บทที่ 35 สิบสามธงแห่งเยี่ยนเป่ย
ไม่ทันไรฝนก็เทลงมาอย่างหนักเสียแล้ว เสียงเม็ดฝนตกกระทบกับใบไม้ดังลั่นทั่วูเาจนแทบกลบทับเสียงของลั่วถูและคนอื่นๆ ไปหมด
ด้วยคำแนะนำของลั่วถู ทุกคนจึงพยายามเหยียบไปบนใบไม้หรือบนก้อนหินเท่านั้น ทำให้ทิ้งรอยเท้าไว้น้อยมาก หากถึงเวลาต้องถอยออก ก็ไม่เหลือรอยเท้าให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นมากนัก
ท้องฟ้ามืดครึ้มน่าหวาดกลัว พายุฤดูร้อนชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดเกินบรรยาย จากต้นไม้ถูกฟ้าผ่าจนถึงผาปากเหยี่ยวเป็ระยะทางเพียงห้าหกลี้ แต่ลั่วถูและคนอื่นๆ กลับต้องใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งก้านธูป
แต่เพิ่งมาถึงใต้ของผาปากเหยี่ยวไม่ทันไร ลั่วถูและคนอื่นๆ ก็พบร่องรอยเข้าแล้ว นั่นคือกระดิ่งที่ถูกวางไว้อย่างแเี เพียงแค่ััโดนสาย กระดิ่งก็จะดังขึ้น แต่ในเวลานี้กลับกลายเป็เื่น่าขัน เพราะท่ามกลางพายุ กระดิ่งใบนี้ก็ส่งเสียงไม่หยุด ทำให้ลั่วถูได้เห็นว่ามีคนสองคนลงมาจากบนเขา เก็บกระดิ่งกลับไปด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก่นด่าไปตลอดทางขึ้นไปยังผาปากเหยี่ยว
เมื่อหลิวฉงเหวินเห็นทั้งสองคน สีหน้าพลันไม่สู้ดีนัก ลมปราณบนร่างของทั้งสองแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยต้องเป็ระดับศิษย์าขั้นสองแน่ แค่ลูกน้องสองคนที่วิ่งลงมาก็เป็ถึงศิษย์าขั้นสองแล้ว อย่างนี้ผู้ที่พักผ่อนอยู่บนผาปากเหยี่ยวจะขนาดไหนกัน?
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านรู้จักคนเ่าั้หรือ?” ซ่งตงเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ
หลิวฉงเหวินพยักหน้า คนพวกนี้ทาสีพรางใบหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา มิหนำซ้ำสีบนใบหน้าพอถูกน้ำฝนที่กระหน่ำเทลงมาเข้าก็เละไปหมด ยิ่งไม่อาจระบุตัวตนจากรูปลักษณ์ได้ขึ้นไปอีก
ที่กำบังจากธรรมชาติใต้ผาปากเหยี่ยวนี้มันไม่มีความหมายสำหรับลั่วถูเลยสักนิด แต่จะว่าไปแล้วภายใต้ฝนตกหนักเช่นนี้หากพ้นระยะสิบจั้งไป สายตาของมนุษย์จะเริ่มมองเห็นได้เลือนราง คนที่อยู่บนผาคงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนย่องเข้ามาถึงใต้ผาเงียบๆ แบบนี้
ลั่วถูพาคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปบนผาอย่างเงียบงัน ส่วนฉีหลางพาอีกกลุ่มย่องขึ้นไปจากอีกด้านหนึ่ง พวกเขามั่นใจได้เลยว่า คนพวกนี้ต้องมาเพราะตงหลี่เช่อแน่ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางทาสีเสียเต็มหน้า ไม่กล้าให้ใครเห็นหน้าจริงเช่นนี้ ท่าทางคนพวกนี้ไม่ได้เดินผ่านถนนซีเสินกู่มา เกรงว่าพวกเตรียมลอบโจมตีพวกเขาที่ถนนซีเสินกู่คงเดาแผนของพวกเขาออกแล้ว เพียงแตู่เาลูกนี้ใหญ่มาก พวกมันก็ไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าตงหลี่เช่อจะใช้เส้นทางไหนเดินทางกันแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนเตรียมตัวเข้าหลบฝนใต้ผาปากเหยี่ยว เกรงว่าลั่วถูคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนไล่ตามมา หรือกระทั่งอาจถูกแซงมาดักหน้าไปแล้วก็เป็ได้...
……
บนผาปากเหยี่ยว มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพิงูเา น้ำฝนที่ตกลงมาอย่างรุนแรงราวกับน้ำตกที่ไหลลงมาจากยอดผาอย่างไรอย่างนั้นและกลายเป็ม่านน้ำสายหนึ่ง
จินต้าจงยืนสงบนิ่งดังเช่นหอคอยเหล็กอยู่ที่ขอบของม่านน้ำ ราวกับสายตาจับจ้องอย่างว่างเปล่าไปทางหมอกในป่า จนดูเหมือนกับจิติญญาหลุดออกจากร่างไปแล้ว เมื่อศิษย์าที่เก็บกระดิ่งกลับมาและกำลังจะเดินผ่านข้างกายจินต้าจง ก็เลือกจะเดินอ้อมไปเล็กน้อย ในกองทหารนี้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขา เขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่ที่เดิมทีก็ไม่รู้จักมนุษยสัมพันธ์อยู่แล้ว หรือจะบอกว่าเขาเป็แค่เครื่องปะาที่รู้จักเพียงาเท่านั้นก็ไม่ผิดนัก
“ท่านเ้าธง ไม่มีข่าวเกี่ยวกับศัตรูเลย ลมแรงขนาดนี้ ต่อให้กระดิ่งใหญ่ขึ้นหลายเท่า เกรงว่าก็คงถูกพัดจนเสียงดังอยู่ดี เ้าเด็กหลัวเจ๋อดีแต่ทำเื่ไร้สาระ... ” ทั้งสองคนที่ไปใต้ผานำกระดิ่งไปมอบให้ชายวัยกลางคนที่ผอมแห้งเสียจนดูเหมือนลิงด้วยความโมโห จากนั้นหันไปโวยวายกับชายร่างใหญ่หัวโล้นแทน
“เอาละ ไปพักผ่อนเถอะ ฝนหยุดเมื่อไรพวกเรายังต้องรีบไปต่อ” ชายร่างใหญ่หัวโล้นไม่ได้กล่าวตำหนิผู้ใด ทำเพียงออกคำสั่งอย่างสงบ
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลพวกเรา... ” ในขณะนั้นเองน้ำเสียงเ็าของจินต้าจงที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ได้ดังขึ้น
“โอ้ พี่จินสามารถััถึงทิศทางที่เขาอยู่ได้ด้วยหรือ?” ชายร่างใหญ่หัวโล้นแปลกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นและเดินเข้าหาจินต้าจงพลางเอ่ยถาม
“ข้าััไม่ได้ นั่นเป็เพียงความรู้สึกอย่างหนึ่ง ความรู้สึกถึงความแค้น... ฝนตกครั้งนี้มาผิดเวลา มันตัดขาดััิญญาของข้า!” น้ำเสียงของจินต้าจงแฝงไว้ซึ่งความหงุดหงิดไม่น้อยเลย ราวกับถูกหมู่เมฆดำบนฟ้าเข้าปกคลุมจิตใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น
“หลังจากฝนหยุดตก พวกเราจะออกเดินทางทันที ถ้าพวกเขาอยู่แถวนี้จริง เช่นนั้นปากทางูเาหมังจะเป็ทางที่พวกเขาต้องผ่านแน่ มีเพียงทางแม่น้ำม่อหมังที่ไหลเข้าสูู่เาหมังเท่านั้นที่เป็ทางที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในการกลับเมืองม่อหลาน พวกเราแค่ต้องเฝ้าที่นั่นไว้ พี่จิน ท่านจะมีโอกาสได้ล่าหัวของตงหลี่เช่อแน่นอน” ชายร่างใหญ่หัวโล้นกล่าวอย่างจริงจัง
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น... ” จินต้าจงพยักหน้า จากนั้นสายตาของเขาเบนกลับไปจ้องไปที่ม่านน้ำอีกครั้ง รอบทิศทางมีเพียงเสียงฝนสาด ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังอยู่บ้างครั้งสองครั้งทำให้สัตว์อสูรในป่ากู่ร้องคำรามตามมา
ชายร่างใหญ่หัวโล้นมองไปนอกม่านน้ำ ในใจรู้สึกได้ถึงแรงกดดันระลอกหนึ่งขึ้นมา เื่นี้เดิมทีไม่ควรให้พวกเขาต้องลงมือเองด้วยซ้ำ แต่ผู้ร่วมมือที่เบื้องบนหามาก็ไม่ได้หวังดีเท่าไรนัก จงใจทำงานค้างคาไว้ บังคับให้เขาต้องลงมือเองเสียให้ได้ เขาได้แต่โมโหอยู่ในใจ คนกลุ่มหนึ่งทำเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเอง ไม่สนใจอันตรายของเผ่าพันธุ์สักนิด แต่หลายครั้ง เขาก็เป็เพียงคนรับคำสั่ง บางทีเพราะเขาเป็หนึ่งในเ้าธง ในโลกชั้นล่างนี้ก็พอจะนับเป็คนมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนี้เขาก็ยากจะทำตามสิ่งที่ตนคิดได้
แน่นอนว่า ไม่วาใครต่างก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งนั้น เขาก็เช่นกัน หากครั้งนี้ภารกิจประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาจะสามารถขอค่าตอบแทนที่มากขึ้นจากคนบางคนได้ บางทีเขาอาจมีโอกาสได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้นอีกครั้ง
“พี่จิน เกิดอะไรขึ้น พบอะไรหรือ?” ชายร่างใหญ่หัวโล้นจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นจินต้าจงขยับจมูกติดต่อกันหลายครั้งก็อดแปลกใจไม่ได้
“เป็กลิ่นที่ประหลาดมาก ถึงขนาดดึงดูดลมปราณในเืของข้าได้ ข้ารู้สึกได้ว่าของสิ่งนี้สำคัญกับข้ามาก... ” จินต้าจงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นสีหน้าพลันปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมา และกล่าวกับตัวเองว่า “หรือว่าจะเป็สัตว์อสูรเซวี่ยเลี่ยนในตำนาน?”
“สัตว์อสูรเซวี่ยเลี่ยน... ” ชายร่างใหญ่หัวโล้นได้แต่ตะลึงงัน ใบหน้าปรากฏความใขึ้นระรอกหนึ่ง เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับเื่วิธีบำเพ็ญวิชากายาทองกลั่นโลหิตของตระกูลจินแห่งติ้งจงมาบ้าง
“ไม่ได้การ ข้าต้องไปตามหามัน... ” จินต้าจงนั่งไม่ติดที่แล้ว ถ้าเป็สัตว์อสูรเซวี่ยเลี่ยนในตำนานจริง บางทีวิชากายาทองกลั่นโลหิตของเขาอาจก้าวขึ้นไปได้อีกสักก้าวหนึ่ง หรือกระทั่งอาจทะลวงระดับการฝึกฝนของตระกูลจินแห่งติ้งจงได้ และทำลายคำสาปแช่งที่ว่าเขาไม่มีวันไปถึงระดับปรมาจารย์ได้
เมื่อเห็นร่างของจินต้าจงที่พุ่งผ่านม่านน้ำไปโดยไม่ลังเล ชายร่างใหญ่หัวโล้นถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ออกคำสั่งคนด้านหลังอย่างเรียบเฉย “หยวนอี หยวนเอ้อ พวกเ้าตามข้ามา คนอื่นพักผ่อนอยู่ที่นี่ เฝ้าระวังไว้ด้วย!” กล่าวจบ เขาก็ตามหลังจินต้าจงที่พุ่งออกจากม่านน้ำไป เขาเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าอสูรเซวี่ยเลี่ยนในตำนานแท้จริงแล้วหน้าตาเป็อย่างไรกันแน่
……
ใจตงหลี่เช่อไม่อาจสงบได้ ถ้ากระทั่งตระกูลจินก็มาด้วย เช่นนั้นคนที่มาเพื่อสังหารพวกเขาในครั้งนี้ต้องไม่อ่อนแอแน่นอน ถ้าเขาไม่ได้รับาเ็บางทีอาจยังพอต้านไหว แต่ตอนนี้เขาาเ็สาหัส เกรงว่าแค่ศิษย์าขั้นสามก็สังหารเขาได้ด้วยซ้ำ ถ้าตระกูลจินส่งคนมาสังหารเขาจริง ผู้ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้อย่างน้อยต้องมีระดับพลังไม่น้อยไปกว่าเขาแน่ กลุ่มคนเช่นนี้ พวกตนไม่มีโอกาสชนะเลย เพียงหวังหลิวฉงเหวินกับลั่วถูจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายจนเกินไป ขอแค่ไม่ทำให้พวกนั้นรู้สึกตัว แค่สืบข่าวกลับมาก็พอแล้ว
“ท่านแม่ทัพ... ” ในขณะที่จิตใจของตงหลี่เช่อไม่อาจสงบลงได้ ซ่งตงก็กลับเข้ามาในถ้ำด้วยสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว
“จะรีบร้อนตื่นเต้นหาอะไรนัก... ” เฉิงอิงอดไม่ไหวจนต้องด่าออกมา แต่ตงหลี่เช่อกับโบกมือ ถามอย่างสงบนิ่งว่า “เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาไม่ได้กลับมาด้วยหรือ?”
“เรียนท่านแม่ทัพ พวกเขาไม่ได้กลับมา แต่ให้ข้าน้อยกลับมารายงานท่านแม่ทัพ ท่านผู้บัญชาการกล่าวว่าคนที่มาครั้งนี้คือจินต้าจงจากตระกูลจิน แต่นอกจากจินต้าจงยังมีอีกคนหนึ่งที่คาดว่าเป็ยอดฝีมือของสิบสามธงแห่งเยียนเป่ยด้วยขอรับ!” ซ่งตงตอบกลับอย่างตื่นตระหนก พอพูดจบเขาก็เห็นสีหน้าของตงหลี่เช่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เฉิงอิงก็ใเช่นกัน สิบสามธงแห่งเยี่ยนเป่ยเป็กลุ่มอำนาจในเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ละธงคือคนกลุ่มหนึ่ง สิบสามธงรวมกันเป็พันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาควบคุมแผ่นดินทางทิศเหนือของูเาเยี่ยนเสียส่วนใหญ่ แต่เคยมีคนกล่าวว่าสิบสามธงแห่งเยี่ยนเป่ยแท้จริงแล้วเป็เพียงโจรสิบสามกลุ่มในตอนเหนือของูเาเยี่ยนเท่านั้น แท้จริงแล้วคนที่ควบคุมพวกเขาอยู่คือผู้อื่นต่างหาก กลุ่มอำนาจนี้ไม่เพียงลึกลับมากทั้งยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย
“พวกนั้นมีลักษณะพิเศษอะไรหรือไม่?” ตงหลี่เช่อสูดลมหายใจลึกแล้วจึงถามออกมา
“มีคนหนึ่ง ร่างใหญ่หัวโล้นบนอกดูเหมือนจะมีรอยสักรูปหมาป่าตัวหนึ่ง น่าจะเป็หัวหน้าของพวกเขา ลมปราณของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก... ” ซ่งตงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น
“ไปบอกให้พวกผู้บัญชาการหลิวกลับมาเดี๋ยวนี้ คนผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจัดการได้ เป็ไปได้มากว่าคนผู้นี้คือเ้าธงซ้ายของทั้งสิบสามธง ทูหลางศิษย์าขั้นแปด แต่จะทะลวงขั้นเก้าสำเร็จไหมก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ส่วนจินต้าจงถึงจะมีระดับการฝึกฝนเพียงขั้นเจ็ด ทว่าร่างกายของเขาเมื่อเทียบกับคนในระดับเดียวกันก็เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกร พลังรบไม่น้อยกว่าทูหลางสักเท่าไร หากสองคนนี้อยู่ พวกเขาไม่มีทางชนะแน่” ตงหลี่เช่อออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หา... ” สีหน้าของซ่งตงย่ำแย่เสียจนแทบทนดูไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าสิบสามธงแห่งเยี่ยนเป่ยแข็งแกร่งเพียงไหน อย่างไรเสียเขาก็เป็เพียงผู้น้อยที่เพิ่งเปิดิญญาเท่านั้น ทว่าเขาเข้าใจดีว่าศิษย์าขั้นแปดห่างชั้นกับพวกเขามากขนาดไหน หลิวฉงเหวินแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็เป็แค่ขั้นเจ็ดเท่านั้น แน่นอนว่าระดับการฝึกฝนขั้นเจ็ดในกองทัพนั้นแทบจะเป็ผู้บัญชาการใหญ่หรือเป็แม่ทัพคนหนึ่งได้แล้ว แต่หลิวฉงเหวินเป็แค่แม่ทัพในตระกูลของตงหลี่เช่อเท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็ผู้ติดตามของตงหลี่เช่อ ดังนั้นจึงทำได้แค่เฝ้ามองตำแหน่งผู้บัญชาการเท่านั้น ทว่าระยะห่างระหว่างขั้นเจ็ดกับขั้นแปดมีมากมายเพียงไร ไม่มีใครนึกกังขาในจุดนี้ทั้งนั้น
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้... ”
“ตูม... ” ขณะที่ซ่งตงกำลังจะออกไป ทันใดนั้นเองเขากลับได้ยินเสียงดังลอยมาจากที่ไกลๆ ฟังดูคล้ายกับูเาถล่มอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งที่ต้นไม้ฟ้าผ่านี้ยังััถึงแรงสั่นะเืได้
“เกิดอะไรขึ้น... ” คนที่อยู่ในถ้ำต้นไม้ได้แต่ใจนหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน เสียงนี้ราวกับมีูเาที่ไหนถล่มลงมาก็ไม่ปาน
หลังจากได้ยินเสียงดังขึ้น ซ่งตงรีบปีนขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ เฉิงอิงก็ปีนตามไปด้วย แต่กลับมองเห็นเพียงหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลมีฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว ป่าไม้ที่เดิมทีแน่นขนัดตอนนี้กลับโล่งเตียนไปส่วนหนึ่ง
“ที่ตรงนั้นมีอะไรหรือ?” เฉิงอิงชี้ไปที่หุบเขาแล้วเอ่ยถาม
ซ่งตงอ้ำอึ้งเล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “น่าจะเป็หลังผาปากเหยี่ยว”
สีหน้าของเฉิงอิงเปลี่ยนไปทันที กล่าวด้วยความใ “แย่ล่ะสิ เกรงว่าพวกนั้นคงเจอกันแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้