บทที่ 1 : อาชีพคนขนศพ
แสงอาทิตย์แผดเผา ผืนแผ่นดินเปรียบเสมือนหม้อนึ่งขนาดใหญ่ อากาศที่ร้อนระอุทำให้ความว่างเปล่าดูคล้ายว่ามีเปลวเพลิงลุกโหม
ลั่วถูคุกเข่าหอบหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ที่พื้นเหมือนกับปลาขาดน้ำ ถุงเก็บศพที่แบกอยู่บนหลังยิ่งนานไปก็ยิ่งหนักขึ้นทุกที ทำให้ทุกก้าวรู้สึกคล้ายจะล้มลงเสียให้ได้ นี่มันไม่เหมือนขนศพหนึ่งศพแล้ว อย่างกับแบกูเาลูกใหญ่ที่กดทับจนหายใจแทบไม่ออกมากกว่า
ลั่วถูอดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ เขาหยุดพักชั่วครู่ จากนั้นวางถุงเก็บศพลง และเลิกชายเสื้อดูาแบริเวณเอวของตน จากเงามืดสีเทาจุดเล็กๆ มันขยายใหญ่ขึ้นจนครอบคลุมทั่วเอวของเขา คราวนี้แม้แต่ปากถุงเก็บศพก็ดูราวจะอ้าปากส่งรอยยิ้มเย้ยหยันให้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าใบมีดของเผ่าปีศาจไม่เพียงแทงอยู่ในศพเท่านั้น เพราะในถุงเก็บศพของภารกิจนี้ยังซ่อนใบมีดไว้อีกเล่มหนึ่งด้วย แถมตอนที่เขาตรวจดูศพกลับไม่พบรายละเอียดเล็กน้อยเลยสักนิด ทว่าตอนที่เขาแบกศพขึ้นหลัง เมื่อก้าวเดินไปบนเส้นทางแสนขรุขระ ใบมีดเล่มนั้นกลับแทงทะลุศพออกมา ถึงขนาดทะลวงถุงเก็บศพจนขาดไปด้วย และทิ้งแผลขนาดไม่ใหญ่มากที่เอวของเขานั่นเอง
พลังสีเทาของเผ่าปีศาจ มันคือพิษมารอันตรายถึงชีวิตชนิดหนึ่ง ผู้ที่ถูกพิษร่างกายจะเปลี่ยนเป็สีเทาอ่อน และเมื่อพิษลามไปถึงหัวใจเมื่อไรย่อมจบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงเขาจะกินยาต้านมารเข้าไปแล้ว ทว่าพิษมารบนใบมีดเล่มนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มากนัก ยาต้านมารธรรมดาของสำนักซินตันจึงไม่อาจต้านทานได้
เมื่อพิษมารเข้าสู่ร่างกายก็ทำให้แต่ละย่างก้าวของเขายิ่งหนักหนาขึ้นทุกขณะจิต แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำภารกิจขนศพนี้ให้สำเร็จให้จงได้ แน่นอนว่าเขายังต้องรีบกลับเมืองตงเหยียน ถึงจะสามารถไปยังสำนักซินตันเพื่อขับพิษออกและรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ว่าการจะกลับไปได้ไหมนั้น งานนี้คงต้องพึ่งโชคชะตาเสียแล้ว
ลั่วถูดึงถุงน้ำออกมาดื่มอย่างเ็ป จากนั้นเทน้ำอุ่นๆ ราดศีรษะของตนโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปียก การกระทำเช่นนี้เองที่ช่วยให้เขามีสติขึ้นมาบ้าง เขาถอนหายใจยาวๆ และแบกถุงเก็บศพขั้นหลังอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้จัดเก็บใบมีดให้เข้าที่เสียใหม่แล้ว ทว่าถุงเก็บศพยังคงหนักดั่งภูผาเช่นเดิม
“ไม่ได้การแล้ว ขืนเป็แบบนี้ต่อไปต้องตายแน่!” ลั่วถูสูดลมหายใจลึก เขารู้ว่าท่ามกลางอากาศร้อนระอุเช่นนี้ หากยังฝืนเดินต่อ รังแต่จะทำให้เืสูบฉีดมากยิ่งขึ้น จากนั้นพิษมารจะยิ่งแพร่กระจายเร็วขึ้น ถ้าเป็อย่างนี้ล่ะ ก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสเดินออกจากสนามรบแห่งนี้เลย ตอนนี้เขาต้องหาที่พักสักที่เพื่อต้านพิษมารก่อน พอคิดได้เช่นนั้น ลั่วถูเงยหน้ามองไปข้างหน้า ไม่ไกลจากนี่มีแผ่นศิลาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านค้ำฟ้า สูงทะลวงเมฆา สู้แสงตะวันเหนือนภา และอีกด้านของแผ่นศิลาปรากฏเป็เงาขนาดใหญ่ ใต้ร่มเงาตรงนั้นอย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกแสงอาทิตย์แผดเผา
“ศิลากำเนิดเทพ ท่านคือผู้ปกปักิญญานับหมื่น หากข้าขอยืมร่มเงาคงไม่นับว่าเป็การดูิ่หรอกนะ!” ลั่วถูคิดในหัว และแบกศพไปทางศิลากำเนิดเทพอย่างยากลำบาก
……
ศิลากำเนิดเทพ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของกว่าหมื่นชนเผ่าบนโลกซิงเหิน ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว มันเป็ดังสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของฝึกฝนที่ซึ่งนำไปสู่การรู้แจ้งของผู้คนบนโลกซิงเหิน เพราะมีศิลากำเนิดเทพ ถึงได้กำเนิดวิถีการฝึกฝนของโลกซิงเหิน ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของศิลาเทพ ศิลาจักรพรรดิ และศิลาราชัน อันนับไม่ถ้วนบนโลกซิงเหิน
ศิลาทุกชิ้นบนโลกซิงเหินเป็ตัวแทนสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็การสืบทอด วิชายุทธ์ พลังจิต กฎเกณฑ์ หรือวิถีทาง และศิลาอันนับไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ล้วนเชื่อมโยงถึงศิลากำเนิดเทพทั้งหมด เพียงแต่เมื่อไม่กี่พันปีก่อน หลังจากเกิดภัยพิบัติหมื่นดวงดาว ศิลากำเนิดเทพได้สูบเอาพลังิญญาจากทั่วแผ่นดินใหญ่ในพริบตาและปลดปล่อยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด เพื่อปกป้องอันตรายจากภัยพิบัติที่มุ่งทำลายแผ่นดินนี้ไว้ ทว่าหลังจากนั้นเป็ต้นมา ศิลากำเนิดเทพเมื่อใช้พลังจนหมดสิ้น จึงกลายเป็เพียงศิลาธรรมดาแผ่นหนึ่งเท่านั้น วิชามากมายนับหมื่นนับพันในศิลาพลันสูญหาย เหลือไว้เพียงสิ่งที่ดูคล้ายลายสลักเท่านั้น นับแต่นั้นก็ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกฝนพลังจิตและวิถีอันยิ่งใหญ่จากศิลาได้อีกเลย ศิลาหินนี้จึงค่อยๆ กลายเป็เพียงตำนานและสัญลักษณ์ของโลกซิงเหินไปโดยปริยาย
ศิลาเทพรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสามร้อยสามสิบสามจั้ง[1] ทว่ากลับมีความยาวเพียงเก้าจั้งกว่าๆ เท่านั้น ทุกอย่างล้วนตรงตามคุณลักษณะของสิ่งที่แสนยิ่งใหญ่ ทว่ามันกลับเป็เพียงก้อนหินธรรมดาๆ เท่านั้น ลั่วถูแทบจะล้มลงใต้ศิลาทันทีที่เดินไปถึง ถุงเก็บศพบนหลังร่วงลงมา เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างของเขาอีกต่อไป ภาพเบื้องหน้าช่างพร่ามัวและหม่นแสงเหลือเกิน เขาพยายามพิงศิลาหินให้ตัวเองได้นั่งลง ทันใดนั้นเอง เขากลับรู้สึกถึงรสเฝือนในลำคอ และกระอักเืพุงออกมากระเซ็นเปรอะฐานของศิลา ในสีแดงสดของโลหิตนั้นมีสีเทาหม่นปะปนอยู่ด้วย
ลั่วถูอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเศร้าใจ พิษมารลามเข้าสู่หัวใจเป็ที่เรียบร้อย ดูท่าเขาเข้าใกล้ความตายมากขึ้นแล้ว แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไรนัก แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเขาหวาดกลัวเหลือเกินคือการไม่ได้ออกจากสนามรบแห่งนี้นั่นเอง ซ้ำร้ายก่อนตายยังใช้เืของตนิ่เกียรติแห่งศิลากำเนิดเทพอีก ช่างเป็ความผิดร้ายแรงเหลือเกิน
“นี่มันเป็แค่อุบัติเหตุ ท่านศิลาเทพมีดวงิญญาสถิตอยู่ต้องเข้าใจแน่ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ...” ลั่วถูฉีกเสื้อของตน ใช้มันเช็ดรอยเืบนศิลากำเนิดเทพอย่างระมัดระวัง ถึงขนาดเอาน้ำที่เหลือถุงสุดท้ายเทราดลงไป จึงเช็ดรอยเืออกได้สะอาดหมดจด หลังจากได้กระอักเืออกมาดูเหมือนร่างกายของลั่วถูจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ภายใต้เงาศิลากำเนิดเทพมีอากาศเย็นสบายก็จริง แต่เขารู้ดีว่าไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ที่ตั้งใจไว้ว่าจะกลับเมืองตงเหยียนเกรงว่าไม่อาจกลับไปได้เสียแล้ว หนทางเดียวคือเขาต้องหาที่อยู่ของเผ่ามนุษย์ที่ใกล้ที่สุด บางทีอาจยังมีโอกาสหายารักษาพิษมารพบ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ร่างกลายเป็สีเทาและกลายเป็เถ้าถ่านในท้ายที่สุด
“ให้ตายเถอะเ้านี่ ทำไมถึงหนักขนาดนี้นะ!” ลั่วถูแบกถุงเก็บศพขึ้นหลังอีกครั้ง อีกนิดเดียวเกือบจะโดนทับจนล้มอยู่แล้ว เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ร่างของเขาแทบจะคุกเข่าลงที่พื้น พยายามเท่าไรร่างกายก็ลุกไม่ขึ้น ใจอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น หรือครั้งนี้จะต้องผิดสัญญาต่อคนอื่นเข้าแล้ว?
การเป็คนขนศพ มีเพียงสิ่งเดียวที่ลั่วถูภาคภูมิ นั่นคือการไม่เคยผิดสัญญากับใคร ภารกิจที่ได้รับมาทุกครั้งล้วนสำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะเป็ศิษย์ของสำนักจ๋าเสวีย ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลารับภารกิจขนศพสักเท่าไรนัก ทว่าหากอาศัยเพียงเงินเดือนอันน้อยนิดของสำนักจ๋าเสวีย แล้วเมื่อไรเขาถึงจะเก็บเงินพอซื้อยาเปิดิญญาเพื่อเปิดิญญาครั้งที่เจ็ดได้เล่า? ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือก ต้องทำงานที่เสี่ยงอันตรายเช่นคนขนศพ เพราะได้รับค่าตอบแทนที่สูง...
การเปิดิญญาคือขั้นตอนที่ทุกชีวิตบนโลกซิงเหินต้องเคยพบเจอ เพราะการเปิดิญญาสำเร็จหรือไม่นั้นจะเป็ตัวกำหนดความสำเร็จและตำแหน่งในภายภาคหน้าของทุกคน หากเปิดิญญาสำเร็จั้แ่ครั้งแรกย่อมเป็อัจฉริยะ พร์ระดับนี้ไม่จำเป็ต้องลงไปฝึกฝนที่โลกระดับล่าง แต่จะได้ฝึกฝนบนโลกชั้นสูง ได้รับการฝึกฝนที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็ชนเผ่า สำนัก หรือว่า ตระกูล นิกายไหนก็ตามย่อมส่งมอบความคาดหวังอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ที่เปิดิญญาได้ั้แ่ครั้งแรกกันทั้งนั้น
เด็กบนโลกซิงเหินไม่ว่าหญิงหรือชายที่ครอบครัวพอมีฐานะดีหน่อยโดยทั่วไปจะเริ่มฝึกร่างกายั้แ่เล็ก เมื่ออายุได้ห้าขวบก็สามารถฝึกฝนวิชายุทธ์พื้นฐานจากศิลาาได้ และเมื่ออายุเข้าแปดขวบก็เริ่มเข้าสู่การเปิดิญญาครั้งแรก
การเปิดิญญาครั้งแรกของทุกคนสามารถรับยาเปิดิญญาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าต่างๆ ได้ ไม่ว่ายากดีมีจนล้วนไม่ต่างกัน และผู้ที่เปิดิญญาได้สำเร็จจะได้ลงทะเบียนในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งวิหารสามารถส่งตัวไปยังสำนักแห่งชนเผ่าของโลกชั้นสูงได้โดยตรง โดยสำนักของชนเผ่ามนุษย์นั้นมีอยู่ด้วยกันห้าสำนัก ทั้งยังมีตระกูลระดับเก้า นิกายระดับแปด ทั้งหมดล้วนเฝ้ารอรับสมัครผู้มีพร์กันทั้งสิ้น
แต่ผู้ที่ไม่สามารถเปิดิญญาสำเร็จในครั้งแรก ต้องแสวงหาทรัพยากรสำหรับการเปิดิญญาครั้งที่สองด้วยตัวเอง โดยอาจได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว หรือทำภารกิจสำเร็จเพื่อรับคะแนนความสำเร็จไปแลกกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เช่นกัน เพียงแค่ทุกครั้งที่เปิดิญญาล้มเหลว ยาเปิดิญญาที่ต้องใช้ในครั้งต่อไปจะเพิ่มเป็ทวีคูณ เช่นเปิดิญญาครั้งแรกจะใช้ยาเปิดิญญาแค่หนึ่งเม็ด แต่ครั้งที่สองต้องใช้สองเม็ด และครั้งที่สามต้องใช้สี่เม็ด ครั้งสี่ที่ต้องใช้แปดเม็ด... เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งจำนวนครั้งมากเท่าไร ความ้ายาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังมีขีดจำกัดครั้งใหญ่อยู่ด้วย ถ้าหากอายุครบสิบห้าปีแล้วยังไม่สามารถเปิดิญญาสำเร็จ รากิญญาจะค่อยๆ สลายไป สุดท้ายจะกลายเป็คนธรรมดาไร้วิชา ดังนั้นผู้เปิดิญญาต้องเปิดิญญาให้สำเร็จก่อนอายุสิบห้าปี เมื่อผ่านอายุสิบห้าปีไปแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เลือกจะยอมแพ้ แน่นอนว่าพวกคนยากจนหลังจากเปิดิญญาครั้งที่สองก็จะไม่ฝืนต่อ เพราะพวกเขาไม่อาจสรรหาทรัพยากรจำนวนมากราวกับน้ำในมหาสมุทรนี้ได้ เพราะยาทุกเม็ดต้องแลกมาด้วยความพยายามอย่างยาวนานของพวกเขา เว้นเสียแต่ว่าจะไปทำงานเสี่ยงอันตรายแทน
ความเสียใจของลั่วถูก็คือรากิญญาของเขาช่างไร้ค่าเหลือเกิน เขาเกิดเป็เชื้อสายตรงของตระกูลระดับห้า ที่จริงแล้วครอบครัวของเขามีทรัพยากรมากมายยิ่งกว่าที่ครอบครัวทั่วไปจะหาได้ทั้งชีวิตอยู่แล้ว ทว่ารากิญญาของเขาไม่เพียงมืดมัว แต่ยังมีถึงเก้าสีผสมปนเปไปหมด ช่างไร้ค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้จริงๆ และทรัพยากรของตระกูลจะให้เขาผลาญไม่หยุดหย่อนก็ไม่ได้ เมื่อเขาใช้ไปมากคนอื่นย่อมได้น้อยลง ลั่วถูที่น่าสงสารด้วยการสนับสนุนของตระกูลแต่เขายังคงเปิดิญญาไปห้าครั้งและล้มเหลวทั้งหมด... ผู้นำตระกูลลั่วจึงสิ้นหวัง จากระดับพร์ปกติของลูกหลานตระกูลลั่ว ยาิญญาที่ลั่วถูผลาญไปสามารถใช้ในการเปิดิญญาของอัจฉริยะได้ถึงสิบคน แต่เมื่อใช้กับลั่วถูแล้วช่างไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงถูกส่งมายังโลกชั้นล่าง โดยหวังว่าจะได้เรียนรู้เื่ต่างๆ ในโลกชั้นล่างให้มากหน่อย อย่างน้อยก็พอให้หาข้าวกินเองได้
ทว่าลั่วถูไม่ยอมแพ้ ในบันทึกนับพันปีที่ผ่านมา มีผู้าุโที่เปิดิญญาถึงครั้งที่แปดจึงทำสำเร็จ แต่ว่าในตำนานบอกว่ารากิญญาของผู้าุโท่านนั้นมีเพียงห้าสีผสานกัน ไม่ต้องสงสัยเลยรากิญญาของลั่วถูไร้ประโยชน์ยิ่งกว่านั้นมากนัก ถ้าอย่างนั้นหากแปดครั้งไม่สำเร็จ ก็สิบครั้ง หากสิบครั้งยังไม่สำเร็จก็สิบสองครั้ง เป็ลูกหลานของตระกูลระดับห้าแท้ๆ หากไม่สามารถประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งของตนได้ เช่นนั้นมีแต่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของผู้อื่นตลอดชีวิต ดังนั้นเขาจะต้องเปิดิญญาให้สำเร็จให้จงได้
ในสำนักจ๋าเสวีย ลั่วถูได้รับคะแนนเพียงเล็กน้อย แต่การที่เขาอยู่ในสำนักซินตันมาหลายปีก็พอจะมีมิตรสหายอยู่บ้าง บางครั้งก็ไปให้อาจารย์ปรุงยาทุบตี บางครั้งก็เสี่ยงเป็หนูทดลองยาให้อาจารย์ปรุงยา เขาจึงได้รับยาเหลือทิ้งสำหรับฝึกฝนมาบ้าง และแน่นอนว่าคนทดลองยาจะได้รับยาเปิดิญญาเป็รางวัล เพราะรู้ถึงวิธีนี้เขาจึงได้หาคะแนนและยาเปิดิญญาได้เร็วกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ทว่าสำหรับเขามันยังคงขาดอีกมากทีเดียว เพราะการเปิดิญญาครั้งที่หก เขาต้องใช้ยาถึงสามสิบสองเม็ด ในขณะที่เขาอาจต้องมีครั้งที่เจ็ด ที่ต้องใช้ยาถึงหกสิบสี่เม็ด และถ้าหากเื่โชคร้ายยังคงเกิดขึ้นซ้ำซากอีก การเปิดิญญาครั้งที่แปดของเขาต้องใช้ยาหนึ่งร้อยยี่สิบแปดเม็ด หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคือตัวเลขแห่ง์ ที่คงมีแค่์เท่านั้นที่จะบันดาลให้เขาได้ แม้แต่คนที่เกิดในตระกูลระดับห้า ก็ใช่ว่าจะหายาเปิดิญญามากมายขนาดนั้นได้ในเวลาอันสั้น เว้นเสียแต่ว่าในตระกูลจะมีนักปรุงยาขั้นกลางอยู่ด้วย ทว่าวัตถุดิบสำหรับยาิญญาก็มีราคาแพงมากเช่นกัน อีกทั้งของพวกนี้ส่วนมากยังอยู่ในมือของกลุ่มเผ่าพันธุ์ ตระกูลและแต่ละครอบครัวสามารถมีไว้ในได้เพียงน้อยนิด ไม่อาจใช้อย่างสิ้นเปลืองได้เด็ดขาด ดังนั้นเื่ใดที่ลั่วถูสามารถทำได้และได้รับคะแนน เขาก็ทำแทบทั้งหมดเท่าที่ทำได้ คนขนศพเป็เพียงหนึ่งในอาชีพที่เขาทำเท่านั้น ทั้งยังเป็อาชีพที่ได้รับยาเปิดิญญาและคะแนนรวดเร็วที่สุด แน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุดเช่นกัน!
—————————————————————————————-——————————————————————————
[1] จั้ง หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีนในสมัยโบราณ 1 จั้งเท่ากับ 10 ฉื่อ หรือ ประมาณ 2.5 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้