ที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยจื่ออวิ๋นเป็เด็กหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาซึ่งชำเลืองมองเยี่ยจื่ออวิ๋นอยู่เป็พักๆ เขาสังเกตเห็นเยี่ยจื่ออวิ๋นกำลังชำเลืองมองเนี่ยหลี จึงตวัดสายตาเกรี้ยวกราดใส่เนี่ยหลีครั้งหนึ่ง
เขามีรูปร่างสูงกว่าเนี่ยหลีเล็กน้อย สองคิ้วเข้มหนาตาโต แต่หว่างคิ้วแต้มแววหม่นอยู่เล็กน้อย
เนี่ยหลีย่อมรู้จักคนผู้นี้ มันชื่อเสิ่นเยวี่ย เป็บุตรของตระกูลเสินเซิ่งซึ่งเป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ พร์ถือว่าโดดเด่นยิ่ง เสิ่นซิ่วที่กำลังสอนหนังสืออยู่หน้าชั้นเรียนอยู่ในขณะนี้ก็คือน้าสาวของมัน ชีวิตในชาติที่แล้วของเสิ่นเยวี่ยมักคอยตามติดเยี่ยจื่ออวิ๋นอยู่เสมอ ก่อนเมืองกวงฮุยจะล่มสลาย พูดกันว่าเสิ่นเยวี่ยและเยี่ยจื่ออวิ๋นอีกไม่นานจะแต่งงานกัน ในสายตาของทั้งสองครอบครัว ทั้งสองต่างเป็คู่ที่เหมาะสมกันยิ่ง หากเมืองกวงฮุยไม่ถูกทำลาย ทั้งคู่ก็คงได้เป็ทองแผ่นเดียวกัน แต่ก่อนที่จะทันได้ฉลองสมรส เมืองกวงฮุยกลับถูกอสูรวายุเหมันต์บุกโจมตี ก่อนเมืองแตก ตระกูลเสินเซิ่งทรยศเมืองกวงฮุย พวกมันละทิ้งหน้าที่และหลบหนีไป
นี่คงเป็โชคชะตา เยี่ยจื่ออวิ๋นไม่ได้กลายเป็ภรรยาของเสิ่นเยวี่ยในชาติที่แล้ว แต่กลับมีวาสนาครองคู่กับเนี่ยหลี
คิดมาถึงตรงนี้ เนี่ยหลีอดหัวเราะขึ้นมาในใจไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นสายตาของเยี่ยจื่ออวิ๋นและเสิ่นเยวี่ย เนี่ยหลีก็อดที่จะบังเกิดความรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาไม่ได้ เยี่ยจื่ออวิ๋นเวลานี้มีความรู้สึกอันดีต่อเสิ่นเยวี่ยอยู่บ้าง สายตาที่เยี่ยจื่ออวิ๋นใช้จ้องมองเนี่ยหลีเจือแววดูแคลนเล็กน้อย เยี่ยจื่ออวิ๋นคงต้องคิดว่าเขาเป็คุณชายเกียจคร้านจอมเ้าชู้ผู้หนึ่งอยู่เป็แน่
เห็นเยี่ยจื่ออวิ๋นมองมา เนี่ยหลีรู้สึกคล้ายลมหายใจติดขัดอย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มคุ้นเคยทำให้เนี่ยหลีเริ่มคิดถึงชีวิตแต่หนหลัง จมูกก็อดรู้สึกแสบๆ ขึ้นมามิได้ เขาจ้องมองเยี่ยจื่ออวิ๋นลึกซึ้ง คลี่ยิ้มน้อยๆ นึกขอบคุณบันทึกจิตอสูรแห่งกาลเวลาที่ทำให้พวกเราได้กลับมาพบกันอีก
“พิลึกคน” เยี่ยจื่ออวิ๋นครุ่นคิด นางรู้สึกว่าสายตาของเนี่ยหลีออกจะประหลาด ั์ตาดำขลับเจิดจ้าราวดวงดาว แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ในใจของเยี่ยจื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย นางรู้จักเนี่ยหลีหรือ? เหตุใดเขาจึงเอาแต่จ้องมองนางด้วยสายตาเช่นนี้?
เยี่ยจื่ออวิ๋นเป็หญิงงาม เรียวฟันขาวสะอาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ นางเปรียบดังดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอยู่เงียบๆ มีความน่ารักอย่างหนึ่งยากจะบรรยายได้ ไม่แปลกใจที่จะมีเด็กหนุ่มมากมายลุ่มหลงนาง
ถึงเวลานี้ สายตาของเสิ่นซิ่วผู้อยู่หน้าชั้นกวาดผ่านเนี่ยหลี การกระทำของเด็กอายุสิบสามปีเหล่านี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้ ต้องรู้ว่านางเป็ผู้ควบคุมจิตอสูรระดับเงินผู้หนึ่ง ก้าวถึงระดับที่กายใจประสาน ััที่หกแรงกล้า สายตาของนางแหลมคมยิ่ง กระทั่งหนูสกปรกตัวหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยหมี่*ก็ยังมองเห็น
เยี่ยจื่ออวิ๋นเป็สตรีสูงศักดิ์ นางเป็บุตรีของเ้าเมืองกวงฮุย ทั้งยังเป็หลานสาวของผู้ควบคุมจิตอสูรระดับตำนานเยี่ยโม่ ไม่เพียงแค่นั้น ยังสามารถก่อรูปอาณาเขติญญาสีฟ้าที่จุดตันเถียนได้แล้ว นับเป็อัจฉริยะหาตัวจับยากผู้หนึ่ง!
มีไม่กี่คนในโรงเรียนเซิ่งหลันที่ล่วงรู้ฐานะของเยี่ยจื่ออวิ๋น หากเสิ่นเยวี่ยได้แต่งเยี่ยจื่ออวิ๋นเป็ภรรยา ก็จะสามารถส่งเสริมตระกูลเสินเซิ่งให้มีสิทธิมีเสียงในเมืองกวงฮุยมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก นี่เป็เหตุผลว่าทำไมเสิ่นเยวี่ยจึงมาอยู่ในชั้นเรียนการต่อสู้สำหรับผู้เริ่มต้น และเหตุใดเสิ่นซิ่วจึงมาสอนที่ชั้นนี้
เสิ่นซิ่วกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ สองแขนกอดอก สองตากวาดมองนักเรียนทั่วห้องและเอ่ยขึ้น “สองปีจากนี้ไป พวกเ้าทุกคนจะเป็นักเรียนของข้า แม้ท่านอาจารย์ใหญ่จะกล่าวไว้ว่านักเรียนโรงเรียนเซิ่งหลานทุกคนล้วนมีฐานะเท่าเทียม แต่ข้าจำต้องบอกให้พวกเ้าทุกคนรับรู้ถึงความจริงอันแสนโหดร้ายข้อหนึ่ง ในโลกใบนี้ ความเท่าเทียมกันไม่มีอยู่จริง!” เสิ่นซิ่วพูดเสียงแหลม คำพูดของนางดุจมีดที่กรีดลงกลางใจของนักเรียน
นักเรียนทุกคนในชั้นนิ่งฟังเงียบๆ ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำ
“อีกหน่อยเมื่อพวกเ้าเติบใหญ่และจบจากโรงเรียนไป พวกเ้าก็จะเห็นด้วยกับคำพูดของข้า ความเท่าเทียมกันเป็เพียงคำพูดเพ้อเจ้อที่พวกผู้ใหญ่ใช้ปลุกปลอบใจพวกเ้าเท่านั้น พวกเ้าไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในเทพนิยายไปได้ตลอด!” เสิ่นซิ่วก้มหน้ากวาดมองนักเรียนทุกคน “เมืองกวงฮุยเป็เมืองเดียวที่เหลือรอดจากยุคมืด พวกเราเป็เผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ เมืองกวงฮุยมีกองกำลังดำรงอยู่สองกลุ่ม นักสู้และผู้ควบคุมจิตอสูร ผู้ควบคุมจิตอสูรมีฐานะสูงส่งที่สุด ในบรรดานักสู้นับพันนับหมื่น อาจมีโอกาสเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะกำเนิดเป็ผู้ควบคุมจิตอสูรอันทรงเกียรติ กระทั่งบัดนี้ ทั่วทั้งเมืองกวงฮุยมีผู้ควบคุมจิตอสูรอยู่เพียงไม่กี่พันคน พวกเราคือผู้พิทักษ์แห่งเมืองกวงฮุย!”
“นักสู้และผู้ควบคุมจิตอสูรแบ่งเป็ระดับทองแดง เงิน ทอง ทองดำและระดับตำนาน ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งแข็งแกร่ง หากครอบครัวหนึ่งสามารถสร้างผู้ควบคุมอสูรระดับทองขึ้นมาได้คนหนึ่ง พวกมันก็จะกลายเป็ชนชั้นขุนนางได้ หากครอบครัวหนึ่งสามารถสร้างผู้ควบคุมอสูรระดับทองดำขึ้นมาได้คนหนึ่ง พวกมันก็จะกลายเป็ชนชั้นสูงได้ หากครอบครัวหนึ่งสามารถสร้างผู้ควบคุมอสูรระดับทองดำสามคนหรือผู้ควบคุมอสูรระดับตำนานขึ้นมาได้คนหนึ่ง พวกมันก็จะกลายเป็ตระกูลหลักได้ พวกเราทั้งสามสิบหกคนที่นี่ บางคนมาจากครอบครัวสามัญ บางคนมาจากครอบครัวขุนนาง แม้จุดเริ่มต้นของพวกเ้าเท่ากัน ฐานะของพวกเ้ากลับมิใช่ ข้าหวังว่าพวกเ้าแต่ละคน ทุกๆ คน จะรู้จักประมาณตนและทำตัวให้เหมาะสม สามัญชนยังไงก็เป็สามัญชนอยู่วันยังค่ำ เป็ไปไม่ได้ที่จะกลายเป็ขุนนาง เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ฝันหวานคิดยกฐานะเป็หงส์ แม้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกัน ก็ยังต้องมีขีดขั้น ไม่อาจเอื้อมเกินตน”
ภายใต้สายตาดุดันของเสิ่นซิ่ว นักเรียนบางคนในชั้นที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายพากันก้มหน้า ส่วนเสิ่นเยวี่ยและพวกนักเรียนจากบางครอบครัวพากันนั่งยืดอก มุมปากเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ มีเพียงเนี่ยหลี เยี่ยจื่ออวิ๋น ลู่เพียว และนักเรียนฐานะดีอีกสองสามคนที่ยังคงนิ่งเงียบ
เนี่ยหลีหันมองด้านข้าง ตู้เจ๋อในตอนนี้สวมใส่เสื้อผ้ามอซอ เขากำลังกัดฟันขบริมฝีปากแน่น ตู้เจ๋อมาจากครอบครัวสามัญ ฐานะครอบครัวลำบากนัก แต่เนี่ยหลีรู้ดีว่าตู้เจ๋อมีความภาคภูมิใจในตนเองสูงอย่างยิ่ง
แม้ครอบครัวฐานะไม่ดี แต่ตู้เจ๋อมีความขยันหมั่นเพียรเป็อย่างยิ่ง พร์ก็ดี อาศัยกำลังตนเอง เขากลายเป็ผู้ควบคุมอสูรระดับทองผู้หนึ่ง ปราศจากการเกื้อหนุนจากครอบครัว ปราศจากพร์อันล้ำเลิศ อาศัยเพียงความขยันหมั่นเพียรก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้น ย่อมเห็นได้ว่าเขาต้องมานะบากบั่นเพียงใด
ก่อนเมืองกวงฮุยจะล่มสลาย ชนชั้นสูงหลายครอบครัวเอาแต่คิดว่าจะหลบหนีกันอย่างไร ทว่าเป็ตู้เจ๋อและพี่น้องชาวบ้านที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อเมืองกวงฮุยจนตัวตาย
ตู้เจ๋อเป็เพื่อนของเนี่ยหลี ทั้งยังเป็เพื่อนที่เขานับถือที่สุด!
เห็นสีหน้าของเสิ่นซิ่วเต็มไปด้วยแววตาดูถูกดูแคลน เนี่ยหลีจึงอดที่จะโมโหขึ้นมาในใจไม่ได้ ปีนั้นก่อนเมืองกวงฮุยจะล่มสลาย ตระกูลศักดิ์สิทธิ์เสินเซิ่งเป็พวกแรกที่หลบหนีไป ดังนั้นเนี่ยหลีจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีอันใดต่อพวกมัน ไม่ว่าจะเป็เสิ่นเยวี่ยหรือเสิ่นซิ่ว ล้วนไม่ใช่คนดี ในชีวิตหนก่อนของเนี่ยหลี เสิ่นซิ่วดุร้ายเกรี้ยวกราดยิ่งนัก ทำให้เนี่ยหลีไม่ชอบนางเอาเสียเลย
“อาจารย์เสิ่นซิ่ว ข้ามีคำถาม” เนี่ยหลีพลันเอ่ยขึ้น
นักเรียนทุกคนกำลังนิ่งฟังอยู่เงียบๆ เนี่ยหลีเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาครั้งนี้ทำให้เสิ่นซิ่วเคืองใจยิ่งนัก เสิ่นซิ่วมองๆ ดู จำได้ว่าเนี่ยหลีก็คือนักเรียนที่ชมชอบเยี่ยจื่ออวิ๋น ที่นางเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ก็ล้วนเพื่อกดข่มเนี่ยหลี คิดไม่ถึงเนี่ยหลีกลับพุ่งเข้าชน นางทำเสียงขึ้นจมูกและถามออกไป “มีคำถามอันใด?”
“อาจารย์เสิ่นซิ่วกล่าวว่าเมืองกวงฮุยเป็เพียงเมืองเดียวที่เหลือรอดมาจากยุคมืด พวกเราเป็มนุษย์กลุ่มเดียวที่รอดชีวิต ท่านมีข้อพิสูจน์หรือไม่? ข้าขอถาม อาจารย์เสิ่นซิ่วเคยออกจากเทือกเขาเซิ่งจู่นี้มาก่อนหรือไม่ เดินทางสู่ทะเลทรายไร้พรมแดน ป่าพิษ ไปถึงบึงจันทราโลหิต หุบเหวิญญา เทือกเขาเทียนเจ๋อ หรือแดนหิมะเทียนเป่ยทางทิศเหนือหรือไม่?” ในฐานะผู้เกิดใหม่ที่สะสมประสบการณ์มามากมาย เนี่ยหลีย่อมมีสิทธิ์ดูแคลนเสิ่นซิ่วได้อย่างสิ้นเชิง
“เทือกเขาเทียนเจ๋อคืออะไร? แดนหิมะเทียนเป่ยทางทิศเหนือคืออะไร?” เสิ่นซิ่วขมวดคิ้วมุ่น ทะเลทรายไร้พรมแดน ป่าพิษและบึงจันทราโลหิต นางได้ยินว่าสถานที่เ่าั้ล้วนอยู่ห่างไกลจากเทือกเขาเซิ่งจู่ออกไปมากและเคยได้ยินแต่ในตำนานเท่านั้น เสิ่นซิ่วทำเสียงฮึขึ้นจมูก “ข้าอาศัยอยู่ในเมืองกวงฮุยั้แ่เกิดและไม่เคยไปยังสถานที่เ่าั้”
เนี่ยหลียิ้มบางกล่าว “ในเมื่ออาจารย์เสิ่นซิ่วไม่เคยไปยังสถานที่เ่าั้ ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเราเป็มนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่เหลือรอดอยู่?”
เสิ่นซิ่วได้แต่พูดไม่ออก
นักเรียนในชั้นก้มหน้าถกความคิดเห็นกันเงียบๆ พวกเขาไม่รู้จักสถานที่ที่เนี่ยหลีพูดถึง ที่นั่งห่างออกไป สองตาของเยี่ยจื่ออวิ๋นเป็ประกาย จ้องมองเนี่ยหลีด้วยความแปลกใจ นางสงสัยอย่างยิ่ง เนี่ยหลีรู้จักสถานที่เ่าั้ได้อย่างไรกัน?
ที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยจื่ออวิ๋น เสิ่นเยวี่ยสองคิ้วขมวดมุ่น เขาจ้องมองเนี่ยหลีที่กำลังพูดจาและพบว่าโครงแก้มของเนี่ยหลีดูเด่นชัดได้รูป หน้าตาไม่ด้อยไปกว่าตน ไม่ทราบว่าเพราะเหตุอันใด ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกคล้ายเจอวิกฤติรุนแรง
เห็นพวกนักเรียนที่อยู่ข้างล่างกำลังถกความเห็น สีหน้าของเสิ่นซิ่วน่าเกลียดยิ่งนัก นางทำเสียงขึ้นจมูกดูแคลน “แล้วอย่างไร? เ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพวกเรามิใช่มนุษย์กลุ่มเดียวที่เหลือรอดอยู่?”
“พิสูจน์รึ?” เนี่ยหลียิ้มบาง สิ่งที่เขาประสบมาในชาติก่อนก็คือข้อพิสูจน์ สติปัญญาของมนุษย์นั้นน่าทึ่งยิ่งนัก หลังประสบกับยุคมืด ผู้คนมากมายยังมีชีวิตรอดอยู่ พวกเขาสร้างเมืองใหญ่มากมาย แต่เนี่ยหลีไม่พูดอะไร เพียงกล่าวอย่างสงบ “ให้ข้าเล่านิทานเื่หนึ่งให้ท่านอาจารย์ฟังดีกว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ่อน้ำลึก ั้แ่เกิดมามันก็อยู่แต่ในบ่อน้ำนั้น ั้แ่เกิดมันก็เห็นเพียงส่วนหนึ่งของท้องฟ้า ดังนั้นมันจึงคิดว่าท้องฟ้าผืนนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากับปากบ่อ แต่ท้องฟ้ามีขนาดเท่าแค่ปากบ่อหรือ? พวกเราจึงได้แต่บอกว่ามันเป็กบในกะลา”
ได้ฟังสิ่งที่เนี่ยหลีบอกเล่า พวกนักเรียนในชั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่เนี่ยหลีพูดนั้นสมเหตุผล และดังสำนวนที่ว่า “กบตัวหนึ่งจ้องมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ” ย่อมเป็การเรียกอาจารย์เสิ่นซิ่วว่ากบในกะลาเป็การตำหนิกลายๆ
“กบในกะลา เห็นท้องฟ้าจากก้นบ่อ ช่างเป็การเปรียบเปรยที่เหมาะเจาะเสียจริง” นักเรียนหญิงหลายคนกำลังหัวเราะคิกคัก พวกนางก็เกลียดเสิ่นซิ่วเช่นกัน จึงอดที่จะจ้องมองเนี่ยหลีด้วยความยอมรับอย่างเต็มเปี่ยมมิได้ เกรงว่าคงมีแต่เนี่ยหลีเท่านั้น จึงกล้าพอที่จะเย้ยหยันอาจารย์ในห้องเรียน
“เ้า...” เสิ่นซิ่วโกรธจนแทบจะกระอักเืที่เนี่ยหลีเปรียบนางเป็เหมือนกบในกะลา นางไม่เคยเจอะเจอนักเรียนปากกล้าแบบนี้มาก่อน
ห่างออกไป เยี่ยจื่ออวิ๋นไม่อาจอดกลั้นได้ นางก็หัวเราะออกมาเช่นกัน นางมองไปทางเนี่ยหลี รู้สึกว่าเนี่ยหลีก็มีส่วนที่น่าสนใจอยู่บ้าง ทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง ถึงขนาดทำให้อาจารย์เสิ่นซิ่วพูดไม่ออก
เยี่ยจื่ออวิ๋นเป็หญิงงามโดยแท้ รอยยิ้มของนางยิ่งชวนหลงใหล เนี่ยหลีขยิบตาให้นาง ยิ้มแล้วยิ้มอีก
เห็นสีหน้าของเนี่ยหลี เยี่ยจื่ออวิ๋นรีบหันกลับไป ในใจร้องฮึ เนี่ยหลี ช่างใจกล้านัก ในใจนาง อย่างไรเนี่ยหลีก็ยังคงเป็นักเรียนนิสัยเสียผู้หนึ่ง!
เห็นเนี่ยหลีไม่เพียงเย้ยหยันอาจารย์เสิ่นซิ่ว ยังหันไปหยอกล้อเยี่ยจื่ออวิ๋น ลู่เพียวอดที่จะยกนิ้วโป้งให้เขาไม่ได้ ครุ่นคิดว่าเ้านี่ช่างแน่เสียจริง
เนี่ยหลีจ้องมองเสิ่นซิ่วและพูดต่อ “อาจารย์เสิ่นซิ่ว ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง”
เสิ่นซิ่วแทบคลั่งตายแล้ว ทว่านางไม่อาจแสดงความเกรี้ยวกราดที่นี่ได้ จึงได้แต่กล่าวตอบอย่างอารมณ์เสีย “ยังมีคำถามอะไรอีกรึ?”
“อาจารย์เสิ่นซิ่วบอกไว้ว่าสามัญชนก็ต้องเป็สามัญชนอยู่วันยังค่ำ พวกมันไม่มีวันจะกลายเป็คนชั้นสูงไปได้ แต่ผู้ควบคุมจิตอสูรระดับตำนานเยี่ยโม่ ครั้งยังเด็กก็มิใช่สามัญชนคนหนึ่งหรือ?” เนี่ยหลีกระพริบตาปริบๆ จ้องมองเสิ่นซิ่ว “อย่าบอกนะว่าอาจารย์เสิ่นซิ่วก็ไม่ทราบเื่นี้เช่นกัน?”
--------------------------------------
* หมี่ (米) หมายถึงความยาว ๑ เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้