หลี่ฝูคังจ้องมองไปที่หลี่ิ่หาน ถามย้อนไปว่า “เ้าว่าอย่างไร”
หลี่ิ่หานพูดเบาๆ “พี่ใหญ่ต้องบอกท่านแม่แน่”
“ต้องบอกพี่ใหญ่อยู่แล้วเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้นึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์กระจ่างใส แต่กลับชอบแสดงท่าทีเคร่งขรึมของหลี่เจี้ยนอัน นางยิ้มบางๆ พูดว่า “พรุ่งนี้พี่ใหญ่ต้องอยู่บ้านเฝ้าท่านแม่ ส่วนพวกเราก็ไปซื้อลาที่ตลาด”
หลี่เจี้ยนอันเดินเข้ามาถามว่า “พวกเ้ากำลังพูดคุยอะไรกัน?”
หลี่หรูอี้ชิงบอกก่อนที่หลี่ฝูคังจะพูด “พี่ใหญ่เ้าคะ พรุ่งนี้พวกเราไม่ไปขายของแล้ว พวกเราสี่คนจะไปซื้อลาที่ตลาดแต่เช้า หากหาซื้อไม่ได้ก็จะไปที่อำเภอ ท่านมีนิสัยหนักแน่นมั่นคงแล้วยังเป็บุตรชายคนโต จะต้องอยู่เฝ้าท่านแม่กับน้องชายที่กำลังจะคลอดนะเ้าคะ ดีหรือไม่เ้าค่ะ”
หลี่เจี้ยนอันดวงตาเป็ประกาย กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ซื้อลา!”
หลี่อิงฮว๋าส่งสายตาเป็สัญญาณให้หลี่ิ่หาน หลี่ิ่หานจึงเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา
สายตาของหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความจริงใจและมั่นใจ “พี่ใหญ่เ้าคะ ตอนนี้ท่านแม่ตั้งท้องเจ็ดเดือนแล้ว… เื่การซื้อลาไม่ได้สำคัญเท่ากับน้องชายและท่านแม่ที่กำลังใกล้จะคลอด หากมีท่านอยู่เฝ้า ท่านแม่ก็จะสบายใจ พวกเราก็จะไม่ต้องห่วงเวลาที่ออกไปข้างนอก”
ดวงตาของหลี่เจี้ยนอันสงบนิ่ง และกล่าวตอบไปอย่างไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ได้ ข้าฟังเ้า”
หลี่ิ่หานกล่าวอย่างยินดี “พี่ใหญ่ ท่านดีจริงๆ”
หลี่อิงฮว๋าแอบยกนิ้วโป้งให้หลี่หรูอี้
หลี่หรูอี้กระซิบว่า “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งบอกเื่ซื้อลากับท่านแม่นะเ้าคะ ข้ากลัวท่านแม่ไม่เห็นด้วย”
“ได้” หลี่เจี้ยนอันรับปากอย่างหนักแน่น จากนั้นจึงช่วยน้องๆ จัดการเครื่องในหมู
เมื่อมีคนมากย่อมมีกำลังมาก ทำให้จัดการเครื่องในหมูไปได้อย่างรวดเร็ว
อาหารกลางวันของวันนี้ หลี่หรูอี้ทำผัดไตหมู หัวใจ และตับตุ๋นพะโล้ ทั้งยังมีแกงน้ำเต้าฝอย ส่วนอาหารหลักคือ หมั่นโถวนึ่ง ที่ทำจากแป้งดำสี่ส่วนผสมกับแป้งขาวหกส่วน
พี่น้องทั้งห้ามีความลับร่วมกัน ขณะกินข้าวจึงเอาแต่ยักคิ้วขยิบตาใช้เท้าแตะกันไปมาใต้โต๊ะ จ้าวซื่อคิดว่าลูกๆ ดีใจเื่เงินสามสิบตำลึงเงิน จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
หลี่อิงฮว๋ากินเสร็จก็ไม่นอนกลางวันแล้ว เขาออกไปหาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเพื่อขอความรู้ว่าจะเลือกซื้อลาอย่างไร
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านหลี่บางคนเคยเลี้ยงลาเมื่อตอนหนุ่มๆ แต่นั่นก็เป็เื่ที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ความทรงจำจึงค่อนข้างรางเลือน กลัวว่าตนจะพูดผิดจนทำให้เกิดความสับสน จึงบอกให้หลี่อิงฮว๋าไปถามคนที่เลี้ยงลาในหมู่บ้านหลิว
หลี่อิงฮว๋ากลับบ้านมาหยิบไข่ไก่สองฟองแล้วเดินทางไปยังหมู่บ้านหลิว จากนั้นจึงไปที่บ้านหลิวต้าฝูผู้เลี้ยงลา
ปีนี้หลิวต้าฝูอายุห้าสิบห้าปีแล้ว เดินขากะเผลกเนื่องจากเคยติดตามเยี่ยนหวังเฒ่าไปออกรบ ขณะไปสู้รบที่ชายแดนกับเยี่ยนหวังเฒ่า เขาได้รับาเ็จากา ทำให้ขาขวาพิการจนเดินกะเผลก เยี่ยนหวังเฒ่าจึงมอบเงินให้เขากลับมาที่บ้านเกิด
“เ้าหนูนี่ หากมาเร็วกว่านี้สักหนึ่งเดือนคงดี ข้าจะได้ขายลาของบ้านข้าให้เ้า”
หลี่อิงฮว๋าเดินตามหลิวต้าฝูที่ดูอบอุ่นเป็มิตรไปยังคอกลา เห็นบ้านหลิวมีลาตัวเมียหนึ่งตัว ตัวผู้หนึ่งตัว และลูกลาหนึ่งตัว จากนั้นก็ฟังหลิวต้าฝูสอนวิธีการดูลา “ท่านปู่ขอรับ ไข่ไก่สองฟองนี้ข้าให้ท่านเอาไว้กินขอรับ”
“เ้าหนูนี่ รีบเอาไข่ไก่กลับไปเถิด” จะเป็จะตายหลิวต้าฝูก็ไม่ยอมรับ นำไข่ไก่สองฟองยัดใส่มือหลี่อิงฮว๋าคืนกลับไป แล้วยังพูดอีกว่า “ชาวบ้านในชนบทอย่างพวกเรากว่าจะหาเงินได้ก็ไม่ใช่เื่ง่ายเลย พรุ่งนี้ข้าไม่มีธุระอะไร หากครอบครัวเ้าเชื่อใจข้า ข้าจะพาพวกเ้าไปเลือกลาที่ตลาด”
“ท่านปู่ ท่านไม่ยอมรับไข่ไก่ ครอบครัวข้าคงรู้สึกไม่ดีหากจะรบกวนท่านอีก” หลังจากหลี่อิงฮว๋ากล่าวขอบคุณแล้ว ก็นำไข่ไก่สองฟองกลับมาที่บ้าน บอกทุกคนเื่หลิวต้าฝู
จ้าวซื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจ “บนโลกนี้มีคนดีมากมายจริงๆ”
หลี่ิ่หานมองไปยังหลี่หรูอี้ด้วยสายตานับถือ “น้องห้า เ้าตรวจโรคให้คนไข้โดยไม่คิดเงิน เ้าก็เป็คนดีเช่นกัน”
หลี่หรูอี้หน้าแดง กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “แต่ภายหลังพวกเขาก็ส่งของขวัญมาให้ ข้าก็รับไว้นะเ้าคะ”
หลี่ิ่หานพูดเสริม “เ้าช่วยชีวิตหวังฮวาไว้ แต่บ้านหวังฮวาก็ไม่ได้ให้ของขวัญมาเลย”
หลี่หรูอี้แย้มยิ้มเล็กน้อย “อ้อ... หากท่านไม่พูดข้าก็ลืมเื่นี้ไปแล้ว” หลังจากครอบครัวหวังฮวาแยกบ้านแล้วก็ออกไปจากหมู่บ้านหลี่ทันที ไม่รู้ว่าไปที่ใด คล้ายกับหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
หลี่อิงฮว๋ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ที่ดินของครอบครัวหวังฮวายังอยู่ในหมู่บ้านพวกเรา ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าต้องกลับมาปลูกพืชผลแน่”
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังยังคงไปขายแป้งย่างใส่ไข่ที่อำเภอ ตามสัญญาห้ามขายั้แ่พรุ่งนี้ไปจนถึงเดือนสองปีหน้า หลี่หรูอี้จึงย่างแป้งให้มากขึ้นสองร้อยแผ่น ทั้งยังให้พวกเขาประกาศให้ลูกค้าทราบอีกด้วย
จริงดังคาด เมื่อลูกค้าในอำเภอรู้ก็แย่งกันซื้อแป้งย่างใส่ไข่กันใหญ่
ทั้งๆ ที่ทำแป้งย่างใส่ไข่เพิ่มอีกสองร้อยแผ่น แต่หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็ยังกลับถึงบ้านเร็ว
หลี่ฝูคังเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “น้องห้า ไส้และตับตากแห้งทำเสร็จแล้วหรือไม่”
“ขั้นตอนแรกทำเสร็จแล้วเ้าค่ะ จากนี้ยังมีอีกขั้นตอนหนึ่ง” หลี่หรูอี้นำไส้และตับมาคลุกเคล้าเครื่องปรุงต่างๆ เช่น พริกไทยและสุรา จากนั้นจึงนำไปหมักและปิดผนึกบรรจุภัณฑ์ให้ดี อีกหลายวันค่อยนำออกมาแขวนตากลม
กลิ่นเนื้อหมักช่างน่าอร่อย วิธีทำก็ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองฟืนไฟ หลี่หรูอี้คิดว่าง่ายกว่าทำพวกเบคอนและแฮมเสียอีก
หลี่อิงฮว๋าลากหลี่ฝูคังไปที่มุมหนึ่งของห้องครัว เดินไปข้างถังขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนที่มีกระดาษน้ำมันปิดอยู่้าโดยใช้เชือกมัดปิดจนแน่น ถามว่า “พี่รอง ท่านลองดมดู ได้กลิ่นหอมหรือไม่”
“อืม... หอมมาก” หลี่ฝูคังดมกลิ่นหอมอันเข้มข้นนั้น ถามว่า “ใส่เหล้าด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว เหล้าช่วยดับกลิ่นคาวและทำให้มีกลิ่นหอม”
หลี่เจี้ยนอันเดินตามเข้ามา ถามว่า “หมักในถังหรือ”
หลี่หรูอี้เดินเข้ามาตบที่ถังใบใหญ่ “ใส่ถังนี้ได้เ้าค่ะ ไส้สองชุดและตับสองชุดใส่ได้เพียงก้นถังเท่านั้น ต่อไปหากข้าได้เครื่องในมาอีกจะนำมาทำเนื้อหมัก ทิ้งไว้จนฤดูหนาวค่อยเอามากินหรือให้คนอื่น”
หลี่เจี้ยนอันถามอย่างกระตือรือร้น “น้องห้าครอบครัวเราจะขายเครื่องในหมักหรือไม่” ฤดูหนาวสำนักศึกษาปิด หากเด็กหนุ่มสี่คนไปขายเครื่องในหมักเพื่อหาค่าเล่าเรียนได้คงไม่เลว
หลี่หรูอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้เ้าค่ะ แต่ข้าจะลองขายเนื้อหมัก่เดือนสิบสอง ก่อนปีใหม่คนมีกำลังซื้อมาก อาจมีคนชอบกินเนื้อหมักก็ได้” นี่คือภาคเหนือ ในโลกก่อนคนภาคเหนือไม่ชอบกินเนื้อหมัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องในเลย
เช้าวันต่อมา เมื่อจ้าวซื่อตื่นขึ้น สี่พี่น้องก็ไปตลาดที่อำเภอฉางผิงแล้ว
ตลาดที่นี่จัดขึ้นทุกสิบวัน มีร้านค้าเรียงรายบริเวณสองข้างทาง เมื่อมองไปก็พบว่ามีระยะทางยาวประมาณหนึ่งลี้ ใหญ่กว่าตลาดเล็กที่หน้าประตูอำเภอฉางผิงที่เปิดขายทุกวันมากเลยทีเดียว
ตอนนี้เป็่ต้นฤดูใบไม้ร่วง ในที่นาไม่มีงานให้ทำมากนัก คนในหมู่บ้านรอบๆ บริเวณหลายสิบลี้ต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ มองไปที่ใดก็มีแต่ผู้คน จึงดูคึกคักมาก
มีทั้งร้านขายผัก เนื้อ ปลา ไข่ ไก่ น้ำตาล แป้งย่าง ก๋วยเตี๋ยว หมั่นโถว ซานจาป่า ลูกแพร์ แอปเปิล ผ้าป่าน ผ้าไหม ถ้วยชาม ตะกร้าสาน เครื่องประดับ และถุงเงิน เป็ต้น ไม่ว่าสิ่งใดก็มีอย่างครบครัน มีกระทั่งการขายมนุษย์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่หรูอี้มาตลาด คราวที่แล้วนางมาใน่เดือนหนึ่ง แต่คราวนี้มีผู้คนมากกว่าคราวก่อนมากนัก
หลี่ิ่หานรู้สึกราวกับได้ค้นพบทวีปใหม่ กระซิบข้างหูหลี่อิงฮว๋าว่า “พี่สาม เมื่อครู่ข้าลองนับดูคร่าวๆ แล้ว มีคนขายฟืนยี่สิบเอ็ดคนเชียว!”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวอย่างเนิบช้า “เดี๋ยวก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว คน้าใช้ฟืนกันมาก คนขายฟืนก็ย่อมมาก”
หลี่ฝูคังเดินไปหยุดยืนตรงหน้าผู้เยาว์ร่างผอมที่มีอายุพอๆ กับตน ถามว่า “ฟืนสองมัดราคาเท่าไร” ฟืนหนึ่งท่อนขนาดเท่าไม้คานนำมามัดรวมกันเป็สองมัด ปกติจะขายคราวละสองมัด
ผู้เยาว์เห็นมีคนขายฟืนมากจึงกลัวขายไม่ได้ ตอบว่า “สองทองแดงขอรับ” หากน้อยกว่านี้ก็ไม่ขายแล้ว
.......................................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้