หลินฟู่อินทำได้เพียงถอนหายใจ นี่เป็เพชรในตมที่เกือบจะถูกบ้านเดิมทำลายไปแล้ว
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน ฉู่ซื่อถึงเลือกที่จะพาเขาเข้ามาให้อาหารและสั่งสอน
แต่นางก็แอบสนใจในวิสัยทัศน์อันโดดเด่นของฉู่ซื่อเช่นกัน นางเป็ใครกันแน่นะ?
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินเงียบไปนาน หลินซานหลางก็เริ่มกังวลขึ้นมา ลอบมองหลินฟู่อินอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะถาม “ฟู่อิน ข้าพูดอะไรผิดไปหรือไม่?”
“ไม่เลย ท่านพูดได้ดีแล้ว แม้บ้านข้าจะไม่ต้องใช้ผู้สืบทอด แต่ข้า้าตัวท่าน ญาติสาม” หลินฟู่อินมองเขาอย่างสงบ แล้วตัดสินใจทันที
ห้าปีก่อน แม่ของนางได้สั่งสอนเขาอยู่เรื่อยๆ แปลว่าแม่ของนางต้องเห็นบางสิ่งในตัวเขาแน่
ดังนั้นแล้ว นางจะไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง นางจะดูแลญาติหลินซานหลางผู้นี้เอง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลินฟู่อินก็มีท่าทีผ่อนคลายลง
นางบอกให้ย่าหลี่เอาผ้าเช็ดหน้ามาให้หลินซานหลางเช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนนางเดินเข้าครัวไปตักข้าวต้มธัญพืชมาให้เขาถ้วยหนึ่ง
หลินซานหลางใ แต่ก็รับถ้วยข้าวต้มไปอย่างว่าง่าย
ในบ้านใหญ่นั้น เขาไม่เคยได้ร่วมโต๊ะอาหาร ได้แต่นั่งยองอยู่ข้างโต๊ะ ทั้งยังตักได้แค่สองครั้งเท่านั้น
ดูแล้วไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ของเขา ก็ไม่มองเขาเป็คนของบ้านใหญ่เลย ทำกับเขาราวกับเป็คนบ้านสามจริงๆ
เมื่อหลินฟู่อินทานข้าวต้มเสร็จ นางก็ไปล้างมือและหน้า ก่อนจะกลับมานั่งมองหลินซานหลางทานอาหาร
ท่าทีตอนกินข้าวต้มของหลินซานหลางนั้นเรียกได้ว่าธรรมดา ไม่ได้เสียมารยาทเหมือนตอนกินเจียนปิ่ง
นางพยักหน้า
เมื่อหลินซานหลางทานเสร็จแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินบอกให้เขานั่งลง แล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้ก็อายุสิบสี่แล้ว ท่านมีแผนยังไงบ้าง?”
หลินซานหลางก้มหน้าลง ใช่ เขาอายุสิบสี่แล้ว แต่เขาไม่เคยเรียนหนังสือหรือทำงานเลย
ไม่มีอะไรเลย…
เขาจะมีแผนอะไรได้?
ในความเป็จริงแล้ว ต่อให้นางยอมรับให้เขาสืบทอดบ้านต่อ เขาก็ปกป้องหลินฟู่อินไม่ได้อยู่ดี
เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่เขาคิดอะไรอยู่
พวกเขาอยากให้เขาสืบทอดบ้านสาม จากนั้นก็จะแย่งชิงทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปเป็ของพวกตน
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางจึงถาม “มีอะไรที่อยากทำหรือเปล่า?”
หลินซานหลางเงยหน้าขึ้นมาทันที “ข้าอยากเรียน!”
เสียงนั้นทั้งดังและเต็มไปด้วยความกังวล จนทำให้หลินฟู่อินสะดุ้ง
“เรียนหนังสือหรือ?” นางมองเขาอย่างประหลาดใจ หลินซานหลางอายุมากกว่านาง แม้ว่านางจะไม่คิดว่าเขาอายุมากกว่าเลยก็ตาม แต่เหตุใดอยู่ๆ หลินซานหลางถึงอยากเรียนหนังสือกัน?
เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางที่บ้านใหญ่จะให้เขาไปเรียนหนังสือ ถึงได้เลี้ยงเขามาในสภาพนี้ แต่จะไปบอกให้เขายอมแพ้เสีย มันก็ไม่ใช่เื่อีก
อย่างที่หลินฟู่อินคิด สำหรับเื่นี้ ทั้งสองพี่น้องต่างก็เข้าใจกันเป็อย่างดีอยู่แล้ว
หลินฟู่อินมองหน้าหลินซานหลาง ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิด
“ใช่ ข้าอยากเรียน ข้าจะเรียนแล้วไปสอบบัณฑิต เมื่อสอบแล้วข้าก็สามารถออกห่างจากที่บ้านได้ บ้านที่บังคับให้ข้าต้องไปสืบทอดบ้านอื่นมาตลอดนั่น…” หลินซานหลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทรมาน
หลินฟู่อินเข้าใจได้ทันที เป็แบบนี้เองหรือ
ทำไปเพื่อจะออกห่างจากบ้านใหญ่หรือ เหตุผลนี้ทำให้นางประทับใจ
“แล้วถ้าสอบไม่ผ่านล่ะ?” หลินฟู่อินถาม จะทิ้งความเป็ไปได้นี้ไปไม่ได้ อย่างไรเสีย นางก็ไม่รู้ว่าหลินซานหลางมีความสามารถทางวิชาการมากแค่ไหน
รวมไปถึงเื่ที่เขามีพร์ทางการศึกษามากแค่ไหนด้วย
หมู่บ้านหูลู่ยังไม่เคยมีบัณฑิตจากคนรุ่นใหม่เลย ทั้งในหมู่บ้านอื่นในระยะร้อยลี้ [1] รอบหมู่บ้านหูลู่เอง ก็ไม่เคยมีบัณฑิตที่อายุต่ำกว่าสามสิบ
และบัณฑิตคนที่ว่านั้นก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านหลิน มีอายุมากกว่าห้าสิบปีไปแล้ว
ชัดเจนว่า การตั้งเป้าหมายว่าจะเป็บัณฑิตในดินแดนต้าเว่ยแห่งนี้ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“ต่อให้สอบไม่ผ่าน แต่ถ้าเรียนแล้วทำให้ข้าอ่านออกคำนวนได้ ก็คงพอจะหางานอย่างการทำบัญชีได้อยู่…” หลินซานหลางพึมพำ
นี่ก็เป็สิ่งที่เขาได้ยินผ่านๆ มาเช่นกัน
ปู่กับพ่อเคยตอบพี่ใหญ่เช่นนั้น ตอนที่พี่ใหญ่ถามคำถามนี้ คนที่อ่านออกคำนวณได้ มันก็ยังพอไปหางานอย่างพวกเป็คนทำบัญชีประจำบ้านได้อยู่
หลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้แล้วก็เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เื่ที่เขาคิดเอง
ไม่มีทางที่เด็กอายุสิบสี่เช่นหลินซานหลาง จะคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้แน่
“ใครบอกท่านมา? หรือไปได้ยินมาจากใคร?” นางถาม
“ปู่กับพ่อพูดไว้ตอนคุยกับพี่ใหญ่ เอ่อ… บอกว่าอาจเป็การดีที่จะให้พี่ใหญ่กลับมาสืบทอดบ้านต่อ เพราะนี่ก็ออกไปสอบบัณฑิตมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ผ่านสักที ปู่กับพ่อเลยไม่สบายใจ” หลินซานหลางอธิบาย
หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วจึงกล่าวต่อ “อย่างนั้นท่านก็น่าจะรู้ ว่าคนที่บ้านไม่ยอมให้ท่านไปเรียนแน่”
หลินซานหลางเกาศีรษะ ก่อนจะกล่าวอย่างหมดแรง “ใช่ เพราะเงินในบ้านยังถูกเทไปเป็ค่าเรียนค่าสอบของพี่ใหญ่อยู่ แล้วจะไปหาที่ไหนมาเป็ส่วนของข้ากัน?”
“ทำไมถึงพูดเช่นนั้น?” แม้ในใจของหลินฟู่อินจะพอเดาได้แล้ว แต่นางก็ยังต้องถาม
หลินต้าหลางสืบทอดตระกูลไปแล้ว แต่พวกปู่หลินยังต้องมารับผิดชอบค่าเล่าเรียนให้อีกหรือ? พวกปู่หลินช่างใจดีกับหลินต้าหลางเสียจริง…
“ตอนนั้นข้านอนอยู่ที่บ้าน แล้วได้ยินปู่กับพ่อคุยกันว่าต้องส่งเงินให้พี่ใหญ เป็ค่าเรียนเดือนละห้าตำลึงเงิน…” หลินซานหลางกล่าวต่อ
ดูท่าฝั่งบ้านเดิม ที่หลินต้าหลางและจ้าวซื่อต่างก็หิวเงินกันมากขนาดนี้ คงเป็เพราะ้าส่งเงินเพื่อสนับสนุนให้เกิดบัณฑิตคนแรกของบ้านสินะ
เพราะตาเฒ่าที่เป็ผู้สืบทอดของหลินต้าหลางคนนี้ไม่มีเงินเลย และยังไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเมีย ดังนั้นแม้ว่าจะได้สืบทอดตระกูลไปแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินห้าตำลึงเงินที่พวกผู้เฒ่าผู้แก่บ้านหลินส่งไปให้ทุกเดือนอย่างเดียว
หรือก็คือ บ้านเดิมนี้ไม่เพียงต้องดูแลบ้านตัวเอง แต่ยังต้องดูแลบ้านของบัณฑิตเฒ่าที่มีสามชีวิตนั่นด้วย
ไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจเลย
ในที่สุดหลินฟู่อินก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมพวกปู่หลินถึงได้พยายามกดดันบ้านรองและบ้านสามมากขนาดนี้
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อจะให้ทั้งสามบ้านรวมพลังกัน เพื่อให้เกิดผู้มีปัญญาขึ้นมาคนหนึ่งนี่เอง
ในเมื่อพวกปู่อยากให้ลูกหลานตัวเองประสบความสำเร็จเช่นนี้ แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก? แม้แต่ในยุคปัจจุบัน ก็ยังมีคนทุบหม้อข้าวหม้อแกงเพื่อเป็ค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน เพื่อไปสร้างความสำเร็จในวันข้างหน้าเลยไม่ใช่หรือ?
พูดได้อย่างเดียวว่ามันสองมาตรฐาน แต่ต่อให้ลูกคนโตนั่นสอบผ่านได้ เขาก็ยังเป็หลานคนโตของตระกูลอยู่ดี
ที่ต้าเว่ย เป็หลานคนโตที่คนทั้งตระกูลพึ่งพา แม้นางจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความจริงเื่นี้ได้
หลินฟู่อินปรับอารมณ์ใหม่ แล้วจึงถามหลินซานหลางอีกครั้ง “อยากเรียนหนังสือเหมือนพี่ชายของท่านจริงๆ หรือ?”
หลินซานหลางกุมหัว “นอกจากเื่นี้แล้ว ข้าก็คิดวิธีอื่นที่จะทำให้ข้าออกจากบ้านได้ไม่ออกแล้วน่ะ…”
“พวกงานฝีมือล่ะว่ายังไง? ท่านน่าจะเรียนไหว ท่านชอบงานไม้หรือไม่? หรืออาจจะงานอิฐ?” หลินฟู่อินลองพยายามถาม
หลินซานหลางส่ายหน้า “ข้าแค่อยากไปโรงเรียน ข้าเคยไปบ้านของพี่ใหญ่มาครั้งหนึ่ง แล้วได้ยินตอนอาจารย์กำลังสอนหนังสือให้เขา ตอนนั้นข้าเบื่อ แต่ภาพตอนที่อาจารย์กำลังสอนหนังสือให้พี่ข้ามันก็ยังติดอยู่ในใจข้าเสมอมา ข้าว่า… ข้าอาจจะชอบการเรียนหนังสือกระมัง?”
ท้ายที่สุดแล้วหลินซานหลางเองก็ยังไม่มั่นใจ แล้วจึงมองหลินฟู่อินราวกับจะขอคำแนะนำ
หลินฟู่อินรู้ดีว่าการที่หลินซานหลางนั้น เติบโตมาโดยไม่ได้รับการสั่งสอน ทั้งยังี้เี แล้วกลับมีความคิดอยากเรียนเช่นนี้ มันไม่ใช่หนทางที่ง่ายแน่
จิตใจเรียกได้ว่าไม่เลวร้าย ไม่พูดคำหยาบ ทั้งยังพอจะเห็นได้ว่า ลักษณะนิสัยบางส่วนของเขานั้นใกล้เคียงกับพ่อของนาง ดังนั้นแล้วแม่ของนางในตอนนั้น และตัวนางในตอนนี้ จึงต่างก็อยากจะให้ความช่วยเหลือเขา
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ร้อยลี้ หมายถึง 50 กิโลเมตร โดย 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้