฉิงกงบิดเบี้ยวเสียจนดูไม่ได้ เขาไม่รู้จักบุรุษชุดเขียวตรงหน้า แต่กระบวนท่าที่เขาสำแดงออกมาเมื่อครู่ กลับทำให้เขาหวนนึกถึงบุรุษในตำนานผู้หนึ่ง
“ลงมือกับคนธรรมดา ต้องตาย! ไม่เคารพท่านทูต ต้องปะา!” น้ำเสียงของบุรุษในชุดเขียวแฝงไว้ซึ่งจิตสังหารอันเยือกเย็น หลังจากนั้นหันมองรอบด้าน และสุดท้ายหยุดสายตาลงบนร่างลั่วเฉิงกง
“หึ ก็แค่ปรมาจารย์ขั้นสาม คิดว่าเ้าคนเดียว จะขวางพวกข้าได้หรือ?” ลั่วเฉิงกงกัดฟันพลางกล่าวออกไป เขาคิดไม่ถึงว่าเื่นี้จะถึงขั้นเรียกผู้พิทักษ์ลึกลับมา ไม่ใช่พวกมือใหม่ที่ฝึกอยู่
“เ้าวิหารอู๋ คิดจะเป็ศัตรูกับผู้พิทักษ์ หลังวิหารเสินจั้นอย่างนั้นหรือ?” ผู้พิทักษ์หลิวหยิ่งไม่ตอบคำถามของลั่วเฉิงกง ทำเพียงแค่หันหน้าไปเอ่ยถามอู๋เจิ้งจง
อู๋เจิ้งจงได้แต่ถอนหายใจ เขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะอุปสรรคมากมายเช่นนี้ แถมในจวนตระกูลลั่วกลับมีผู้พิทักษ์หลบซ่อนอยู่ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เรียกว่าขึ้นหลังเสือก็มิผิดนัก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้