เมิ่งไหวจิ่นไม่สนใจเขา ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
“หรือว่าเ้าอยากจะมีเื่?”
เฉิงชิงอดไม่ได้ที่จะเกิดรอยยิ้มบนใบหน้า อาจเป็เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ประจักษ์ถึงความน่าเกรงขามของเจี้ยหยวน หรืออาจเป็เพราะความเที่ยงตรงไม่เอนเอียงของเมิ่งไหวจิ่นก่อนหน้านี้ ทำให้แค่เห็นศิษย์พี่เมิ่งผู้นี้นางก็รู้สึกปลอดภัย
เป็เพราะมีคนอย่างเมิ่งไหวจิ่นอยู่ เฉิงชิงจึงยังคงรู้สึกว่าสถานศึกษาหนานอี๋ไม่เลวเลย
หากคนทั้งหมดเป็แบบพวกอวี๋ซาน… เช่นนั้นสถานศึกษาหนานอี๋ก็ไม่มีอะไรให้นางคาดหวังแล้ว!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็ไรขอรับ!”
เมิ่งไหวจิ่นพยักหน้า “เ้าถูกถ้อยคำสกปรกยั่วยุจึงลงมือก่อนหรือ?”
เฉิงชิงเข้าใจความหมายของเมิ่งไหวจิ่นจึงให้ความร่วมมือด้วยการส่ายหน้า “ข้าหลงทางอยู่ในสถานศึกษา พอมาถึงที่นี่ก็ได้ยินพวกอวี๋ซานกำลังพูดคุยกันอยู่ สุภาพชนผิดจริยาอย่าฟัง ข้าถึงคิดจะเดินจากไปในทันที ผู้ใดจะรู้ว่ายามที่จะเดินจากไปได้ไปทำให้พวกอวี๋ซานใ พวกเขาจึงกล่าวหาว่าข้าแอบฟัง บ่ายเบี่ยงไม่ฟังเหตุผล้าจะขัดขวางข้า”
อวี๋ซานหัวเราะเหอะๆ อย่างไม่น่าไว้ใจ
“แอบหรือไม่แอบฟัง เ้ารู้อยู่แก่ใจ”
“พอได้แล้ว!”
เมิ่งไหวจิ่นตัดบทเขา “อวี๋เสี่ยน เ้าอาศัยพื้นเพครอบครัวรังแกคนยังจะกล้าเถียงอีก? ที่นี่คือสถานศึกษาไม่ใช่จวนของเ้า สถานศึกษาไม่มีพื้นที่ที่มีกฎว่า ‘ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามผ่าน’ เฉิงชิงมีสิทธิจะไปที่ไหนก็ได้!”
เมิ่งไหวจิ่นไม่เพียงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ยังทำให้เขาเสียหน้าต่อผู้คน ใบหน้าของอวี๋ซานดำทะมึนดุจก้นหม้อ
“ข้าอาศัยอำนาจรังแกผู้คน แต่ก็มีบางคนที่ดูเหมือนว่าจะค้อมตัวนานจนยืนตรงไม่ได้ เป็คนดีๆ ไม่ชอบ อยากเป็... ถุย!”
แววตาของเมิ่งไหวจิ่นเ็าไร้ความอบอุ่นแม้แต่น้อย ประโยคของอวี๋ซานที่ว่า ‘เป็คนดีๆ ไม่ชอบ อยากเป็สุนัข’ ยังไม่ทันออกจากปาก พวกเฉิงกุยพลันได้สติขึ้นมาในที่สุด ทยอยคารวะทักทายเมิ่งไหวจิ่นทีละคน
เมิ่งไหวจิ่นมองเฉิงกุยด้วยแววตาอ่านยาก เมื่อครู่นี้คนผู้นี้ไม่ได้ขัดขวางอวี๋ซาน เพียงแค่มองกำปั้นของอวี๋ซานตกใส่ร่างของเฉิงชิงอย่างนิ่งเฉย… มีญาติผู้พี่เช่นนี้ สู้ไม่มีเสียดีกว่า
เฉิงกุยถูกแววตาของเมิ่งไหวจิ่นทิ่มแทงจนแก้มร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรดี
เมิ่งไหวจิ่นไม่สนใจพวกเขา หันหน้าไปถามเฉิงชิง
“เ้ายังไม่คุ้นเคยกับสถานศึกษาดี ไม่สู้ให้ข้าส่งเ้าลงเขา”
เฉิงชิงย่อมรับความหวังดีของเมิ่งไหวจิ่นไว้
ไม่ใช่ว่านางขลาดกลัวจึงใช้การเจรจา นางกลัวว่าถึงแม้อวี๋ซานสู้ไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรอวี๋ซานก็ยังมีผู้ช่วยตั้งมากมาย
วันนี้เมิ่งไหวจิ่นช่วยแก้ไขปัญหาแทนนาง นางติดหนี้เขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ส่วนอวี๋ซาน… ั์ตาของเฉิงชิงเย็นะเื เดิมนางรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็แค่เด็กหนุ่มจูนิเบียว[1]ยุคโบราณคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าเขากลับรนหาที่ตายมาสองครั้งแล้ว ที่จริงแล้วเฉิงชิงไม่ใช่คนที่นิสัยดีอะไรนัก ถึงแม้เ้าเมืองอวี๋จะส่งจานฝนหมึกชั้นดีมาหนึ่งร้อยใบก็มิอาจชดเชยความสารเลวของอวี๋ซานได้!
เมิ่งไหวจิ่นกับเฉิงชิงพูดคุยกันเอง ละเลยอวี๋ซานที่อยู่ด้านข้าง เมิ่งไหวจิ่น้าพาเฉิงชิงไป อวี๋ซานจึงเตือนเมิ่งไหวจิ่นอย่างกระตือรือร้น “เ้าคนแซ่เมิ่ง เ้าอยากมาแส่เองนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลัง!”
เมิ่งไหวจิ่นและเฉิงชิงเดินจากไปโดยไม่สนใจ แผ่นหลังหายไปหลังพุ่มดอกไม้แล้ว เสียงของเมิ่งไหวจิ่นก็พลันลอยมาตามสายลม
“ข้าเห็นว่างานในคาบเรียนของพวกเ้านั้นสบายเกินไป เมื่อเป็เช่นนี้แล้ว พวกเ้าทุกคนก็คัดตำราหลุนอวี่สิบจบแล้วส่งมาให้ข้าภายในสามวัน ในเมื่อพวกเ้าเป็ศิษย์ของสถานศึกษา ส่วนข้าก็เป็ศิษย์พี่ของพวกเ้า ศิษย์พี่สั่งให้พวกเ้าคัดตำราก็เพราะหวังดีต่อพวกเ้า!”
พวกเฉิงกุยต่างนิ่งอึ้ง
คำพูดนี้ช่างคุ้นหูนัก เหมือนคำพูดยามอวี๋ซานดึงเฉิงชิงไม่มีผิดเพี้ยน ที่แท้เมิ่งไหวจิ่นก็มาตั้งนานแล้ว!
อวี๋ซานที่้าจะไล่ตามไปถูกพวกเฉิงกุยรั้งไว้อย่างไม่คิดชีวิต
“อวี๋ซาน อย่าลงมือ”
“เมิ่งไหวจิ่นเป็ผู้ที่ได้รับความนิยมเป็ลำดับแรกของสถานศึกษา จะเกิดเื่กับใครก็ได้ยกเว้นเขา”
อวี๋ซานเอ่ยถามอย่างโกรธแค้น “เช่นนั้นต้องคัดตำราหลุนอวี่สิบจบจริงหรือ?”
สหายร่วมเรียนพยักหน้าอย่างขมขื่น “ทางที่ดีที่สุดคือคัดเถิด หากเมิ่งไหวจิ่นนำเื่นี้ไปแต่งเติมแล้วแจ้งแก่สถานศึกษา จากตำราหลุนอวี่สิบจบอาจจะเปลี่ยนเป็ยี่สิบจบก็เป็ได้ โดยเฉพาะเ้า เ้าเพิ่งถูกที่บ้านลงโทษตัดเงินค่าใช้จ่าย หากเื่นี้ไปถึงหูของใต้เท้าอวี๋ล่ะก็...”
ช่างเป็หายนะที่หล่นมาจากฟ้าโดยแท้ ต้องคัดหลุนอวี่สิบจบภายในสามวัน พวกเขามือหงิกแน่
แล้วจะโทษใครได้อีกเล่า?
เื่ราวที่เกิดขึ้นเื่แล้วเื่เล่า ความบังเอิญทั้งหมดที่ล้วนกันทำได้เพียงแค่โทษเฉิงชิงผู้นั้น หากฝ่ายตรงข้ามไม่มาทำลับๆ ล่อๆ แอบฟัง ก็คงไม่เกิดการกระทบกระทั่งในภายหลัง
ใบหน้าของเฉิงกุยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เอ่ยว่าจบเื่แล้ว หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปหาเื่เฉิงชิงเพราะเขาอีก
อวี๋ซานโบกมือ “ความแค้นของข้ากับเ้าเด็กนั่นใหญ่หลวงนัก เื่ราวหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับเ้า!”
เดิมเฉิงชิงมีความโกรธอยู่เต็มท้อง พอได้ยินว่าเมิ่งไหวจิ่นสั่งให้พวกอวี๋ซานคัดตำราหลุนอวี่สิบจบภายในสามวันก็แทบจะหลุดหัวเราะ
ไม่ว่าจะยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน สุดท้ายวิธีของศิษย์หัวกะทิก็ไม่แตกต่างกัน
ศิษย์หัวกะทิยินดีที่จะทำการบ้าน แต่ศิษย์ธรรมดากลับต่อต้านการทำการบ้าน หากศิษย์ยังมีเรี่ยวแรงไปดื้อซน… ก็ย่อมเป็เพราะการบ้านน้อยเกินไปอย่างไรล่ะ!
เมิ่งไหวจิ่นเห็นหัวไหล่ของนางสั่น ชัดเจนว่าอดกลั้นไม่ไหวแล้ว อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก
“อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ ข้ารู้ว่ากลั้นไว้มันลำบาก”
อารมณ์เปลี่ยนได้รวดเร็วเช่นนี้ถือว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมิ่งไหวจิ่นมองออกแล้วว่าเฉิงชิงเป็ผู้ที่สามารถจัดการอารมณ์ตนเองได้ดีผู้หนึ่ง… เป็เช่นนี้ถือว่าดี การเป็ผู้ที่จมอยู่กับความแค้นนั้นใช้ชีวิตเหนื่อยนัก
เฉิงชิงเก็บรอยยิ้มแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าจดจำบุญคุณของศิษย์พี่เมิ่งไว้แล้ว เป็ครั้งที่สองที่ท่านช่วยเหลือข้า!”
เมิ่งไหวจิ่นส่ายศีรษะ “เ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก ที่ช่วยเหลือเ้าสองครั้งล้วนเป็เื่บังเอิญ เป็เพราะผู้อื่นฝ่าฝืนกฎระเบียบก่อน หากผู้คนทำเป็ไม่สนใจเื่เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเื่วุ่นวาย ข้า้ารักษาระเบียบ หาได้ตั้งใจช่วยเ้าไม่”
ที่เมิ่งไหวจิ่นกล่าวล้วนเป็ความจริง!
เฉิงชิงเข้าใจได้ถึงจุดยืนของเมิ่งไหวจิ่น เป็เพราะตัวฝ่ายตรงข้ามเองเป็ผู้ได้รับผลประโยชน์จากกฎระเบียบ… ทำไมบัณฑิตตกยากผู้หนึ่งถึงมีสถานะสูงส่งในสถานศึกษาหนานอี๋ได้? ก็เป็เพราะกฎที่สถานศึกษากำหนดขึ้น และก็เพราะระเบียบของราชวงศ์เว่ยทั้งหมด อาชีพใดๆ ก็ไม่สูงส่งเท่าบัณฑิต เพียงสามารถความสร้างความดีความชอบในการสอบเข้ารับราชการได้ ไม่ว่าจะเป็อันดับที่เท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดอย่างไรก็ล้วนถูกแบ่งตามวุฒิการสอบเข้ารับราชการอยู่ดี บัณฑิตจวี่เหรินมีสถานะสูงส่งกว่าบัณฑิตซิ่วไฉ ตำแหน่ง ‘เจี้ยหยวน’ เองก็อยู่เหนือบัณฑิตจวี่เหรินทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ แม้เมิ่งไหวจิ่นจะให้พวกอวี๋ซานคัดหลุนอวี่จนพวกอวี๋ซานโกรธจนเต้นผาง แต่ที่ต้องคัดก็ยังคงต้องคัดอยู่
เฉิงชิงเข้าใจดี
การที่เมิ่งไหวจิ่นช่วยเหลือนางอาจจะไม่ใช่เพื่อช่วยนางเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อรักษากฎระเบียบด้วย
ทว่าเื่นี้ก็ไม่ได้ขัดขวางความซาบซึ้งที่นางมีต่อเมิ่งไหวจิ่น
เมิ่งไหวจิ่นส่งนางถึงประตูทางเข้าสถานศึกษา “เฉิงชิง ข้าไม่สามารถออกตัวมาช่วยเ้าได้ทันทุกครั้ง สถานศึกษาหนานอี๋มีบัณฑิตตกยาก มีคุณชายบุตรเ้าเมืองที่หยิ่งผยองเช่นอวี๋เสี่ยน มีแม้กระทั่งผู้ที่มีพื้นเพสูงส่งกว่าอวี๋เสี่ยน การเข้าสถานศึกษาเป็เพียงแค่จุดเริ่มต้น หาก้าอยู่ที่สถานศึกษาอย่างสบายใจไร้กังวล เ้ามีเพียงหนทางเดียวให้เดินเท่านั้น”
หนทางเดียวที่สามารถเลือกเดินได้ที่ว่าคืออะไร ไม่จำเป็ต้องเอ่ยออกมาก็รู้
เมิ่งไหวจิ่นเคยเดินไปแล้ว เป็เส้นทางที่บัณฑิตของแคว้นเว่ยจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเดินอย่างไม่หยุดยั้ง... อวี๋ซานไม่ใช่ว่ายั่วยุนางไม่หยุดหย่อนหรือ? เมื่อเฉิงชิงแรกเข้าสถานศึกษาก็ต้องศึกษาในห้องติง ส่วนอวี๋ซานอยู่ในห้องปิ่งซึ่งสูงกว่าห้องติงอยู่หนึ่งระดับ
เฉิงชิงไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เข้าห้องอี่ที่อยู่ลำดับสูงกว่าก็พอ อวี๋ซานคงได้โกรธจนแผ่นดินะเิเป็แน่!
“เฉิงชิงจดจำคำชี้แนะอันล้ำเลิศของศิษย์พี่เมิ่งไว้แล้ว การสัญญาด้วยถ้อยคำนั้นไร้พลังไม่ต่างกับฝ้ายอ่อนนุ่ม ดังนั้นศิษย์พี่โปรดรอดูได้เลยว่าข้าจะทำเช่นไร”
เฉิงชิงเข้าใจถ้อยคำของเขาย่อมไม่ใช่ไม้ผุตอหนึ่ง เมิ่งไหวจิ่นอดพยักหน้าภายในใจไม่ได้
เขาเองก็ใช่ว่าจะว่างไม่มีอะไรทำ จึงมาดูแลเฉิงชิงศิษย์น้องตัวน้อยผู้ที่ยังไม่ได้เข้าศึกษาอย่างเป็ทางการผู้นี้เป็พิเศษ เพียงเพราะนายท่านห้าเฉิงเป็ห่วง เมิ่งไหวจิ่นถึงได้คอยดูแลเป็พิเศษเพิ่มขึ้นมาสองส่วน
“เ้าลงเขาไปก่อนเถิด พรุ่งนี้สถานศึกษาก็จะออกประกาศรายชื่อ หากเ้าสอบผ่าน ชื่อเ้าก็จะอยู่บนทำเนียบเกียรติยศ!”
[1] จูนิเบียวหรือโรค ม.2 หมายถึงผู้ที่ชอบแสดงออกเหมือนเด็กๆ คิดว่าตัวเองวิเศษเหนือใคร มีอำนาจและสิทธิ์เหนือผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้