อา...
ไม่จงรักภักดี ไร้คุณธรรม อกตัญญู!
ข้อกล่าวหาทั้งสามข้อนี้หนักหนาเกินไปแล้ว คนธรรมดาเพียงโดนแค่ข้อใดข้อหนึ่งต่างก็อยากจะถลกิัออก เมื่อข้อกล่าวหาทั้งสามข้อนี้ตกมาใส่ตัว คนผู้หนึ่งยามมีชีวิตอยู่ก็จะถูกสังคมกล่าวโทษอย่างไร้ทางเลือก หลังตายไปแล้วก็ยังต้องแบกรับมลทิน
ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ เกิดมาในชาตินี้ล้วนแล้วแต่้ารักษาหน้าตาตนเองด้วยกันทั้งนั้น
ทว่าเฉิงจือซู่ไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
แววตาที่เหล่าเพื่อนบ้านมองมายังเฉิงชิงและพวกนางหลิ่วเปลี่ยนไปในทันที
หากสิ่งที่เฉิงจือซู่กล่าวหานั้นเป็ความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็เพิ่งช่วยพูดให้คน ‘ไม่จงรักภักดี ไร้คุณธรรม อกตัญญู’ ความสงสารของทุกคนล้วนเอาไปให้สุนัขกินหมดแล้ว แต่ละคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
แน่นอน ไม่ใช่ว่าเฉิงจือซู่พูดอะไรมาพวกเขาก็เชื่ออย่างนั้น อย่างน้อยข้อกล่าวหา ‘อกตัญญู’ นี้ก็มีความน่าสงสัยอยู่ เพื่อนบ้านต่างรู้กันดีว่าเฉิงจือหย่วนและนางจูมารดาเลี้ยงไม่ลงรอยกัน คำพูดนี้ก็เพียงแค่ฟังๆ ไปเท่านั้น
แต่ไม่จงรักภักดีและไร้คุณธรรมสองข้อนี้… เฉิงจือหย่วนยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจริงๆ หรือ?
นางหลิ่วย่อมต้องเอ่ยแก้ตัวแทนสามีผู้ล่วงลับ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว คำพูดที่เอ่ยอย่างร้อนรนของนางล้วนไม่ชัดเจน ไม่สามารถแก้ต่างได้
ทุกคนยินยอมรับฟังคำพูดที่บุตรสาวตระกูลเฉิงทั้งสาม้าจะกล่าวหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่ยินยอม!
สิ่งใดที่เรียกว่าสตรีในห้องหอ นั่นก็คือการเลี้ยงดูบุตรสาวที่ยังไม่ถึงวัยแต่งงานไว้ในห้องส่วนตัว ไม่ให้พวกนางข้องเกี่ยวเื่ใหญ่โตอันใด
มีเพียงเฉิงชิง ‘บุตรชายเพียงคนเดียว’ ของเฉิงจือหย่วน บุรุษเพียงผู้เดียวในบ้านที่จะสามารถโต้แย้งเพื่อบิดาผู้วายชนม์
“ท่านอาสาม ยามบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วกับท่านย่าเลี้ยงแยกบ้านกัน ทรัพย์สินของบ้านรองแม้เพียงสักนิดก็ไม่้า ทั้งยังสละสิทธิ์การสืบทอดในฐานะบุตรชายคนโตของฮูหยินใหญ่ นี่ยังจะเรียกว่าอกตัญญูอีกหรือ? เื่เก่าในกาลก่อนหลานไม่อยากจะเอามาโต้เถียงกับท่านอาสาม คาดว่าภายในตระกูลยังคงเก็บรักษาหลักฐานการแยกบ้านที่เป็ลายลักษณ์อักษรเมื่อปีนั้น!”
ดูเหมือนเฉิงชิงจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ
ความจริงแล้ว จากการที่ส่งจดหมายไปบ้านเดิมแล้วไม่มีการตอบกลับมา รวมถึงเมื่อแบกโลงศพมาถึงประตูของบ้านรอง ประตูใหญ่ก็ดันปิดสนิทอีก เฉิงชิงก็พอจะคาดการณ์ท่าทีของบ้านรองทางนี้ได้นานแล้ว
เพียงแต่นางจูท่านย่าเลี้ยงก็ช่างใจคอคับแคบเสียจริง แยกบ้านไปสิบกว่าปีแล้วยังจะใส่ความบุตรชายคนโตของภรรยาเดิมว่าอกตัญญูอีก
เฉิงจือหย่วนแบกรับมลทิน เฉิงชิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน นางคือ ‘บุตรชาย’ ของคนที่ไม่จงรักภักดี ไร้คุณธรรม อกตัญญู อยู่ที่แคว้นเว่ยแม้จะเดินเพียงก้าวเดียวก็ลำบาก[1]
แล้วจะให้นางยอมรับได้ได้อย่างไร
ไม่ต้องพึ่งพาการแสดง เฉิงชิงก็สามารถอารมณ์เสียขึ้นมาเองได้
“เื่ที่ว่าไม่จงรักภักดีและไร้คุณธรรม บิดาที่ล่วงลับั้แ่รับราชการรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นเก้า สิบกว่าปีนี้ก็ทำงานอย่างรอบคอบระมัดระวังมาตลอดจนได้เป็นายอำเภอขั้นเจ็ด ในส่วนของตัวเลขผู้รอดชีวิตและเสียชีวิตริมฝั่งแม่น้ำ อำเภอเจียงหนิงเป็อำเภอที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในเมืองเหอไถน้อยที่สุดอำเภอหนึ่ง ้าท่านพ่อไม่ผิดต่อความไว้วางใจจากราชสำนัก ด้านล่างไม่ผิดต่อประชาชนในปกครอง เพียงริมฝีปากของอาสามกระทบกันก็สามารถลบล้างผลงานและความทุ่มเทของบิดาข้าที่ล่วงลับไปได้ นี่มันช่าง ช่าง…”
ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว
เศรษฐีเฒ่าเหอผู้โอบอ้อมอารีกล่าวคำนี้ในใจ
“เ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม นึกไม่ถึงเลยว่าจะลืมตาพูดคำบอด [2] บิดาเ้าฆ่าตัวตายยามเมื่อข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ไปถึงอำเภอเจียงหนิงชัดๆ ใช้เชือกเส้นหนึ่งผูกคอตัวเองตายในที่ว่าการอำเภอ หากเขาไม่ได้ทำเื่ละอายใจ เหตุใดจึงฆ่าตัวตายหนีความผิด ต้องรอให้ทางราชสำนักประกาศโทษทัณฑ์จริงๆ หรือเ้าถึงจะยอมรับ? คนที่ไม่จงรักภักดี ไร้คุณธรรม อกตัญญูเช่นนี้ บ้านรองรับไว้ไม่ได้ สุสานบรรพชนตระกูลเฉิงก็รับเขาไม่ได้เช่นกัน การให้โลงศพของเขาเข้าประตูบ้านถือเป็การทำให้พื้นบ้านรองสกปรก ทำให้ความยึดถือความซื่อสัตย์เที่ยงตรงของตระกูลเฉิงกว่าร้อยปีต้องแปดเปื้อน!”
สิ่งที่เฉิงจือซู่รู้นับว่ามากอยู่
เฉิงจือหย่วนต้องเป็คนที่ใช้เชือกแขวนคอตายในที่ว่าการอำเภอแน่นอน
เฉิงชิง ‘ตื่นขึ้นมา’ ช้าเกินไป หากนางข้ามมิติมาเร็วกว่านี้จะต้องไม่เห็นด้วยกับการอัญเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดอันแสนสะเพร่าของนางหลิ่วเป็แน่
สตรีในเรือนหลังไม่เข้าใจความซับซ้อนเหล่านี้ เพียงแค่เห็นว่าข้าหลวงใหญ่เป็คนดี เมื่อหาสมุดบัญชีที่ว่าไม่เจอในที่ว่าการอำเภอ ก็เมตตาผ่อนปรน อนุญาตให้คนตระกูลเฉิงฝังร่างเฉิงจือหย่วนไปก่อน
เหอะๆ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน เช่นนี้เื่ที่เฉิงจือหย่วน ‘ฆ่าตัวตายหนีความผิด’ ก็จะไม่กลับกลายเป็เื่จริงหรอกหรือ? จับจุดอ่อนคนเป็ไม่ได้ ก็ผลักข้อกล่าวหาทั้งหมดไปไว้ที่คนตาย ถึงอย่างไรคนตายก็ไม่สามารถพูดแก้ต่างให้ตัวเองได้
สรุปแล้วเป็การฆ่าตัวตายหรือ ‘ถูกจัดฉากให้เป็การฆ่าตัวตาย’ กันแน่ เฉิงชิงยังคงติดใจสงสัย!
เฉิงชิงไร้หนทางที่จะเปลี่ยนแปลงเื่ราวที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่นางยังคงสามารถควบเื่ราวที่ยังไม่เกิดขึ้นได้
หลังจากนาง ‘ตื่นขึ้นมา’ โลงศพก็ถูกเคลื่อนย้ายมาถึงสถานีพักม้านอกอำเภอหนานอี๋แล้ว คิดจะนำกลับไปอำเภอเจียงหนิงก็สายเกินไป เฉิงชิงจึงได้แต่เพียงแสดงละครใหญ่ฉากนี้เพื่อกอบกู้พลิกสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
ถึงเฉิงจือซู่จะยกตนข่ม เฉิงชิงก็ไม่หวั่นเกรง แม้ภายในใจจะด่าทอไล่ข้าหลวงใหญ่ผู้นั้นให้ไปตาย แต่ปากก็ยังคงยืมชื่อของท่านข้าหลวงใหญ่มาใช้
“ท่านอาสาม ราชสำนักยังไม่ได้ตัดสินโทษ ท่านข้าหลวงใหญ่จางก็ยังคงอยู่ที่เมืองเหอไถ ตรวจสอบคดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ท่านอาสามเข้าใจความคืบหน้าของคดียิ่งกว่าท่านข้าหลวงใหญ่จาง เลยตัดสินโทษให้บิดาที่ล่วงลับไปเองได้? ช่างน่าหัวเราะเสียจริง ท่านอาสามบอกว่าบิดาข้าอกตัญญู แต่ข้ากลับต้องบอกว่าท่านอาสามไร้ไมตรีต่อพี่น้อง เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเพื่อนบ้านผู้เปี่ยมคุณธรรมเหล่านี้… คนที่ทำให้บิดาข้าสิ้นหวังไม่ใช่ใครอื่น กลับเป็คนในครอบครัวของตนเอง หากบิดาในปรโลกรู้เื่นี้ ย่อมยากที่จะตายตาหลับเป็แน่!”
เฉิงชิงอารมณ์ขึ้น พูดไปไอไป ร่างกายบอบบางส่ายโงนเงน
“หากไม่มีคำอนุญาตของท่านข้าหลวงใหญ่จาง พวกเราเหล่าแม่ม่ายบุตรกำพร้าจะสามารถเคลื่อนย้ายโลงศพของบิดากลับมายังหนานอี๋ได้อย่างไร?”
ข้อกล่าวหาของเฉิงจือซู่ทำให้เหล่าเพื่อนบ้านตกตะลึง ทว่าข้อชี้แจงของเฉิงชิงก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล
คนหนึ่งคือน้องชายต่างมารดาของเฉิงจือหย่วน อีกคนคือบุตรชายแท้ๆ ของเฉิงจือหย่วน ใครกันแน่ที่พูดความจริง?
เหล่าเพื่อนบ้านล้วนถูกทำให้สับสนมึนงงกันไปหมด
แม้แต่เศรษฐีเฒ่าเหอผู้โอบอ้อมอารีก็ไม่กล้าที่จะพูดตามอำเภอใจแล้ว เฉิงชิงและเฉิงจือซู่สองอาหลานต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ไม่รู้ใคระโขึ้นมา “นายท่านห้าเฉิงมาถึงแล้ว” กลุ่มคนก็เปิดทางให้ทันที
เื่ของบ้านเฉิง ย่อมต้องให้คนของตระกูลเฉิงแก้ไข ผู้เฒ่าห้าตระกูลเฉิงคือผู้นำตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ ให้เขามาจัดการเื่นี้ย่อมดีที่สุด!
ชายชราที่ไว้เคราแพะผู้หนึ่งเดินเข้ามา ฝีเท้าของเขาหนักแน่นมีพลังแต่กลับไม่หยาบกระด้าง แม้เส้นผมและเคราจะขาวโพลนไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สีหน้ายังคงแดงระเรื่อ มองดูแล้วยังมีชีวิตชีวา
คนผู้นี้คือนายท่านผู้เฒ่าห้าเฉิงซึ่งเป็คนในรุ่นเดียวกับท่านปู่อายุสั้นผู้นั้นของเฉิงชิง เป็หัวหน้าของบ้านห้า และยังเป็ผู้นำของตระกูลที่คอยจัดการเื่ต่างๆ ของตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋
ตำแหน่งผู้นำตระกูลไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยราชสำนัก แต่เมื่ออยู่ภายในตระกูลกลับมีสิทธิมากกว่าขุนนาง อำนาจของตระกูลในสมัยโบราณ คนในยุคปัจจุบันที่ไม่เคยััด้วยตนเองก็ยากที่จะจินตนาการได้
ถ้าไม่ใช่ว่าเฉิงชิงมีความทรงจำของแม่นางน้อยเ้าของร่างเดิมอยู่ นางก็คงไม่กล้าสบตากับนายท่านห้าเฉิง
ด้วยเพราะตระหนักถึงสิทธิภายในตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ของนายท่านห้าเฉิง วันนี้เฉิงชิงจึงจงใจสร้างเื่วุ่นวาย… ที่จริงคนที่นางอยากพบมากที่สุดไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าจูผู้เป็ย่าเลี้ยง ไม่ใช่อาสามเฉิงจือซู่จอมเอาเปรียบ แต่เป็ผู้นำตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ผู้นี้
“ทำให้ทุกท่านในละแวกนี้ต้องขบขันแล้ว เดิมทีนี่เป็เื่ภายในของตระกูลเฉิง กลับทำให้เหล่าเพื่อนบ้านต้องวุ่นวายกันไปหมด”
ยามนายท่านห้าเฉิงเอ่ยคำ เหล่าเพื่อนบ้านต่างก็ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
ถึงอย่างไรตระกูลเฉิงก็เป็ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของอำเภอหนานอี๋ สถานะของนายท่านห้าเฉิงในหนานอี๋ยังนับว่าเหนือกว่านายอำเภอหนานอี๋เสียอีก
นายอำเภอหนานอี๋หมุนเวียนสับเปลี่ยนบ่อยครั้ง แต่ตระกูลเฉิงตั้งรกรากอยู่ที่หนานอี๋กว่าร้อยปีแล้ว นายอำเภอใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก เมื่อมาถึงอำเภอหนานอี๋แล้วก็ยังต้องมาเยี่ยมคารวะนายท่านห้าเฉิงก่อน
ผู้ที่มีสถานะไม่ธรรมดาที่หนานอี๋อย่างนายท่านห้าเฉิงผู้นี้ ย่อมต้องเป็ผู้ที่หลอกลวงไม่ง่ายแน่นอน
เหตุผลที่บ้านรองไม่ยอมให้โลงศพของเฉิงจือหย่วนเข้าประตูนั้น ย่อมไม่ได้ใหญ่โตดังที่เฉิงจือซู่กล่าวมา และเมื่อมองดูเฉิงชิงผู้อ่อนแอบอบบาง อายุยังน้อย แต่กลับดูเหมือนคิดคำนวณไว้อย่างดี
ทั้งสองฝั่งโต้เถียงกันไปเพื่ออะไร นายท่านห้าเฉิงย่อมรู้แจ้งแก่ใจ
เขาไม่ได้สนใจเฉิงจือซู่ กลับมองดูเพียงเฉิงชิง
สีหน้าซีดเหลืองไม่ต่างกับเทียนไข ร่างกายบอบบาง เป็เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เจริญตาเอาเสียเลย
เฉิงชิงเดินขึ้นหน้าคารวะ นางหลิ่วก็พาเหล่าบุตรสาวเดินขึ้นหน้ามาคารวะเช่นเดียวกัน นายท่านห้าเฉิงผงกศีรษะ
“เ้าเติบโตนอกพื้นที่ อีกทั้งนี่ยังเป็ครั้งแรกที่กลับมาอำเภอหนานอี๋ แต่ว่าชื่อของเ้าก็ถูกจารึกไว้บนผังตระกูลแล้ว เ้าย่อมเป็ลูกหลานตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ เฉิงชิง เ้าตอบข้ามาตอนนี้ การเคลื่อนไหวของเ้าในครั้งนี้เพียงเพื่อจะขอร้องให้ฝังโลงศพพ่อเ้าในสุสานบรรพชนเท่านั้นหรือ? หากความ้าของเ้าง่ายดายถึงเพียงนี้ ข้าก็จะตกลงทันที”
[1] เดินเพียงก้าวเดียวก็ลำบาก หมายถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก
[2] ลืมตาพูดคำบอด หมายถึงปั้นน้ำเป็ตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้