“อีกหนึ่งเดือน สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะเปิดการทดสอบ ยามนั้นพี่สาวข้าจะแสดงความสามารถอันล้ำเลิศในการทดสอบ จากนั้นก็เข้าร่วมพรรคเทียนจีที่แกร่งสุดในสำนักยุทธ์ ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินอ้าวเทียน กลายเป็คู่รักเลื่องชื่อแห่งอาณาจักรจ้าว แล้วเ้ามีอะไร? ถ้าพี่สาวข้าอยู่กับเ้า เ้าก็คงเป็แค่คางคกตัวหนึ่งที่อยากกินเนื้อหงส์ฟ้า” หนานกงหลิงยวี่กล่าวดูถูกไม่หยุดหย่อน
“พล่ามพอหรือยัง?” เย่เฟิงตาเผยประกายเย็นเยียบ จากนั้นเห็นเขาชักดาบของหนานกงหลิงยวี่ออกมา ขณะตัวดาบส่งเสียงคำรามเล็กน้อย
หนานกงหลิงยวี่นิ่งงันไปเหมือนอยากพูดบางอย่าง ทว่าดาบในมือของเย่เฟิงพลันเปล่งแสงสว่าง ก่อนจะถอดอาภรณ์นอกของหนานกงหลิงยวี่ออกจนเผยให้เห็นไหล่ขาวนวล รวมถึงเนินอกอวบอิ่มขาวราวกับหิมะ แม้แต่ผ้าปิดหน้าอกสีแดงก็ปิดบังความอวบอิ่มนั่นไม่ได้ ซ้ำยังเป็ตัวกระตุ้นอารมณ์ของบุรุษได้เป็อย่างดี
“อ๊ะ!” หนานกงหลิงยวี่อุทาน ก่อนจะใช้มือปิดส่วนนั้นอย่างรวดเร็ว
“ชีวิตของเ้าอยู่ในกำมือของข้า ทางที่ดีควรทำตัวให้ว่านอนสอนง่าย มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รับรองว่าต่อไปเ้าจะเป็เช่นไร!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นจับร่างของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตน แล้วใช้มือขวาจับคางขณะมองหนานกงหลิงยวี่ สายตาเช่นนั้นแฝงความคุกคาม ทำให้หนานกงหลิงยวี่ตัวสั่นเทา หัวใจเต้นระส่ำ
ร่างทั้งสองใกล้กันมาก ด้วยสายตาของเย่เฟิง หนานกงหลิงยวี่รู้สึกว่าอาภรณ์บนกายบางลงราวกับร่างกายถูกอีกฝ่ายควบคุมเช่นนั้น
“เ้า... เ้าจะทำอะไร?” หนานกงหลิงยวี่เกิดความกลัวขึ้นมา จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ สีหน้าก็กลายเป็ซีดเผือด
นางในตอนนี้ไร้กำลังจะต่อต้านอีกฝ่าย ไม่ว่าเย่เฟิงอยากทำอะไรกับนาง นางก็ทำได้เพียงยอมรับมัน
เย่เฟิงไม่ตอบรับ สายตานั่นราวกับมองทะลุร่างหนานกงหลิงยวี่
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ๆ กระทั่งรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังตุบเต้น
นี่ทำให้หนานกงหลิงยวี่ตัวสั่นระริก หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม และรู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายของตัวเองที่เพิ่มสูงขึ้น
“เขาจะทำเื่อย่างว่ากับข้าหรือ?” หนานกงหลิงยวี่เกิดคำถามขึ้นในใจ และในสถานการณ์เช่นนี้ นางเชื่อว่าสิ่งที่ตนคิดจะเป็ความจริง
ถึงอย่างไร นางหนานกงหลิงยวี่ก็เกิดมาสวยงาม เป็ที่สนใจของใครหลายคน ในูเาร้างแห่งนี้ยากที่เย่เฟิงจะเกิดความคิดมิดีมิร้ายต่อนาง พอถึงเวลานั้นนางอาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
นึกถึงตรงนี้ หนานกงหลิงยวี่อดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น อย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังไม่อยากตาย แม้จะให้นางทำเื่อย่างว่านั่นก็ตาม
“ข้ารู้ว่าข้ามีแรงดึงดูดต่อเ้ามาก หากเ้า้า ข้าสามารถให้เ้าได้ แต่เ้าต้องรับปากว่าจะปล่อยข้าหลังจากเสร็จเื่” หนานกงหลิงยวี่กล่าวเสียงเบาด้วยใบหน้าอับอาย
“เพียะ!”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ทันทีที่สิ้นเสียงของหนานกงหลิงยวี่ สิ่งที่ต้อนรับนางกลับเป็การตบหน้า
“เ้าช่างไม่รู้สึกละอายต่อบาปจริง ๆ!”
เย่เฟิงมองหนานกงหลิงยวี่อย่างดูถูก ขณะเดียวกันก็ผลักร่างอีกฝ่ายออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง กล่าวว่า “เ้าคิดว่าสารรูปแบบนี้ข้าจะชอบงั้นหรือ? ไม่รู้ว่าเ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าพูดเื่พวกนี้”
กล่าวจบ เย่เฟิงหมุนตัวไปพลางสองมือไพล่หลัง ก่อนจะกล่าวอีกครั้งว่า “ผู้หญิงไร้ศีลธรรม ข้าเย่เฟิงไม่สนใจเ้า!”
“ไปให้พ้น!”
คำพูดของเย่เฟิงราวกับฟ้าผ่า ทำให้หนานกงหลิงยวี่หน้าซีดจ้องมองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต
นางหนานกงหลิงยวี่คิดว่าตนมีหน้าตาที่สะสวย คิดว่าบุรุษทุกคนต่างปรารถนาในตัวนาง ถึงกับคิดว่าเย่เฟิงลุ่มหลงในราคะและความสวยของสตรี
แต่หารู้ไม่ว่า เย่เฟิงไม่สนใจความสวยของนาง หนึ่งฝ่ามือทำลายความหยิ่งผยองของอีกฝ่าย ทำให้นางได้รับความอัปยศอดสูร้ายแรงที่สุด
ความหยิ่งผยองที่เคยมีถูกทำลายในเสี้ยววินาที ในสายตาของเย่เฟิงก็เป็เพียงมนุษย์ที่ไม่มีความละอาย
หนานกงหลิงยวี่ยังคงนิ่งงัน แววตาแข็งทื่อราวกับไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน
เย่เฟิงเหยียดยิ้มเยือกเย็น ได้เห็นผู้หญิงที่ยอมขายทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตเขาก็รู้สึกขยะแขยง จากนั้นเขาเดินออกไปยังทิศทางหนึ่ง
หนานกงหลิงยวี่มองแผ่นหลังของเย่เฟิง พลางกัดปากจนเืไหลซิบ
“วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเ้า เพื่อตอบแทนน้ำแกงชามนั้นที่เ้าเคยทำให้ข้าเมื่อ 15 ปีก่อน แต่นับจากนี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!”
สิ้นเสียงของเขา เงาร่างเย่เฟิงพลันหายวับไป
ได้ยินเช่นนั้น หนานกงหลิงยวี่ชะงักไปเล็กน้อย หวนนึกถึง่เวลาเมื่อ 15 ปีก่อน
นางในเวลานั้นยังเป็เด็กสาวที่อายุไม่ถึงสิบปี จึงมีจิตใจไร้เดียงสา ไม่หยิ่งผยอง และเ้าเล่ห์อย่างในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้มิตรภาพที่แสนไร้เดียงสานั่นระหว่างนางกับเย่เฟิงค่อย ๆ เหินห่างจากกัน
เย่เฟิงจากไป ครั้งนี้เขามีเื่กับตระกูลหนานกงครั้งใหญ่ จึงรู้ว่าตนมิอาจอยู่ที่เมืองโยวโจวต่อไปได้ และออกหาที่พักพิงใหม่
ซึ่งเย่เฟิงเลือกเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว ที่นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ที่เมืองหลวงมีร่องรอยของตระกูลเย่เขา
เขา้าทราบ ปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเย่ ล่มสลายในชั่วข้ามคืน แล้วตอนนี้บิดามารดาของเขาอยู่ที่ใด?
เมืองโยวโจวตั้งอยู่ที่ภาคกลางของอาณาจักรจ้าว ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังเมืองหลวงประมาณ 15 วัน และทั้งสองเมืองนี้ก็มีเทือกเขาปี้หลิงกั้นระหว่างกลาง
ซึ่งเย่เฟิงกำลังเดินทางผ่านระหว่างเทือกเขา
“ฟิ้ว!”
ขณะนั้นมีสายลมพัดผ่านร่างเย่เฟิง ก่อนจะเห็นเงาร่างชายวัยกลางคนปรากฏตัวที่ด้านหน้า คนผู้นี้เคลื่อนไหวได้ว่องไวจนเย่เฟิงตอบสนองไม่ทัน
เย่เฟิงอึ้งไปเล็กน้อย แล้วมองสำรวจอีกฝ่าย จากนั้นเขาเข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์ที่เขามิอาจต่อกรด้วยได้
“ขอบังอาจถามผู้าุโ มีธุระอันใดหรือ?” เย่เฟิงถามหยั่งเชิง และวางท่าทีอย่างเหมาะสม
“ไม่เลว! เ้าช่างใจกล้า! เก่งกาจเพียงนี้กลับถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหนานกงมีตาหามีแววไม่!” ชายวัยกลางคนกล่าวโดยไม่ตอบคำถามของเย่เฟิง ทั้งยังดูถูกตระกูลหนานกง และมองเย่เฟิงด้วยสายตาชื่นชม
คนผู้นี้คือเยว่กู่คนนั้นที่ดูปรากฏการณ์การปลุกิญญาาของเย่เฟิงในวันนั้นที่ยอดเขานอกเมืองโยวโจว
“กล้าเผชิญหน้ากับตระกูลหนานกง ทั้งยังหนีออกมาได้ง่ายดาย คุ้มค่าที่จะเป็ขุนพลผู้เลื่องชื่อ!”
เยว่กู่มองสำรวจเย่เฟิง เขารู้ตัวตนของเย่เฟิง
“ผู้าุโ...”
เย่เฟิงนิ่งงัน ไม่คิดว่าเยว่กู่จะรู้ตัวตนของเขา แต่เขาเพิ่งพูดก็โดนเยว่กู่ตัดบทเสียก่อน
“ให้ข้าพูดก่อน”
เยว่กู่ยืนมือไพล่หลัง กล่าวว่า “เ้ากับตระกูลหนานกงมีความแค้นต่อกัน ตอนนี้น่าจะหาที่พักพิงใหม่ ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” เย่เฟิงพยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวตนของเขา เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็ต้องมีการสืบเื่เขามาแล้ว ดังนั้นบางเื่ก็ไม่จำเป็ต้องปิดบัง
“อีกหนึ่งเดือน สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะเปิดรับศิษย์ใหม่ที่เมืองหลวงอาณาจักรจ้าว เวลานั้นอัจฉริยะทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวจะไปรวมตัวที่สำนักยุทธ์ เพื่อเข้าร่วมทำการทดสอบ พร์ของเ้าไม่เลว ข้าจะรอดูเ้าที่จะได้ปลดปล่อยความสามารถในการทดสอบ” เยว่กู่กล่าวช้า ๆ พลางในแววตาเผยประกายคมกริบ
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียน”
คำพูดของเยว่กู่ทำให้เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ ในฐานะที่เป็ชาวอาณาจักรจ้าวโดยกำเนิด เขาย่อมรู้จักสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
สำนักยุทธ์เทียนเสวียนคือสำนักยุทธ์ศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ในนั้นเป็แหล่งศูนย์รวมอัจฉริยะทั่วอาณาจักรจ้าว ทั้งยังมีอาจารย์ชั้นยอด
ที่อาณาจักรจ้าวมีผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์มากมาย้าเข้าร่วมสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“โอกาสเช่นนี้มีไม่มาก เ้าต้องคว้ามันไว้ อีกอย่างหากเ้าผ่านการทดสอบได้ ข้าจะรับเ้าเป็ศิษย์ และฝึกสอนเ้าด้วยมือข้าเอง” เยว่กู่กล่าวต่อ เขาคือผู้าุโแห่งพรรคเทียนเสวียนจากสำนักยุทธ์ เขาไม่ใช่คนที่จะรับศิษย์ง่าย ๆ แต่เย่เฟิงมีพร์ไม่ธรรมดา ทำให้เยว่กู่เกิดความคิดที่จะรับเขาเป็ศิษย์
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเปิดรับศิษย์ใหม่ถือเป็โอกาสอันดี และยังมีโอกาสได้เข้าสำนักที่ทรงพลังอีกด้วย
อย่างไรก็ตามตอนนี้เย่เฟิงไม่คิดเช่นนั้น เขาต้องสืบหาเื่การล่มสลายของตระกูลเย่ให้ได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเขา หลังจากสะสางเรียบร้อย จะเข้าร่วมการทดสอบของกองกำลังสักแห่งก็ยังไม่สาย
“ผู้เยาว์ขอรับน้ำใจของท่าน เพียงแต่ผู้เยาว์มีธุระสำคัญรออยู่ เกรงว่าจะไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบที่ท่านกล่าวมา” เย่เฟิงปฏิเสธก่อนจะเดินออกไป
เยว่กู่ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้สึกสนใจเย่เฟิงมาก กลับไม่นึกว่าเย่เฟิงจะปฏิเสธเขา ทำให้สีหน้าของเยว่กู่เปลี่ยนไปดูไม่ดีเล็กน้อย
“อย่ารีบปฏิเสธ เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร? มีคนมากมาย้าคารวะข้าเป็อาจารย์ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเช่นนี้เลย”
เห็นเย่เฟิงจะจากไปแล้ว เยว่กู่เกิดใจร้อนขึ้นมา จึงพูดอย่างเร่งรีบ และใช้ฐานะของตนมาล่อเย่เฟิง
เย่เฟิงหยุดชะงักก่อนยิ้มให้เยว่กู่ “ผู้าุโคงจะเป็ยอดฝีมือ แต่ผู้เยาว์มีงานรัดตัว จึงไม่สนใจเข้าร่วมการทดสอบ หวังว่าผู้าุโจะไม่ถือสา”
เห็นเย่เฟิงไม่ไว้หน้า สีหน้าของเยว่กู่เยือกเย็นทันที กล่าวว่า “มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกเ้า หนานกงหลิงซวงก็เข้าร่วมการทดสอบนี้ด้วย ด้วยพร์ของนาง ผ่านเข้าสำนักยุทธ์ได้แน่นอน”
“หนานกงหลิงซวงเข้าร่วมด้วยหรือ?”
ได้ยินคำพูดของเยว่กู่ เย่เฟิงพลันนึกถึงหนานกงหลิงยวี่ที่พูดโอ้อวดเื่พี่สาวของนางกับเฉินอ้าวเทียนก่อนหน้านี้
คำพูดของทั้งสองสอดคล้องกัน เห็นทีจะเป็ความจริง
เย่เฟิงแปลกใจไปเล็กน้อย แต่จากนั้นเห็นเยว่กู่โยนของสิ่งหนึ่งให้เย่เฟิง
“นี่คือเทียบเชิญในการทำทดสอบ”
ไม่รอให้เย่เฟิงปฏิเสธ เยว่กู่พูดต่อว่า “เ้าคิดให้ดี ๆ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าจะถึงวันนั้น โอกาสไม่เคยรอใคร” เยว่กู่กล่าวจบ เขาก็หายตัวไปทันที
“ท่าร่างนี้แกร่งมาก!” เย่เฟิงตาแข็งทื่อ ใกับพลังของเยว่กู่ที่สำแดงเดช
“นี่สิคือผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดแท้จริง ไม่รู้ว่าข้าจะไปถึงระดับนั้นได้หรือไม่?” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเอง ในโลกนี้พลังคือสิ่งสูงสุด เมื่อมีมันก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
ก่อนหน้านี้ หากเย่เฟิงมีพลังเพียงพอก็คงไม่ต้องลำบากยากเข็ญเช่นนี้ และก็ไม่ถูกตระกูลหนานกงรังแก
คิดได้เช่นนี้ เย่เฟิงตาเผยประกายแสงแห่งความมุ่งมั่น ยืดหยัดอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
ส่วนเื่ที่เขาจะเข้าร่วมการทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้หรือไม่นั้น ก็ต้องไตร่ตรองให้ดี ๆ เสียก่อนเมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว
“วูบ!” เย่ฟิงหยิบหอกัเงินประกายที่ด้านหลัง กุมมันในมือ พลางตัวหอกเปล่งแสงเป็ประกาย
“ตอนนี้ข้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 แต่กลับไม่เคยใช้ทักษะเคล็ดวิชาในการต่อสู้ ตอนนี้ข้าต้องฝึกเคล็ดวิชาหอก” เย่เฟิงกล่าวเสียงเบา จากนั้นร่ายท่าหอกัเงินประกาย ขณะนั้นที่ปลายหอกก็คล้ายจะปรากฏบางอย่าง
“หือ?”
เย่เฟิงประหลาดใจ จากนั้นหยุดเริงรำและมองปลายหอก ก่อนจะพบกระดาษที่ปลายหอกัเงินประกาย เย่เฟิงวางหอกแล้วหยิบของสิ่งนั้นมา
“นี่มัน...” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะพบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลายหอก
บนกระดาษแผ่นนั้นมีอักษรเรียงกันสองแถวว่า “ในวังมีเสือดุร้ายที่เป็อันตรายต่อชีวิต”
ประโยคที่เรียบง่ายกลับแฝงความหมายที่น่าใ
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ คล้ายเข้าใจบางอย่างจากในประโยคพวกนี้ จึงอดหันไปมองด้านหน้าไม่ได้
กล่าวว่า “สำนักยุทธ์เทียนเสวียน หลิวจงเหริน”
“ในวังมีเสือดุร้ายที่เป็อันตรายต่อชีวิต” เย่เฟิงพึมพำ เข้าใจความหมายของมันก็ยิ่งรู้สึกหนาวเย็น
“กระดาษแผ่นนี้คือคนที่ชื่อหลิวจงเหรินจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่ให้พ่อข้า น่าจะหมายความว่าในวังหลวงมีคนที่เป็อันตรายต่อชีวิตของท่านพ่อ” เย่เฟิงคิดในใจ หลังจากผ่านการวิเคราะห์ง่าย ๆ เขาก็เหมือนจะมีเบาะแสเกี่ยวกับการล่มสลายของตระกูลเย่
“ถ้าไปที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ตามหาคนที่ชื่อหลิวจงเหรินคนนั้น อาจได้ข้อมูลเื่ของท่านพ่อและครอบครัวในตอนนั้น” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเอง และตัดสินใจเป้าหมายต่อไป
“อยากตามหาคนคนนี้ ข้าคงต้องเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก่อน เห็นทีข้าต้องเข้าร่วมการทดสอบในอีกหนึ่งเดือนแล้ว”
เย่เฟิงตาเผยประกายแหลมคม พอนึกว่าตัวเองมีความหวังที่จะได้ข้อมูลเื่ของบิดามารดาในปีนั้น เย่เฟิงก็เกิดความหวังขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้