คำพูดของฮวาเหยียนนับว่าบาดหูนัก หลังสิ้นเสียงนาง สมาชิกทั้งสามของครอบครัวรองก็มีสีหน้าน่าเกลียดยิ่ง ราวกับพวกเขาโดนตบฉาดใหญ่
“ความคิดของฝ่าา เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา?”
หลิ่วซื่อพยายามหักล้างเหตุผลของฮวาเหยียน
แต่ความหมายในดวงตากลับแจ่มชัดยิ่ง ผู้ใดคิดจะเหยียบครอบครัวใหญ่ขึ้นไปหรือ? เป็พวกเ้าที่ไม่ยอมไขว่คว้าให้ได้มาต่างหากเล่า จะมาโทษอวิ้นเอ๋อร์ของพวกเราได้อย่างไร?
“สิ่งสำคัญมิใช่ฮ่องเต้ทรงคิดเห็นเช่นใด แต่คือพระองค์ทรงถามว่าท่านพ่อคิดเห็นเช่นใด และท่านพ่อก็มิได้ปฏิเสธไปแล้วหรอกหรือ?”
ฮวาเหยียนเยาะยิ้ม
หลิ่วซื่อรู้สึกถึงโลหิตซึ่งจุกอยู่ที่ลำคอ นางสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
ตอนนี้เองที่มู่เอ้าเทียนเริ่มเปิดปาก สายตาของเขาทอประกายเ็าเล็กน้อยก่อนไปหยุดอยู่บนร่างของหลิ่วซื่อ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ความรุ่งโรจน์ของตระกูลมู่ แท้จริงเป็ดั่งที่แม่หนูเหยียนกล่าวมาทั้งหมด ล้วนอาศัยความพยายามหลายสิบปีจึงเกรียงไกรยิ่งใหญ่ และเป็ผลตอบแทนจากความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อต้าโจว หาใช่เพราะการแต่งงานไม่
แม้อวิ้นเอ๋อร์จะเป็หลานสาวของข้า แต่นางก็นับเป็บุตรีของภรรยาเอกหาใช่อนุไม่ นางสามารถเลือกเฟ้นผู้มีพร์ทั้งต้าโจวมาแต่งงานด้วยได้ แล้วเหตุใดจึงต้องลดตัวลงไปเป็อนุให้ผู้อื่น แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็ถึงองค์รัชทายาทก็ตาม”
คำพูดของมู่เอ้าเทียนมีเหตุมีผล มีเืมีเนื้อ [1]
ฮวาเหยียนฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ท่านพ่อของนางกำลังทำเพื่อครอบครัวรองอย่างแท้จริง
เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็เพียงเื่เสียดสี แต่ท่านพ่อของนางกลับไม่เป็เช่นนั้น เขามองมู่ชิงอวิ้นด้วยเจตนาดี รู้สึกว่านางสามารถเลือกสามีของตนเองได้ และไม่ควรต้องไปเป็อนุของผู้ใด
ครึ่งชีวิตของท่านพ่อมีภรรยาแค่ผู้เดียว เพียงแต่นางด่วนจากไปเร็ว ทว่าหลายปีมานี้เขาไม่มีข้อผูกมัดใด ความรักลึกซึ้งจึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด ดังนั้นในสายตาของมู่เอ้าเทียน บุตรสาวจากตระกูลมู่ แต่งเป็ภรรยาเอกให้คนธรรมดา ย่อมดีกว่าแต่งเป็อนุให้ขุนนาง
“แต่คนผู้นั้นคือองค์รัชทายาท”
หลิ่วซื่ออุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
เมื่อมู่เอ้าเทียนพบว่านางไม่ฉลาดทั้งยังไม่เฉลียว รู้จักแค่การเกาะอาศัย ในใจจึงยิ่งขุ่นเคือง เขาเพียงชำเลืองตามองแล้วเอ่ยว่า “หลิ่วซื่อ หากในวันนี้เปิ่นหวางยังเป็ผู้นำของตระกูลมู่อยู่ ก็จะไม่เถียงกับสตรีหลังบ้านเช่นเ้าว่าถูกหรือผิด วันนี้เปิ่นหวางจะพูดเพียงคำเดียว คืนนี้เ้ากับน้องรองกลับไปปรึกษากันให้ดี วันพรุ่งค่อยนำคำตอบมาบอกข้า หากพวกเ้ายังยืนกรานที่จะให้อวิ้นเอ๋อร์แต่งเป็พระชายารองขององค์รัชทายาท เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าา ขอสมรสพระราชทานมาให้”
สิ้นเสียงประโยคนี้ ดวงตาของหลิ่วซื่อก็เป็ประกายทันที
แต่ครู่ต่อมามู่เอ้าเทียนกลับกล่าวต่อ “ทว่าครอบครัวรองของเ้าจำต้องแยกเรือนออกไป ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเอง ต่อไปหากมีเื่ใดก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก ถึงรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่เพียงใด ข้ามู่เอ้าเทียนก็ไม่ขอร่วมผลประโยชน์ด้วย”
มู่เอ้าเทียนโมโหแล้วจริงๆ น้ำเสียงของเขาจึงหนักเป็พิเศษ
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง หลิ่วซื่อก็ทรุดตัวลงด้วยความโกรธ อีกเพียงนิดลมหายใจนางก็เกือบขาดห้วงแล้ว
มือของมู่ชิงอวิ้นพลันกำแน่น
แยกเรือนจากตระกูลมู่ เช่นนั้นครอบครัวรองของพวกนางยังจะเหลือสิ่งใดอีกหรือ? บิดาที่ไม่มีธุรกิจค้ำจุนครอบครัว พี่ชายที่ไม่อาจยืนขึ้นออกเสียงในท้องพระโรง หากแยกจากตระกูลมู่แล้ว ครอบครัวรองของพวกนางยังจะนับว่าเป็อันใดอยู่อีก
ไม่ต้องปรึกษาหรือคิดให้มากความ ทุกคนก็รู้ว่าต้องเลือกอย่างไร...
“พี่ใหญ่ ข้าไม่้าแยกบ้าน ข้า้าติดตามท่านต่อไปเรื่อยๆ ครอบครัวของพวกเราเป็ครอบครัวใหญ่คึกคักยิ่งนัก อย่างไรพี่ใหญ่ก็ปฏิเสธฮ่องเต้ไปแล้ว เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด เื่การแต่งงานของอวิ้นเอ๋อร์ย่อมมิจำเป็ต้องรีบร้อน”
มู่จี้หงรีบร้อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงกังวล แม้จะมีนิสัยขี้ขลาดตาขาว แต่เขาย่อมทราบดีว่าหากแยกตัวออกจากตระกูลมู่แล้ว เขาก็ไม่นับว่าเป็สิ่งใดทั้งสิ้น
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
มู่เอ้าเทียนโบกมือ ก่อนก้าวออกจากห้องโถงหน้าพร้อมกับหยวนเป่าที่อยู่ในอ้อมแขน ท่าทางของเขาโหดร้ายดุดัน แสดงถึงอารมณ์โมโหในใจที่ยังไม่สงบดี
“ท่านอาสะใภ้รองก็คิดดีๆ เถิด หากเปลี่ยนใจก็รีบไปบอกท่านพ่อก่อนที่จะสายเกินไป”
ฮวาเหยียนกล่าวทิ้งท้าย ก่อนลุกขึ้นเดินตามมู่เอ้าเทียนกับมู่เสวียนเย่ออกไป
ภายในห้องโถง ที่สุดหลิ่วซื่อก็ระงับโทสะไว้ไม่อยู่ นางกวาดถ้วยชาบนโต๊ะเตี้ยลงทั้งหมด “รังแกกันมากเกินไป รังแกกันมากเกินไปแล้ว เหตุใดครอบครัวใหญ่จึงไม่ยอมให้เ้าแต่งกับองค์รัชทายาทเล่า พวกเขาถือดีอันใด? หรือรังแกเพราะข้าไม่มีบุตรชาย ราวกับครอบครัวสองมิใช่คนงั้นหรือ?”
ดวงตาของหลิ่วซื่อแดงก่ำ ท่าทางมิอาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
“ไร้ประโยชน์ เศษสวะ เป็เพราะเ้ามันไม่ดี หากเ้ามีความสามารถสักนิด วันนี้อวิ้นเอ๋อร์ของพวกเราจะโดนกระทำเยี่ยงนี้หรือ? ไร้ค่าเสียจริง”
หลิ่วซื่อชี้นิ้วไปที่มู่จี้หงพลางต่อว่า สิ่งที่นางเอ่ยล้วนไม่น่าฟังแม้แต่น้อย ส่วนมู่ชิงอวิ้นก็ก้มหน้าลงไม่กล้าโต้ตอบ
“อวิ้นเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของแม่ เป็แม่เองที่ไร้ความสามารถ เ้ากลัวว่าจะแต่งงานกับองค์รัชทายาทไม่ได้ แต่เ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่ครอบครัวใหญ่พูดแล้ว หากเ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท พวกเราต้องเริ่มจากการแยกเรือนตั้งตัวก่อน ท่านพ่อผู้ไร้ความสามารถของเ้าจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้หรือ? ย่อมไม่ได้ ไม่ได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาของหลิ่วซื่อแดงก่ำ ความเศร้าโศกสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจนาง กลายเป็หยาดน้ำตาที่หลั่งริน
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้อีกเลยเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นหันไปเช็ดน้ำตาให้หลิ่วซื่อ แต่กลับไม่มีผู้ใดเห็นความเกลียดชังในดวงตาที่หลุบลงของนาง
“อวิ้นเอ๋อร์ แม่เสียใจ”
หลิ่งซื่อปาดน้ำตาพลางนั่งคร่ำครวญบนเก้าอี้ อารมณ์ของนางยิ่งนานยิ่งเริ่มควบคุมไม่ได้ ั้แ่ที่มู่อันเหยียนกลับมา ท่าทีของอีกฝ่ายก็มิได้นับถืออาสะใภ้เช่นตนเหมือนสี่ปีก่อน ไม่ว่าคำที่เอ่ยออกมาหรือที่เก็บอยู่ในใจล้วนเ็าไม่อบอุ่นเหมือนก่อนมา ในหัวใจของนางจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์
ตอนที่ทานอาหารเย็นด้วยกันเมื่อคืน นางพูดจาสร้างความขุ่นเคืองให้ทุกคนในครอบครัวใหญ่
และเห็นได้ชัดจากท่าทีของมู่เอ้าเทียนกับมู่เสวียนเย่ที่มีต่อนางในวันนี้ ว่าพวกเขาไม่เหมือนเคยอีกต่อไป
“เหตุใดจึงเป็เช่นนี้? ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไปทั้งสิ้น ท่าทีของครอบครัวใหญ่ที่มีต่อแม่มิเคยเป็เช่นนี้มาก่อน อีกทั้งมู่อันเหยียนยังเ็าใส่แม่ ลูกรัก เ้าลองบอกเถิดว่าคนผู้หนึ่งที่สูญเสียความทรงจำไป กระทั่งนิสัยก็เปลี่ยนไปทั้งหมดด้วยหรือ?”
หลิ่วซื่อพึมพำกับตนเองเมื่อนึกถึงดวงตาที่เยือกเย็นและเฉียบคมของมู่เอ้าเทียน ทำนางสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เย็นเฉียบไปถึงกระดูก
“ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นส่ายหัว...
“แล้วเ้าคิดว่าเป็ไปได้หรือไม่ ว่ามู่อันเหยียนผู้นี้คือตัวปลอม?”
จู่ๆ หลิ่วซื่อก็ลุกขึ้น เบิกตากว้างแล้วเอ่ยปาก
มู่ชิงอวิ้นรู้สึกกระตุกในใจ นางยังไม่ทันตอบก็ได้ยินหลิ่วซื่อถอนหายใจ “ไอ้หยา จะเป็ไปได้อย่างไร เพียงมองหน้านางก็รู้แล้วว่ามิอาจปลอมแปลงได้…”
และก็เป็ประโยคนี้เองที่ทำลายความคิดของมู่ชิงอวิ้น แต่สุดท้ายแล้วคำถามเมื่อครู่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยหนึ่งไว้ในสายธารแห่งความคิดของนาง
“เช่นนั้น ฟูเหริน พวกเราไปทานข้าวที่ห้องอาหารกันเถิด?”
มู่จี้หงซึ่งไม่กล้าเอ่ยคำใดมาเป็เวลานาน เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของหลิ่วซื่อดูดีขึ้นเล็กน้อย จึงลูบท้องที่หิวโหยพลางพูดเสียงเบาราวกระซิบ
ผลของการเปิดปากครั้งนี้ ทำให้ะเิถูกจุดขึ้นมาอีกครา และไฟโทสะของหลิ่วซื่อที่เพิ่งดับลงก็พุ่งขึ้นอีก ทั้งยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ “กิน กิน กิน ทั้งวันรู้เพียงวิธีกิน ไม่มีอะไรที่เ้ากินไม่ได้ เ้าคนไร้ประโยชน์ ไม่ได้เื่”
หลังด่าเสร็จนางก็ลากมู่ชิงอวิ้นเดินออกไปข้างนอก ทำทีราวกับไม่อยากมองมู่จี้หงแม้เพียงหางตา
“ท่านแม่ อย่าต่อว่าท่านพ่อเลยเ้าค่ะ ท่านพ่อเป็คนซื่อ”
ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาล ได้ยินเสียงของมู่ชิงอวิ้นที่โน้มน้าวอย่างคลุมเครือ
มู่จี้หงที่อยู่ในห้องโถงลุกขึ้นยืน เขาไม่แสดงสีหน้าใดราวกับโดนดุด่าจนชินแล้ว ก่อนลงมือทำความสะอาดถ้วยชาที่หลิ่วซื่อกวาดทิ้งลงพื้น รินชาที่เย็นแล้วถ้วยหนึ่งขึ้นจิบ จากนั้นจึงสาวเท้าเดินออกไป คนทั้งร่างเลือนหายไปท่ามกลางราตรีที่มืดมิด...
เชิงอรรถ
[1] มีเืมีเนื้อ 有血有肉 (yǒu xuè yǒu ròu) หมายถึง มีชีวิตชีวาหรือเหมือนจริงมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้