“เ้ายังป่วยอยู่ ข้าทำเอง เ้าคอยสั่งก็พอ”
จ้าวต้านชิงหม้อไปพลันเริ่มขัดมันอย่างชำนาญ เวินซีเห็นท่าทีขยันขันแข็งของเขาก็ไม่ได้ห้าม นางจึงหันไปเลือกผัก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร แม้แต่กะละมังก็ถูกเขายกออกไป
“เ้าแค่มองดูก็พอ”
เพราะเกรงว่านางจะยืนจนเมื่อย จ้าวต้านจึงยกเก้าอี้มาให้นางนั่งข้างๆ เมื่อมีลมพัดแรง เขาก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้นาง
คิดว่านางเป็ตุ๊กตาตั้งโต๊ะจริงๆ แล้วสินะ ริมฝีปากของเวินซีโค้งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ฝานหัวมันให้เป็แผ่น แกะผักกาดออกมาเป็กลีบๆ ส่วนมะเขือ...”
ถึงแม้ฝีมือการทำอาหารของจ้าวต้านจะไม่ได้เื่ แต่ทักษะการใช้มีดของเขานั้นเป็เลิศ เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปในการหั่นทุกอย่างแล้ววางไว้บนจานตามที่เวินซีบอก
ส่วนขั้นตอนต่อไปนั้นเป็งานของเวินซีที่จะนำพริก น้ำมัน และเครื่องปรุงต่างๆ มาผสมกันจนกระทั่งได้รสชาติที่้า
นางหั่นยี่หร่าเป็ชิ้นๆ อย่างชำนาญ บดพริกเสฉวนจนเป็ผง เมื่อต้มน้ำจนเดือดก็ใส่สมุนไพรจำนวนมากลงไป นางใส่พริกเพียงเล็กน้อยเพราะมีเด็กๆ ทั้งสามคนจึงไม่กล้าทำเผ็ดเกินไป
จ้าวต้านมองการปรุงอาหารของนางด้วยสายตาประหลาดใจ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นการปรุงอาหารเช่นนี้ ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยออกมา
“นี่คืออาหารหรือ?” เขาไม่แน่ใจเล็กน้อย
“ใช่น่ะสิ” เวินซีนำอาหารใส่ลงในหม้อแล้วคนไปเรื่อยๆ
“ข้าจัดการเอง” ในที่สุดเขาก็ได้ออกแรงช่วยเสียที จ้าวต้านจับตะเกียบเดินเข้าไปหา
“พี่สะใภ้ นี่คือสิ่งใดหรือขอรับ?”
“หอมจัง ไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย”
“พี่สะใภ้ นี่ทานได้หรือเ้าคะ?”
“ทาน...ทาน...”
เด็กสามคนที่เล่นกันอยู่ด้านหน้าถูกกลิ่นหอมยั่วยวนให้เข้ามาดูเหตุการณ์ พวกเขายืนล้อมรอบหม้อไฟ มองเวินซีด้วยสายตาเคารพและชื่นชม
เวินซีถูกบรรยากาศพาไปจนทำให้ใจอ่อนยวบ จึงยิ้มแล้วมองเด็กทั้งสาม
“วันนี้ข้าจะทำอาหารที่พวกเ้าไม่เคยลิ้มลองให้ได้ทาน”
ยามนั้นข้าวหุงสุกแล้ว หลังจากที่ทุกคนปรุงน้ำจิ้มที่ตนเองชอบ เวินซีก็ให้จ้าวต้านนำหม้อมาวางบนโต๊ะ โดยมีเตาเล็กๆ คอยให้ความร้อนแก่หม้ออยู่ตลอด
“ดูข้านะ”
เวินซีหยิบตะเกียบคีบหัวมันขึ้นมา จิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่เข้าปาก นางสาธิตให้เห็นก่อน จากนั้นทุกคนก็เริ่มทำตาม
“อร่อย!”
“ข้าไม่เคยทานอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย!”
“พี่สะใภ้นอกจากจะสวยแล้วยังทำอาหารเก่งอีกด้วย”
“พี่สะใภ้ เก่งที่สุดเลย”
“...”
เด็กๆ พากันชื่นชมนางจนพูดเกินจริง
“พวกเ้าชมข้าเช่นนี้ ข้าจะอวดตนเอาได้นะ”
เวินซีพูดติดตลกแล้วคีบอาหารแบ่งให้เด็กๆ เมื่อเห็นภาพที่มีความสุขเช่นนี้ จ้าวต้านก็ยิ้มและคีบอาหารใส่ปากบ้าง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
อร่อยมากจริงๆ เป็รสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ทุกคนจึงอดใจไม่อยู่ เวินซีมักจะมีความคิดแปลกใหม่เช่นนี้อยู่เสมอ ทำให้เขาอดมิได้ที่จะคอยสังเกตนาง
“คุณหนูเวินซีขอรับ”
ขณะนั้นจ่างกุ้ยกลับมาแล้ว เมื่อเปิดม่านมาเห็นภาพที่อบอุ่นเช่นนี้ เขาก็ทำท่าทีจะกลับออกไปเพราะไม่อยากรบกวน แต่เวินซีก็เรียกเขาให้กลับมา นางได้เตรียมน้ำจิ้มให้เขาแล้วเช่นกัน
จ่างกุ้ยปฏิเสธแต่ก็ถูกยียีลากตัวมานั่ง พวกเขาต่างก็เป็ผู้ที่เคยตกทุกข์ได้ยากมาก่อนถึงขั้นที่ไม่มีข้าวทาน จึงไม่มีผู้ใดสนใจเื่กฎเกณฑ์ระหว่างเ้านายกับคนรับใช้
อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างมีความสุข จนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนค่ำจึงได้เริ่มเก็บกวาด
ภายในห้อง ตะเกียงทุกดวงถูกจุดให้สว่าง ยามนั้นเวินซีถอดเสื้อให้จ้าวต้านช่วยทายา
“่นี้ยังเจ็บาแอยู่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ”
“ไม่เจ็บแล้วก็ดี เป็เพราะข้าแท้ๆ เ้าถึงได้าเ็ ข้าเป็ภาระให้เ้าแท้ๆ”
“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?” เวินซีมองเขา
ขนตาเรียวยาวของจ้าวต้านลดต่ำลง เขามองดูาแของนางก็รู้สึกหนักใจ เมื่อเงยหน้าขึ้น ในสายตาของเขายังคงเป็สตรีผู้เก่งกาจคนนี้ หากไม่มีเขา นางคงจะมีชีวิตที่ดีกว่ามากมิใช่หรือ? นางไม่แพ้ผู้ใดเลย
“ข้ามิได้ถือสาอันใด เ้าไม่ต้องคิดมากหรอก” เวินซีตอบเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูด นางจึงไม่ถามมาก ก่อนจะล้มตัวนอนลงบนเตียงด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับเื่ที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้
ส่วนจ้าวต้านก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ โดยที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดเช่นกัน แม้จะหลับไปได้คืนนี้ แต่ก็ยังมีความหนักใจ
ในตอนรุ่งเช้าที่เวินซีตื่นขึ้น ข้างกายของนางก็ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจ้าวต้านออกไปั้แ่เมื่อใด
เมื่อนางจัดการตนเองเสร็จเรียบร้อยก็รีบออกไป โดยมีเป้าหมายคือการตามหาขอทานที่เคยช่วยงานก่อนหน้านี้
“คุณหนูเวินซี มีเื่อันใดให้พวกเราช่วยหรือขอรับ?”
“พวกเราทุกคนช่วยได้ ่นี้เรากำลังจ้องมองตระกูลเวินอยู่เลยขอรับ”
“คุณหนูเวินซี...”
เมื่อเหล่าขอทานเห็นเวินซีก็พากันล้อมรอบนางและพูดไม่หยุด เวินซีจึงแจกซาลาเปาเนื้อให้กับทุกคน
“คุณหนูเวินซี มีเพียงท่านผู้เดียวที่ไม่รังเกียจพวกเรา” มีขอทานคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความซาบซึ้งใจ
“วันนี้ที่ข้ามา ข้าจะมาถามพวกเ้าว่าอยากจะทำงานกับข้าหรือไม่ ข้ากำลังจะเปิดโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตอนนี้ข้า้าคนรับใช้ ้าผู้ที่เชื่อถือได้ไม่มีประวัติ คิดไปคิดมาก็เห็นว่าพวกเ้าเหมาะสมมาก” เวินซีเอ่ยปาก
เพราะขอทานเหล่านี้เคยช่วยเหลือนางถึงสองครั้ง นางจึงรู้สึกว่าพวกเขาไว้ใจได้ ในขณะนั้นพวกขอทานก็มองหน้ากันด้วยความลังเล
“ทุกคน ข้าจะออกเงินจ้างพวกเ้าเดือนละสองตำลึงเงิน มีที่พักอาศัย ทานอยู่กับข้า ผู้ใดสนใจบ้าง?” นางยื่นข้อเสนอ
“แต่ข้าต้องบอกทุกคนก่อนว่า หากคิดจะทำงานให้ข้าแล้วย่อมต้องเป็คนของข้า หากผู้ใดคิดไม่ซื่อ ข้าจะไม่เลี้ยงไว้แน่” เวินซีเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยแววตาที่มืดมนดูน่ากลัว
“ข้าขอทำงานกับคุณหนูเวินซีขอรับ” ในตอนนั้นเองก็มีขอทานอายุราวสิบสองสิบสามทานซาลาเปาไปครึ่งลูกพลางลุกขึ้นยืน
“มีผู้ใดอีกหรือไม่?”
“ข้า!”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าจะซื่อสัตย์ต่อคุณหนูเวินซี”
พวกเขาล้วนเป็ขอทานที่ถูกเลือกปฏิบัติมานาน ยามนี้มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ย่อมซาบซึ้งและคว้าโอกาสนี้ไว้เป็ธรรมดา
จากนั้นเวินซีก็นำสัญญาซื้อขายทาสส่งให้ขอทานผู้ที่จะทำงานให้ นางมองดูพวกเขาลงชื่อแล้วบอกตำแหน่งของร้านแห่งใหม่ ระหว่างทางนั้นนางเดินผ่านร้านขายผ้า จึงซื้อผ้ามาจำนวนมากแล้วให้คนนำไปส่ง
เพราะว่าที่ร้านเคยเป็ร้านอาหาร ทั้งยังใหม่มากอีกด้วย นางจึงไม่ต้องเตรียมสิ่งใดมาก เพียงแค่ต้องซื้อวัตถุดิบทำอาหารแล้วสอนวิธีทำหม้อไฟให้พวกคนรับใช้ ตนเองก็จะกลายเป็จ่างกุ้ยที่ไม่ต้องทำอันใดแล้ว
เมื่อกลับมาถึงร้าน จ้าวต้านก็มาถึงแล้วเช่นกัน เขาจึงเดินไปหานาง
“กลับมาแล้วหรือ ข้ามอบสิ่งนี้ให้เ้า”
ในมือของเขามีกล่องสีแดง ตอนที่เวินซีรับมา เขาก็หยิบจี้หยกมาวางไว้ในมือของนาง “สิ่งนี้พอมีราคาบ้าง รับไว้เถิด”
“เ้า...”
เวินซีมองดูท่าทีแปลกๆ ของเขาและมักจะรู้สึกได้ว่าเขากำลังฝากฝัง
“พวกยียีน่ะฉลาดและเป็เด็กดีมาก แต่ต่อไปอาจจะต้องลำบากเ้าหน่อย...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าไปด้านในเถิด” นางทนฟังที่เขาพูดไม่ไหว จึงเอ่ยขัด
จ้าวต้านไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ จึงเดินตามเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอึมครึม วันนี้ร้านปิด เขาได้ซื้อเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวมามากมายซึ่งกองอยู่บนโต๊ะ
“เ้านำเงินมาจากที่ใด?” เวินซีเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ล่าสัตว์แลกมาน่ะสิ ข้าเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่ง คิดว่าเหมันต์ครานี้จะได้อยู่อย่างสบายน่ะ”
จ้าวต้านไม่ได้พูดอันใดต่อ ขณะนั้นเวินซีจ้องมองเขาพลันถอนหายใจเบาๆ จากนั้นทั้งสองก็นั่งลง นางเอามือไปจับชีพจรให้และพบว่าพิษของหนอนกู่ยังคงเคลื่อนไหว นางจึงปักเข็มเงินลงไปที่หลังมือของเขา
“ยามนี้ยาอาบมีประสิทธิภาพเพียงเล็กน้อย ข้าจะทำยาให้เ้าใหม่”
จ้าวต้านเม้มริมฝีปากเบาๆ ตอนที่เข็มเงินเล่มที่สองปักลงมา เขารู้สึกได้ชัดเจนถึงเสียงที่ผิดปกติในร่างกาย ดูเหมือนว่าพิษของหนอนกู่จะถูกกระตุ้น มันเริ่มอาละวาดข้างใน แต่เขาก็พยายามอดทนไว้
“หากมีชีวิตอยู่ได้ก็พยายามอยู่เถิดนะ คิดเสียว่าเพื่อพวกยียี พวกเขาขาดเ้าไม่ได้”
เวินซีเห็นว่ายามนี้เขาหมดอาลัยตายอยากเพียงใด จึงเอ่ยปากโน้มน้าว
เมื่อเข็มเล่มที่สามถูกปักลงมา จ้าวต้านก็มีเหงื่อออกเต็มหน้าผาก ก่อนที่เขาจะอาเจียนออกมาเป็เื
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้