แค่อาหารมื้อเดียว ไม่ใช่แค่ทำให้ความสัมพันธ์ของฉวีเจี๋ย เจียงไป๋ และหม่าฉางหยางสนิทเข้าไปอีกขั้น
ฉวีเจี๋ยก็ยิ่งเลื่อมใสเจียงไป๋มากขึ้น
ส่วนหม่าฉางหยางกับเจียงไป๋ก็พูดคุยเข้ากันได้ดี ทั้งสองคนต่างก็เรียกกันเป็พี่เป็น้อง
สำหรับในตอนนี้จะมีความจริงอยู่สักเท่าไรกัน จริงหรือปลอมก็คงไม่มีใครรู้ชัด แต่อย่างน้อยดูจากภายนอกแล้วก็สนิทกันดี ทั้งสามคนต่างก็พอใจ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและปฏิเสธข้อเสนอ “บันเทิงๆ” ของหม่าฉางหยางแล้ว พวกเจียงไป๋ก็ออกไปทันที
แต่เพิ่งจะเดินออกจากประตูมาเจียงไป๋ก็เห็นสาวน้อยรูปร่างเพรียวงาม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีฟ้า สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว ใบหน้าสวยราวกับดอกท้อ อ่อนเยาว์เหมือนกับสายน้ำ ปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล
เวลานี้สาวน้อยที่มัดผมหางม้ากำลังมองเจียงไป๋อยู่ห่างๆ อย่างโมโห เมื่อเห็นเขาเดินออกมาแล้ว ก็รีบพูดว่า “เจียงไป๋!”
“เอ่อ … ” เจียงไป๋ตะลึงงัน
สาวน้อยดูอ่อนเยาว์จนน่าประทับใจ และร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงหน้าของเจียงไป๋ตอนนี้ก็คือหว่านหรูญาติผู้น้องที่เป็ถึงดาวโรงเรียน แม้น้องสาวคนนี้ …
จะเป็ญาติที่ห่างกันไปสักหน่อย
แม่ของหลินหว่านหรูกับแม่ของเจียงไป๋เป็ญาติของญาติกัน ความสัมพันธ์ทางสายเืห่างกันมาก กับเขาเองก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแม้แต่น้อย ก็แค่สองครอบครัวพักอาศัยอยู่ใกล้กัน ความสัมพันธ์ของแม่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เลวนัก ดังนั้นจึงเรียกกันแบบนี้เท่านั้นเอง
ถึงแม้ความสัมพันธ์ในตอนเด็กจะไม่เลว สาวน้อยคนนี้เมื่อก่อนมักจะวิ่งตามเขาเสมอ แต่ก็เป็เื่ที่ผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว?
ตอนที่สาวน้อยคนนี้ขึ้น ม.ต้น ก็ออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง พอเขาเรียนจบ ม.ปลาย ก็มาที่เทียนตู จึงติดต่อกันน้อยลง และไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเทียนตูได้ จึงมาอยู่ที่เมืองนี้ และเพราะแม่เป็เหตุ จึงทำให้ได้พบกันโดยบังเอิญ แต่ก็แค่ทักทายกันง่ายๆ สองสามคำเท่านั้น
สาวน้อยคนนี้ยิ่งโตเป็สาว ก็ยิ่งอวดดี จนในบางครั้งไม่ไว้หน้าเขา จึงทำให้ไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และบางครั้งยังชอบสั่งสอนเขาอยู่ตลอดเวลา แถมยังชอบบ่นอีกมากมาย นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก
พูดตามตรง เจียงไป๋ในเมื่อก่อนหลังจากล่วงเลยมาสองสามปี ตอนที่เห็นสาวน้อยหน้าตาดีก็เคยใจเต้น แต่สาวน้อยคนนี้เป็นักเรียนเรียนดี หน้าตาสวย ผลการเรียนดีเยี่ยม เป็เด็กเกียรตินิยม และมีอนาคตสดใส
เจียงไป๋เข้าใจในจุดนี้ และก็ยกเลิกความคิดนี้แล้ว เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาต่างกันเกินไป
แต่ทำไมวันนี้สาวน้อยคนนี้ถึงมาที่นี่ได้?
ใบหน้ายังเต็มไปด้วยอาการโมโหหมายความว่าอย่างไร?
“อิๆ พี่ชายพวกเราไปก่อนล่ะ ฉันจะให้เสี่ยวเทียนรอพี่อยู่ด้านนอกแล้วกัน หาก้าอะไรก็เรียกเขาได้”
ฉวีเจี๋ยหัวเราะคิกคัก และเดินเข้ามาหาเจียงไป๋ด้วยใบหน้าที่ยิ้มเยาะ และก็มองหลินหว่านหรูอีกแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับพวกหม่าฉางหยาง แต่ก่อนจะไปก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้กับเขาอีกครั้ง ทำให้เจียงไป๋อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่
“มีอะไร? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
หลังจากที่คนทั้งหมดออกไปแล้ว เจียงไป๋ก็เดินเข้าไปใกล้หลินหว่านหรูพลางถาม
แต่เมื่อถามจบ เจียงไป๋ก็รู้ว่าถามไปก็เสียเวลาเปล่า สาวน้อยคนนี้ไม่ได้มาหาเขาแน่นอน แต่เขาก็ไม่เห็นบรรดาสาวน้อยที่มีรูปร่างไม่เลวสองสามคนที่ตอนนี้กำลังใช้สายตามีเลศนัยจับจ้องมาตรงนี้อยู่
“ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ไม่สำคัญหรอก แต่พี่กำลังจะทำอะไร? เจียงไป๋! งานออกจะดีทำไมพี่ไม่ทำแล้วล่ะ? หนูไปหาพี่ที่บ้านจะเอาของไปส่งให้ พี่ก็ไม่อยู่ ได้ยินว่าพี่ไปมีเื่กับคนอื่น? และยังจะลาออกจากงาน? ตอนนี้ยังมามั่วอยู่กับนักเลงพวกนั้นอีก! เจียงไป๋พี่ทำให้หนู … ไม่ใช่สิ ทำให้คุณป้าผิดหวังเกินไปแล้ว! ท่านเลี้ยงพี่มาจนโตขนาดนี้มันง่ายนักหรือ? พี่เรียนไม่ดีออกมาหางานทำก็ต้องตั้งอกตั้งใจทำงาน อย่าเอาแต่ไปมั่วอยู่กับพวกนอกลู่นอกทาง!”
ยังไม่ทันรอให้เจียงไป๋ได้พูดอะไร หลินหว่านหรูก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ เธอพูดใส่เจียงไป๋ไม่หยุด
“เอ่อ พี่ … ”
เจียงไป๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ติดอยู่ที่ปากและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ลองคิดดูสองสามคนเมื่อครู่ พวกหม่าเสี่ยวเทียนแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเขา สำหรับหม่าฉางหยาง …
ลูกพี่หม่าคนนี้สมกับที่เป็ลูกพี่ รูปร่างกำยำล่ำสันโดยกำเนิด วันนี้ก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอย่างเป็ทางการ เขาใส่เพียงเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ ดูแล้วก็เหมือนจะห่างไกลจากคำว่าคนดีนิดหน่อย
พูดถึงฉวีเจี๋ย
เขาหัวล้าน ใส่สร้อยทองเส้นโต เสื้อเชิ้ตลายดอก กางเกงลำลอง สวมรองเท้าหนังคู่ใหญ่ เสื้อเชิ้ตติดกระดุมแค่สองเม็ด เผยให้เห็นัเขียวที่เปล่งประกายออกมา ท่าทางแบบนั้นมันนักเลงชัดๆ!
คนแบบนี้จะดีหรือร้ายก็ถือว่าเป็ผู้มีฝีมือทางวูซูจีน ตอนนี้เมื่อลองคิดดู ทำไมถึงมีรสนิยมเช่นนี้ …
มิน่าล่ะอาจารย์ท่านนั้นถึงตายก็ไม่ยอมรับเขาเด็ดขาด หากเจียงไป๋เป็อาจารย์ของเขาก็คงอายที่จะยอมรับว่ามีลูกศิษย์อย่างนี้
ดังนั้นก็ไม่แปลกที่หลินหว่านหรูจะคิดแบบนี้
“พี่อะไร! พี่ก็โตจนขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะทำอะไรที่มันดีๆ! ครั้งก่อนทำไมถึงไปตีคนอื่น? เพื่อนบ้านของพี่บอกว่าพี่ตีหัวเขาจนแตกยับเยินเลย หรือว่าเรียนมาจากนักเลงสองสามคนนั้น? เจียงไป๋หรือพี่ไม่เข้าใจว่าทำอย่างนี้มันไม่มีอนาคต? หรือว่าอนาคตพี่อยากจะเข้าไปนอนอยู่ในคุกหรือจะตายอยู่ข้างถนนล่ะ? หนูมองพี่ผิดไปจริงๆ เมื่อก่อนพี่ไม่เอาไหน จะดีหรือร้ายก็ถือว่าซื่อตรง แต่ดูตอนนี้สิ กลายเป็หมาเห่าใบตองแห้งไปเสียแล้ว!”
หลินหว่านหรูยืนดุเจียงไป๋อยู่ตรงนั้นอย่างไม่สนใจเลยว่ากำลังทำให้คนที่อยู่โดยรอบเข้ามามุงดู ท่าทางของเธอเหมือนกับเม่นพองขน ทำให้เพื่อนร่วมห้องที่อยู่ไกลออกไปต่างก็ตะลึงงันไปเลยทีเดียว
หลินหว่านหรูที่พวกเธอรู้จักนั้นสุภาพเรียบร้อย มีลักษณะเหมือนลูกคุณหนู เวลาพูดกับคนอื่นก็ล้วนอ่อนหวาน แล้วจะไปเคยเห็นท่าทางอย่างนี้ของเธอได้อย่างไร?
“พวกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นเป็ใคร? ทำไมหว่านหรูถึงได้โมโหแบบนั้น?”
“หรือว่าจะเป็แฟนของเธอ? นอกใจแล้วถูกจับได้หรือ?”
“อย่าพูดมั่วๆ หว่านหรูยังไม่มีแฟนพวกเราก็รู้ดี ผู้ชายคนนี้น่าจะมีความสัมพันธ์อย่างอื่น แต่ก็แปลกมาก ฉันไม่เคยเห็นเธอโมโหอย่างนี้มาก่อนเลย”
“จะต้องมีปัญหากันแน่นอน”
ผู้หญิงสองสามคนกระซิบกระซาบนินทากันอย่างเมามัน
“อ้อ … เื่นี้จริงๆ แล้วพวกเราก็ไม่ใช่คนเลวอะไร โดยเฉพาะพี่ก็ไม่ … ”
เจียงไป๋้าจะอธิบาย แต่เขาพบว่าตนเองเพิ่งจะปริปากพูดก็ถูกสาวน้อยคนนี้ตัดบทอีกแล้ว
“พี่ดื่มเหล้า? พี่ไม่ดื่มเหล้าไม่ใช่หรือ? พัฒนาแล้ว! ยังจะไม่ใช่คนเลวอะไร พี่บอกหนูมาถ้าคนอย่างนั้นไม่ใช่คนเลว แล้วคนอย่างไหนคือคนเลว! เจียงไป๋ หนูรู้สึกว่าพี่ไม่เอาไหนมากขึ้นทุกที! ดินเลนเละๆ อย่างพี่มันก่อเป็กำแพงไม่ได้จริงๆ!”
หลินหว่านหรูขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยังคงน่ารัก ก่อนจะพูดต่อ!
นี่มันเกินไปแล้ว!
เจียงไป๋ขมวดคิ้ว เพิ่งนึกได้ว่าจะต้องโมโห แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา แม่สาวน้อยคนนี้ก็กลับพูดมารัวๆ อีกแล้ว
เพียงแค่พูดออกมา ก็ทำให้ไฟในใจของเจียงไป๋มอดลง และก็ไม่ได้พูดตอบโต้ออกมา
“พอแล้ว เื่แบบนี้หนูจะไม่พูดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต่อไปอย่าไปมั่วสุมอยู่กับคนพวกนี้อีก หนูหาตัวพี่มาสองอาทิตย์แล้ว เื่นั้นของพี่ได้ยินว่าลำบากมาก หนูรบกวนเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในท้องที่ พวกเขาบอกว่าคนนั้นยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ครอบครัวของเขาก็ได้ยินว่าไม่ธรรมดา ลำบากมาก พี่ต้องระวังตัวด้วย! หนูจะคิดหาทางจัดการให้! พี่ไม่มีงานทำเงินก็น่าจะมีไม่มาก ครั้งก่อนแม่ให้เงินหนูไว้นิดหน่อย ไม่มาก สองพันหยวน พี่เอาไปก่อนเถอะ อีกอย่างหากพี่ยินยอม หนูคุยกับคณบดีแล้ว พี่สามารถมาทำงานที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยได้ ที่นั่นกำลังขาดบรรณารักษ์ห้องสมุดอยู่พอดี งานไม่หนัก เดือนละหนึ่งพันแปดร้อยหยวน เงินเดือนไม่ถือว่าสูงแต่รวมอาหารและที่พัก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลินหว่านหรูก็เบาลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีอาการโมโหอย่างเมื่อครู่แล้ว ตอนที่พูดยังคงมีความเยือกเย็นอยู่บ้าง แต่ความเป็ห่วงเป็ใยกลับชัดเจนกว่า
เจียงไป๋ในเมื่อก่อนบางทีอาจจะมองไม่เห็น แต่เขาในตอนนี้กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ซึ่งนี่ก็ทำให้ความโกรธภายในใจของเจียงไป๋หายไปจนหมด คิดดูแล้วหลายวันมานี้แม่สาวน้อยคนนี้ก็ทุ่มเทไปไม่น้อยเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้