วันเวลาเคลื่อนผ่านไป อูิโยวอาศัยในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วนานกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่เช้าตรู่วันนี้ยังไม่ทันที่จะตื่นดี ก็ได้ยินเสียงร้องสดใสอันคุ้นเคยแว่วมาจากนอกหน้าต่างเสียก่อน เขาพลิกตัวลงจากเตียงไปซ่อนอยู่หลังบานหน้าต่างนั้น แล้วลอบมองออกไป
ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ในสวนมีเพียงหลิ่วไป๋เจ๋อในชุดสีขาวนั่งตัวตรงบนม้านั่งหิน มือก็ถือถ้วยชาร้อนแล้วค่อยๆ จิบอย่างเชื่องช้า อูิโยวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เผลอคิดว่าอิ๋นซิงหาตนเจอแล้วเสียอีก
จากนั้นก็พลิกตัวออกไปทางหน้าต่าง เมื่อเดินไปนั่งข้างหลิ่วไป๋เจ๋อเรียบร้อยแล้วค่อยรินชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง ยกดื่มหมดรวดเดียวและรินเพิ่มอีก
“ใแทบตาย! ข้าได้ยินเสียงหนึ่ง นึกว่าอิ๋นซิงบินมาถึงที่นี่แล้วเสียอีก”
หลิ่วไป๋เจ๋อวางถ้วยชาและเอ่ยขึ้น
“มีนกสีเงินบินมาจริงๆ”
ดวงตาของอูิโยวพลันเบิกกว้าง แล้วเด้งตัวขึ้นจากม้านั่งหิน ในแดนเจ๋อมีนกเทียนซิงเพียงไม่กี่ตัว พวกมันล้วนเติบโตในหุบเขาไป่หลิง หากบินมาถึงคฤหาสน์ชิงหลิ่วถังเวลานี้ แม้ไม่ใช่อิ๋นซิงก็ต้องเป็นกที่หุบเขาส่งมาแน่นอน
“ไหนล่ะ มันอยู่ที่ใด!”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้พูดอะไร ทว่าชี้นิ้วไปยังด้านหลังของเขา อูิโยวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านั่นหมายถึงอะไร เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปดู ยกเท้าเตรียมวิ่งหนี แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
คอเสื้อถูกมือใหญ่คว้าไว้และยกขึ้นจนตัวลอย อูิโยวทำหน้าโศกสลด หันไปร้องขอความเมตตา
“พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว!”
อูิเยี่ยวางเขาลง แล้วตีหน้าผากไปทีหนึ่ง “หากรู้ว่าผิด เ้าก็ไม่ควรทำตัวี้เีอยู่ที่นี่”
อูิโยวหันไปหาหลิ่วไป๋เจ๋อเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินใส่อย่างไร้เยื่อใย
“น้องชายของข้ามารบกวนเสียแล้ว” อูิเยี่ยนั่งลงตรงข้ามเ้าบ้าน อีกฝ่ายกำลังรินชาให้เขา
“ไม่เป็ไร ไม่ได้รบกวนอะไร ท่านพี่อูมาเฟิ่งเทียนครั้งนี้ เพราะเหตุประหลาดที่ผาตั้วเซียนใช่หรือไม่”
อูิเยี่ยพยักหน้ารับและเอ่ยขึ้น “บิดาข้าได้รับจดหมายลับเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ เป็เพราะผู้าุโแห่งตระกูลหลานได้รับทารกแฝดหญิง ผาตั้วเซียนก็ไม่ได้ปิดบังเื่นี้ อีกทั้งยังประกาศมาเองว่า หากเด็กแฝดอายุครบสามสิบสามวันจะพาพวกนางเดินทางมาแคว้นเฟิ่งเทียน”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถาม
“ผาตั้วเซียนใช้ชีวิตสันโดษมาตลอด เหตุใดครั้งนี้จึงประโคมข่าวไปเช่นนั้น”
อูิเยี่ยส่ายหัว “ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังบอกอีกว่า จะทำการทำนายให้กับผู้ที่ชะตาลิขิตสามคนในแคว้นเฟิ่งเทียน”
“หาได้ยากยิ่งนัก!”
ในที่สุดอูิโยวก็หลุดพ้นจากการก่อกวนของอิ๋นซิง เขาลูบผมดำขลับที่ยุ่งเหยิงแล้วนั่งลง “พลังพยากรณ์ของตระกูลหลานแม่นยำมาก ปกติแม้ผู้คนมากมายจะร้องขอแค่ไหนก็ไม่มีใครได้รับโอกาสนั้น”
อิ๋นซิงบินไปเกาะไหล่หลิ่วไป๋เจ๋อ แล้วใช้จะงอยปากหวีขนสีเงินที่ยุ่งเหยิง เ้านกน้อยสะบัดหัวหนี ไม่อยากสนใจอูิโยว ท่าทีที่แสดงนั้นทำให้รู้ว่ามันยังไม่หายโกรธ
อูิโยวกัดฟันพูดกับมัน
“เ้านกบ้า อย่ามาเกาะบนไหล่ของไป๋เจ๋อ รีบลงมาเร็วๆ เข้า”
อิ๋นซิงสนใจเสียที่ไหน มันเข้าไปอิงแอบที่ลำคอหลิ่วไป๋เจ๋อ ยืดหัวขึ้นและใช้จะงอยปากหวีเส้นผมสีเงินที่ยุ่งเหยิงรอบใบหู ทั้งขนนกและเส้นผม ยามอยู่ใกล้กันแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็อันไหน
“ท่านพี่ใหญ่มาครั้งนี้เพราะหวังจะได้สิทธิ์ดูดวงหรือ”
อูิเยี่ยยื่นมือไปหมายจะตีเขา ทว่าอูิโยวรีบะโถอยห่างไปก่อน
“ท่านพี่ใหญ่ พวกเราไม่ลงไม้ลงมือกันได้หรือไม่”
“เช่นนั้นเ้าหยุดพูดจาไร้สาระได้หรือไม่ การทำนายดวงชะตาเป็ศาสตร์โบราณ ต้องให้ความเคารพ”
อูิโยวบุ้ยปากบ่นพึมพำ “การทำนายชีวิตล่วงหน้าก็เท่ากับการดูดวงมิใช่หรือ ข้าพูดผิดตรงไหนกัน”
อูิเยี่ยรู้สึกปวดหัวกับน้องชายคนนี้จริงๆ “ท่านพ่อส่งข้าและิหลิงมาที่นี่ก็เพื่อโอกาสในครั้งนี้จริง ทว่าไม่ได้ขอโอกาสเพื่อข้าหรือิหลิง แต่เป็เพื่อเด็กอย่างเ้า”
“อะไรนะ! ท่านพี่หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ อยู่ที่ใดล่ะ” อูิโยวก็เป็เช่นนี้ มักมุ่งความสนใจไปยังส่วนที่ไม่สำคัญอยู่ร่ำไป
“นางไปหาแม่นางอวิ๋นลั่วที่คฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน”
อูิโยวส่งเสียงจิ๊ๆ สองทีก่อนจะหันไปมองหลิ่วไป๋เจ๋อ “ดูเหมือนข้าต้องประเมินว่าเ้ามีน้ำหนักเพียงใดในใจของท่านพี่หญิงใหม่เสียแล้ว นางมาเฟิ่งเทียนทั้งทีก็ควรจะมาหาเ้าก่อนสิจึงจะถูก”
“เ้าอยากเป็พ่อสื่อให้ข้าขนาดนั้นเชียวหรือ” นิ้วเรียวราวกับหยกลูบไล้ที่มงกุฎขนของเ้านกอิ๋นซิง หลิ่วไป๋เจ๋อหยิบเมล็ดดวงดาวจากแขนเสื้อ ป้อนเข้าไปในปากมัน
“ไปได้แล้ว” อิ๋นซิงแสนเชื่อฟัง บินหายไปจากไหล่ของเขาทันที
อูิโยวหัวเราะร่าและพูดว่า “ไม่ถึงขั้นเป็พ่อสื่อหรอก ใครใช้ให้เ้าเป็สหายสนิทข้ากันล่ะ คู่ครองของเ้า อย่างน้อยก็ต้องผ่านการทดสอบของข้าจึงจะถูก”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว การแต่งงานเป็เื่ของพ่อสื่อแม่สื่อ เอามาพูดเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร” ิเยี่ยอยากหาอะไรมาอุดปากน้องชายเสียจริง
“ข้าตกลง”
อูิเยี่ยคิดว่าตนคงหูแว่วไปแล้วแน่ๆ ทางด้านอูิโยวก็คิดว่าตนเองเห็นภาพหลอนหรืออย่างไร จึงถามขึ้นมาอีกครั้ง “เ้าพูดว่าอะไรนะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้มีท่าทีรีบร้อน เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “หากข้าพบคนที่จะมาเป็คู่ครองแล้ว เ้าก็มาช่วยทำหน้าที่เื้ัข้าได้เลย”
อูิโยวถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ไอโขลกๆ อยู่นานสองนานก่อนจะสงบได้ “เ้าจริงจังหรือ...”
หลิ่วไป๋เจ๋อหัวเราะและตอบว่า “เ้าเดาดูสิ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” อูิเยี่ยะเิหัวเราะ ยกมือคำนับหลิ่วไป๋เจ๋อและเอ่ยต่อ “มีแค่เ้าเท่านั้นที่ทำให้น้องชายข้าพูดอะไรไม่ออกแบบนี้ได้ นับถือ นับถือ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“หลิ่วไป๋เจ๋อ เ้าหลอกข้าอีกแล้ว!” อูิโยวมุ่ยปากด้วยความโกรธ
……
เพราะเป็่ฤดูใบไม้ผลิ หากอยู่ที่อื่นคงจะมีแสงแดดอันอบอุ่นส่องสว่าง แต่ชายป่าใต้พิภพแห่งนี้ ตลอดทั้งปีพบเจอแสงแดดไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม เวลานี้เป็่ที่กำแพงพิษในป่าก่อตัวหนาแน่นมาก
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงยืนอยู่บนเทือกเขาจู่เสีย มองดูป่าทึบใต้ฝ่าเท้าที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ผมถูกเก็บขึ้นด้วยปิ่นไม้ คิ้วเป็ทรงสง่างาม ปานสีม่วงรูปดอกกล้วยไม้ที่ลากยาวจากขอบตาด้านซ้ายไปถึงขมับยิ่งเพิ่มความเป็ปรปักษ์ในตัวเขา
ผู้ติดตามด้านหลังมองไปยังม่านหมอกดำเขียวซึ่งเห็นได้จากระยะไกล “กำแพงพิษในป่าใต้พิภพปรากฏขึ้นแล้ว คุณชายคงโล่งใจได้สักทีนะขอรับ”
คุณชายผู้นั้นส่ายศีรษะ สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด แต่นั่นยิ่งทำให้เขาดูสง่างามกว่าเดิม แสงสีทองเจิดจ้าปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนที่จะะโลงจากเทือกเขาและมุ่งหน้าไปยังป่าทึบอันเงียบสงบ
“คุณชาย!”
ผู้ติดตามรีบะโตามมา แต่ถูกเขาห้ามเอาไว้ “ออกไปเดี๋ยวนี้ หากกำแพงพิษััถูกตัวเ้า เ้าจะตาย”
“แต่คุณชาย...” ผู้ติดตามยังคงกังวล ทว่าเมื่อเหลือบเห็นปานรูปดอกกล้วยไม้สีม่วงมีเสน่ห์ ซึ่งเด่นชัดบนมุมคิ้วของคุณชาย เขาก็ปิดปากลงทันที
ปานกล้วยไม้นี้ร้อยพิษไม่อาจกล้ำกราย เพราะนี่เป็เอกลักษณ์ของบุตรชายตระกูลจิ่วฟาง จิ่วฟางเทียนฉี
อย่างที่ผู้ติดตามได้เอ่ยไป ่ฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้กำแพงพิษกำลังก่อตัวหนาแน่น ในป่าใต้พิภพไม่สมควรมีปีศาจวนเวียนอยู่รอบๆ เพราะความร้ายกาจของเหล่ากำแพง จิ่วฟางเทียนฉีรู้ดีว่ามันทรงพลังเพียงใด แม้เกิดมาพร้อมปานกล้วยไม้ที่ปกป้องร่างกายได้ แต่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยให้รอดจากกำแพงพิษในยามนี้ได้นานเท่าไร
แต่เมื่อครู่เขากลับมองเห็นว่า ส่วนลึกของกำแพงพิษปรากฏสิ่งมีชีวิตลักษณะเป็แสงสว่างเคลื่อนตัวอยู่ ความเร็วนั้นต่อให้เร่งตามไปเพียงใดก็ยังไม่พอให้ไล่ทัน
หรือตาฝาดไปเองนะ
เมื่อผ่านไปชั่วครู่หนึ่งแล้วยังไม่เห็นเงาของนายน้อย ผู้รับใช้ที่รออยู่นอกป่าก็เริ่มใจอยู่ไม่สุข หลังเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา [1] จิ่วฟางเทียนฉีก็ะโออกมาจากกำแพงพิษ
“คุณชาย!”
เมื่อเห็นว่าจิ่วฟางเทียนฉีไม่ได้รับอันตรายใด ผู้ติดตามจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านผู้นำตระกูลเพิ่งส่งจดหมายมากับนกอินทรี แจ้งให้คุณชายรีบกลับไปโดยเร็วขอรับ”
“เกิดเื่อะไรขึ้น”
“ในจดหมายไม่ได้บอกไว้ บอกเพียงให้คุณชายเดินทางทันทีขอรับ”
เมื่อหันกลับไปมองยังกำแพงพิษหนาทึบด้านหลัง สุดท้ายจิ่วฟางเทียนฉีก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เทือกเขาจู่เสียนั้นทอดยาวจากเหนือจรดใต้ ขอบเขตด้านตะวันออกคือป่าใต้พิภพ ซึ่งเป็ที่เดียวที่ทำให้ดินแดนเจ๋อเชื่อมกับฮ่วนิหยวน
ป่าใต้พิภพนั้นลึกลับยากหยั่งถึง ส่วนฮ่วนิหยวนเป็ที่ที่เหล่ามารมักมารวมตัวกัน ดังนั้นหุบเขาจู่เสียถึงเปรียบดั่งปราการธรรมชาติสำหรับป้องกันมิให้เหล่าปีศาจชั่วร้ายบุกรุกเข้ามาในแดนเจ๋อ จึงถูกเรียกขานว่าหุบเขาจู่เสีย และจิ่วฟางกวนของตระกูลจิ่วฟางก็ตั้งอยู่ในเขาลึกทางตะวันตกของที่นี่ มีเพียงหุบเขาหนึ่งกั้นไว้ ช่วยปกป้องไม่ให้มารร้ายจากฮ่วนิหยวนมารุกรานแผ่นดินเจ๋อเป็เวลากว่าหลายปี
พริบตาเดียวฤดูใบไม้ผลิก็ผ่านพ้นไปกว่าครึ่ง ปลายฤดูกำลังใกล้เข้ามา บัดนี้เมืองเฟิ่งเทียนเต็มไปด้วยดอกอิง [2] ที่พัดปลิว เหล่าผีเสื้อโบยบินกระจัดกระจาย ตามถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้คนดูมีชีวิตชีวา ทว่าอีกด้านหนึ่ง ณ ห้องตำราของผู้นำตระกูลอวิ๋นภายในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน กลับมีเสียงคนโต้เถียงกันดังขึ้น
“ท่านพ่อ ลูกไม่อยาก...”
“เื่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความ้าของเ้า”
“ท่านพ่อ!”
“ออกไปได้แล้ว!”
อวิ๋นลั่วยกมือปิดหน้าและวิ่งออกจากห้องตำรา ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งวิ่งตามไป
ดอกอิงในคฤหาสน์นั้นงดงามเป็ที่สุด เมื่อมองดูดอกไม้ที่ผลิบานเต็มสวน อวิ๋นลั่วก็นึกถึงตอนที่ตนเกิด ที่บิดาตั้งชื่อนางว่าลั่ว เพราะมารดาของนางคือผู้ปลูกสวนดอกอิงนี้ด้วยมือตนเอง ซึ่งนั่นก็มีความหมายว่าบุตรสาวที่เปรียบเสมือนดอกอิง คืองดงามที่สุดยามเบ่งบานเกลื่อนนภา แต่ในยามนี้…
“ร้องไห้จนตาแดงหมดแล้ว!” ผู้ที่ตามมายื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง
อวิ๋นลั่วก้มศีรษะ ไม่้าให้คนด้านหลังเห็นตนในสภาพเละเทะเช่นนี้ แต่กลับถูกจับหมุนตัวไป ชายคนนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง
“พี่จื่ออู่” อวิ๋นลั่วยกมือลูบไล้ใบหน้าที่มีแผ่นหน้ากากเย็นเฉียบสวมอยู่ น้ำตาก็เอ่อคลอมากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าร้อง เ้าร้องไห้เช่นนี้จะทำให้ตาช้ำ!” จื่ออู่ปาดน้ำตาให้ แต่กลับไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรต่อไปดี
“พี่จื่ออู่ รอจนดอกอิงเหล่านี้ร่วงหล่นจนหมด ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
จื่ออู่ไม่ได้ตอบรับ ภายใต้หน้ากากเขากำลังอดกลั้นบางอย่างไว้
“นี่! นายกับบ่าวมาสารภาพรักอะไรกันอย่างนั้นหรือ!”
อวิ๋นจวาเดินมาจากฝั่งตรงข้าม มองจื่ออู่ที่อยู่ข้างกายของอวิ๋นลั่วด้วยความรังเกียจ
“คุณชายรอง” จื่ออู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อออกห่างจากอวิ๋นลั่ว ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง หันหลังและจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองอวิ๋นจวา
“นังตัวดี! ท่านพ่อให้เ้าออกเรือนก็เพื่อประโยชน์ของเ้าเอง ช่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!”
“คุณชายรองโปรดระวังคำพูดด้วย!”
อวิ๋นจวายกเท้าเตะเข่าอีกฝ่าย
“คุกเข่าลง!”
จื่ออู่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง หน้ากากนั่นปกปิดทุกการแสดงออก มีเพียงกำปั้นใต้ชายแขนเสื้อที่กำแน่นจนเส้นเืปูดโปน
“ทำไม ไม่พอใจหรือ น้องสาวข้ากำลังจะออกเรือน เ้าจึงอาลัยอาวรณ์อย่างนั้นหรือ” อวิ๋นจวาเอ่ยประชดประชัน “ช่างไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย เ้าเป็แค่คนรับใช้ของอวิ๋นหลานซาน เอาแต่ซ่อนตัวภายใต้หน้ากาก ไม่กล้าแม้แต่เผชิญหน้าผู้คนด้วยใบหน้าจริงด้วยซ้ำ แต่กลับอาจเอื้อมหญิงสาวตระกูลอวิ๋นอย่างนั้นหรือ”
จื่ออู่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวหรืออาการต่อต้าน เพียงนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นทำให้อวิ๋นจวาระบายความโกรธออกมา เมื่อพึงพอใจแล้วเขาจึงเดินจากไป เหลือเพียงจื่ออู่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ ฝ่ามือภายใต้แขนเสื้อเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเื
—------------------------------------
[1] ครึ่งถ้วยชา หมายถึง การนับเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งหนึ่งถ้วยชาเท่ากับ 15นาที ครึ่งถ้วยชาจึงราวๆ 7.5 นาที
[2] ดอกอิง หมายถึง ดอกซากุระ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้