“ผักบ้านข้า ข้าทำเสียไปกอหนึ่งแล้วจะอย่างไร อย่าว่าแต่ห้าร้อยอีแปะเลย ต่อให้เป็ห้าร้อยตำลึง...”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เหมือนจะเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่าผักห้าร้อยอีแปะนั้นหมายถึงอะไร
สตรีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังใช้เชือกมัดผักที่ตัดออกมาถึงกับใจนมือไม้อ่อน ทำผักสดร่วงกระจายเต็มพื้น เห็นเช่นนั้นก็ก้มลงไปเก็บอย่างร้อนรนแล้วกำเอาไว้ในมือแน่น
ผักโขมหนักครึ่งจิน ขายได้ราคาห้าร้อยอีแปะ หรือก็คือหนึ่งจินขายได้หนึ่งตำลึง
หนึ่งตำลึงเชียวนะ
หากนำไปซื้อเสบียงก็เพียงพอให้ครอบครัวห้าคนกินไปได้ถึงสองเดือน หากนำไปซื้อผ้าตัดอาภรณ์คงพอให้คนทั้งครอบครัวได้ตัดชุดใหม่คนละสองชุด พอซื้อสุราชั้นดีสองไหกับของว่างสองกล่อง...
เงียบสงัดกันไปทั้งสวนผัก มีเพียงเสียงพัดหวีดหวิวของลมเหนือ
ต้นกล้าทั้งหลายกำลังชูช่อท้าลม เดิมทีพวกมันต่างมีสีเขียวขจี แต่ยามนี้ในสายตาของทุกคนกลับคล้ายว่าจะเป็สีทองก็ไม่ปาน
ใช่ สีทองราวกับทองคำ นี่มันผักสดที่ไหนกัน นี่มันของล้ำค่าที่ทำขึ้นจากทองชัดๆ
ตอนนี้เองเถ้าแก่เฉินและลู่เสี่ยวหมี่ก็เดินมาถึง
ลู่อู่ที่จิตใจบริสุทธิ์ไร้ความคิดรีบพุ่งเข้าไปจับแขนน้องสาว ถามอย่างร้อนรนว่า “น้องพี่ ผักบ้านเราหนึ่งจินขายได้หนึ่งตำลึงจริงหรือ?”
ลู่เสี่ยวหมี่ลอบกวาดสายตามองทุกคนเงียบๆ ใจนางคิดจะปล่อยให้เื่นี้ผ่านไปโดยไม่ดึงดูดความสนใจจากใครมากนัก น่าเสียดายที่พี่ชายผู้โง่งมของนางกลับพูดออกมาเสียแล้ว อีกอย่างเื่นี้ในอนาคตก็คงมีเสียงเล่าลือกันมาจากในเมือง จึงไม่เหมาะจะปิดบังต่อไป
นางพยักหน้า “นี่คือผักชุดแรกที่นำไปขายเมือง คนอื่นๆ ยังไม่มีใครปลูกออกมาได้ ย่อมต้องมีราคาสูงเป็ธรรมดา แต่อีกไม่นานราคาก็จะค่อยๆ ต่ำลงแล้ว”
คนในหมู่บ้านได้ยินคำตอบของนาง ถึงแม้จะไม่ได้ยอมรับออกมาตรงๆ แต่จากคำพูดก็ฟังออกแล้วว่าผักขายได้ราคาสูงขนาดนั้นจริงๆ
คนที่ก่อนหน้านี้เคยพูดว่าการที่เสี่ยวหมี่ปลูกผักช่างสร้างความลำบากให้ผู้อื่น ตอนนี้อยากตบปากตนเองยิ่งนัก ใครกันสร้างความลำบากทีหนึ่งผักหนึ่งจินขายได้ถึงหนึ่งตำลึง
ผัดสดยี่สิบจินเพียงพอให้คนทั้งครอบครัวอยู่ได้อย่างสุขสบายไปทั้งปีแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา ได้ยินกับหู ใครจะเชื่อ?
แต่ตอนนี้เื่ราวก็ปรากฏชัดเจนอยู่ตรงหน้า อิจฉาหรือไม่เล่า? ริษยาหรือไม่เล่า?
แน่นอนว่าก็คงมีบ้าง บุตรสาวดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่มาเกิดที่บ้านพวกเขา...
ตอนนี้เสี่ยวหมี่รู้สึกเช่นเดียวกับผักในเพิงนั้น นางถูกทุกคนจ้องจนร้อนไปหมด
นางกระแอมสองเสียง เอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มีเพิงว่างอีกสองเพิงแล้ว อีกประเดี๋ยว ท่านลุงท่านป้าช่วยข้าย้ายต้นกล้าอีกชุดหนึ่งออกมาด้านนอกทีนะเ้าคะ แต่ละบ้านก็ตัดผักสดไปบ้านละสองจิน ลองชิม...”
“ไม่ได้เด็ดขาด” ไม่รอให้เสี่ยวหมี่พูดจบ พวกเขาก็โวยวายออกมา “ผักราคาแพงเช่นนี้ เราไม่กล้าตัดอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว เก็บเอาไว้ขายแลกเงินเถิด”
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยกินผักสดเสียหน่อย อีกไม่กี่เดือนเกรงว่าคงต้องกินทุกวันจนแทบอาเจียนออกมา ยามนี้ราคาสูงยิ่งนัก พวกเราไม่กล้ากินหรอก”
พูดจบ สตรีบางคนเกรงว่าเสี่ยวหมี่จะตั้งใจแน่วแน่ไม่ยอมเปลี่ยนใจจึงตัดสินใจคลุมเพิงผักกลับไปเช่นเดิมเสียเลย
เสี่ยวหมี่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขบคิดแล้วจึงตัดสินใจเรียกพวกพี่เสี่ยวเตามา “พี่เสี่ยวเตา อีกเดี๋ยวข้าจะจดรายการของออกมา พรุ่งนี้ท่านเข้าเมืองไปพร้อมพี่ใหญ่ข้าซื้อสุราและเนื้อกลับมาทีเ้าค่ะ”
พวกเสี่ยวเตาต่างยิ้มแย้มดีใจ “วางใจเถอะ น้องเสี่ยวหมี่ ให้เป็หน้าที่พวกเราเอง”
เสี่ยวหมี่ขอบคุณพวกเขา แล้วจึงหันไปหาทุกคน “ท่านลุงท่านป้าทุกท่าน บ้านเราปลูกผักสดเล็กๆ น้อยๆ ได้ทุกท่านช่วยเหลืออย่างเต็มที่มาั้แ่ต้น ยามนี้ขายผักได้ราคาดังทอง ต้นทุนก็ได้กลับมาจนครบแล้ว ถึงเวลาฉลองกันเสียที เที่ยงวันพรุ่งนี้ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านข้า มีทั้งเนื้อและสุราเพียงพอให้ทุกท่านกิน”
“เสี่ยวหมี่เกรงใจเกินไปแล้ว”
“ได้สิ พวกเราจะมาร่วมยินดีร่วมฉลองด้วย พาพวกลูกๆ ไปด้วยไม่แน่อาจได้ซึมซับความเฉลียวฉลาดของเสี่ยวหมี่มาบ้าง บ้านเราจะได้ไม่ต้องลำบากอีก”
ทุกคนพากันส่งเสียงตอบรับดังระงม
ความลำบากในหลายวันนี้ในที่สุดก็เห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้างตลอดเวลา เห็นพระอาทิตย์ก็อยากยิ้มให้ เห็นขุนเขาก็อยากยิ้มให้ เห็นหม้อข้าวก็อยากยิ้มให้ สรุปแล้วมุมปากของนางไม่เคยตกลงเลย
เพราะนางอารมณ์ดีเช่นนี้ วันนี้โต๊ะอาหารสกุลลู่จึงแทบจะถล่มอีกครั้ง
เสบียงที่เหลือไว้ั้แ่่ปีใหม่ ถูกปรุงออกมาเป็อาหารรสเลิศจนเต็มโต๊ะ ทุกคนกินกันจนท้องแทบแตก
เสี่ยวหมี่ล้างถ้วยชามและตะเกียบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะเขียนรายการของที่ต้องซื้อ ยามนี้ผลผลิตในบ้านขายได้ราคาดี จำต้องส่งผักสดจำนวนหนึ่งไปขอบคุณนายท่านเฝิงและลุงสามปี้ แต่วันนี้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ราคาของผักสดแล้ว เกรงว่าหากส่งไปตอนนี้ทั้งสองคงไม่ยอมรับ ไม่สู้พรุ่งนี้ซื้อยาสูบหรือชาชั้นดีและของว่างไปให้จะเหมาะสมกว่า
นางกำลังเดินคิดเื่นี้อยู่ในหัวก็เห็นบิดาลู่กวักมือเรียกอยู่หน้าโถงกลางบ้าน
หลายวันมานี้บิดาลู่ทำหน้าที่เป็อาจารย์ให้กับเด็กซุกซนทั้งหลายในหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าเพราะได้ซึมซับความมีชีวิตชีวาจากเด็กๆ มาหรือไม่ จึงกินข้าวได้เยอะขึ้น ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็ยินดี นางรีบเดินเข้าไปหาบิดา
“ท่านพ่อ เรียกข้ามีเื่ใดหรือ?”
บิดาลู่มีสีหน้าซับซ้อน บอกให้บุตรสาวเข้ามานั่ง และยังรินชาให้นางด้วยตนเอง จากนั้นก็กล่าวว่า “เสี่ยวหมี่เอ๋ย พ่อรู้ว่าเ้าต้องลำบากลำบนเพราะครอบครัวนี้มาตั้งเท่าไร”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็อึ้งไป บิดาที่แต่ไหนแต่ไรไม่อาจพึ่งพาอาศัยได้ เรียกได้ว่าไม่สนใจคลุกคลีกับเื่ทางโลก จู่ๆ เหตุใดถึงได้เอ่ยชมเชยบุตรสาวที่ไม่ทำตัวอยู่ในขนบประเพณีเช่นนี้ไปได้ หรือที่จริงแล้วมีเื่อะไรแอบแฝงอยู่เื้ัซึ่งเขายากจะเอ่ยปาก?
นางคิดได้เช่นนี้ จึงตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ ข้าไม่ลำบากเ้าค่ะ เป็เื่ที่สมควรทำอยู่แล้ว”
บิดาลู่กระแอมเบาๆ สองเสียง วนแก้วชาในมือไปมา แล้วถึงกล่าวขึ้นว่า “คือว่านะเสี่ยวหมี่ ่นี้คนในหมู่บ้านลงแรงช่วยเหลือพวกเราไม่น้อย มีคำกล่าวไว้ว่า...”
“ท่านพ่อ” ครั้นเห็นว่าบิดากำลังจะร่ายถ้อยคำในตำรายาวยืดอีกแล้ว นางจึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิดเ้าค่ะ หากข้าทำได้ข้าจะทำทุกอย่าง”
“ดี เช่นนั้นก็ดี” บิดาลู่เห็นว่าลู่เสี่ยวหมี่ไม่มีท่าทีอิดออด ก็ถอนใจโล่งอก กล่าวต่อไปว่า “ความหมายของพ่อก็คือ ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านลงมือลงแรงช่วยเหลือเราไปมาก เ้าก็ควรสอนวิธีการเพาะปลูกแก่พวกเขาบ้างไม่ใช่หรือ เ้าดูสิ ผักของเ้าขายได้ราคาดีเช่นนี้ ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ผู้อื่นคงรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง นานวันเข้า ใจคนย่อมไม่รู้จักพอ อาจเกิดความคิดไม่สมควรขึ้นได้ อีกอย่าง บ้านเราในอนาคตไม่แน่ว่ายังจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เ้า...”
“ท่านพ่อ ที่แท้ก็เื่นี้เอง ท่านวางใจ อย่างที่ท่านว่า ข้าก็ตัดสินใจว่าจะบอกกับทุกคนในงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ หากใครอยากจะเรียนวิธีการเพาะปลูกข้าก็จะสอนให้ทั้งหมด เพียงแต่ต้นทุนค่อนข้างจะสูง อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ราคาผ้าทะเลหนึ่งพับสิบตำลึง เกรงว่าต่อให้พวกเขาจะอยากลองแต่ก็คงไม่อาจทำได้ง่ายๆ”
สำหรับเื่การถ่ายทอดวิชาเพาะปลูกนั้นลู่เสี่ยวหมี่คิดไว้นานแล้ว เมื่อได้ยินว่าเื่ที่บิดาอยากพูดที่แท้คือเื่นี้ นางก็เบาใจลงรีบตอบรับทันที
“จะมีความสามารถหรือไม่ นั่นเป็เื่ของพวกเขา แต่จะสอนหรือไม่นั้น เป็เื่ของสกุลเรา เอาเป็ว่าเ้าจะต้องดีกับคนในหมู่บ้านให้มากๆ ไม่แน่ในอนาคตยังต้องพึ่งพาพวกเขาให้ปกป้องเ้า”
บิดาลู่เกรงว่าบุตรสาวจะตอบแทนผู้อื่นแบบขอไปที จึงสำทับเพิ่ม
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็คลี่ยิ้ม “ท่านพ่อ ดูท่านพูดเข้าสิ ใครจะกล้าบุกมาลักพาตัวข้าไปเป็ภรรยาหรืออย่างไร วางใจเถิด ลูกสาวท่านเฉลียวฉลาดพอตัวเชียว รู้ดีว่าสิ่งใดควรไม่ควร เื่พวกนี้ท่านวางใจเถิด ข้าจะจัดการเอง ท่านพ่อเองก็พักผ่อนให้มากๆ เถอะเ้าค่ะ หากมีเวลาก็เข้าเมืองบ้าง ไปพบปะสหาย หากท่านพ่อชอบตำราโบราณอยากจะซื้อกลับมาสักสองสามเล่มก็ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ข้ามีเงินแล้วเ้าค่ะ”
“ได้ ได้ ข้าอยากจะไปร้านตำรานานแล้ว ครั้งล่าสุดที่ไปก็คือฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว...” บางทีอาจเป็เพราะนึกถึงว่าครั้งที่แล้วตนเอาเงินซื้อเสบียงของครอบครัวไปใช้ซื้อตำรา บิดาลู่จึงหน้าแดง รีบเสริมว่า “คือว่า ครั้งนี้พ่อจะไม่ซื้อเล่มที่แพงแล้ว”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็รู้สึกปวดใจ รีบโน้มน้าวว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ที่บ้านเราสบายขึ้นแล้ว หากท่านจะใช้เงินซื้อตำราสักสิบตำลึงแปดตำลึงข้าก็ให้ท่านได้ จะให้ดีก็ชวนท่านลุงหยางไปด้วยกัน ถึงแม้ท่านลุงหยางจะเป็บ่าวรับใช้ แต่เขามีความรู้กว้างไกล พวกท่านเข้าเมืองไปพร้อมกัน ข้าจะได้วางใจ”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะบอกเขา”
“ตอนเที่ยงบ้านเราจะจัดงานเลี้ยง ท่านพ่ออย่าเดินเล่นนานนัก ต้องรีบกลับมานะเ้าคะ”
“ได้ ได้ ข้าจะรีบกลับมา”
บิดาลู่ได้รับความเห็นชอบจากบุตรสาว ยิ่งนึกถึงว่าพรุ่งนี้จะได้อุ้มตำราเก่าๆ กลับบ้าน เขาก็แย้มยิ้มไปถึงดวงตา
สองพ่อลูกสนทนาสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง จากนั้นเสี่ยวหมี่ก็ไปที่ห้องบิดาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้เขาใหม่ ตรวจสอบเตียงเตาในห้องว่ายังร้อนดีหรือไม่ เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงออกมา
ใต้ต้นหยาง [1] สองต้นตรงลานบ้าน เฝิงเจี่ยนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เส้นผมสีดำยาวที่ไม่ได้ถูกรวบขึ้นให้เรียบร้อยถูกสายลมแสนซุกซนพัดขึ้นมา
ในชาติก่อน ลู่เสี่ยวหมี่เกลียดผู้ชายผมยาว คิดอย่างดื้อดึงว่าผมยาวคือลักษณะของผู้หญิง ผู้ชายไว้ผมยาวดูแล้วไม่สดใส
แต่ทว่ายามนี้ ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลงมาบนร่างของชายตรงหน้า เส้นผมสีดำยาวนั้นไม่เพียงไม่ทำลายรูปโฉมของเขา กลับเพิ่มความเย้ายวนขึ้นสามส่วน ช่างดึงดูดคนเหลือเกิน...
“พี่...พี่เฝิงเจี่ยน” เสี่ยวหมี่พยายามควบคุมหัวใจตนเองให้เต้นเป็ปกติ เรียกเสียงเบา “ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว เหตุใดท่านยังไม่นอนอีก”
เฝิงเจี่ยนไม่ตอบอะไร กวักมือเรียก เมื่อเสี่ยวหมี่เดินเข้าไปใกล้เขาก็กวาดตามองนาง สังเกตว่าบนใบหน้าของนางมีร่องรอยน้ำตาหรือไม่ แล้วถึงกล่าวเสียงเรียบว่า
“หากว่าเ้าไม่้า ใต้หล้านี้ไม่มีใครมาแย่งของของเ้าได้”
“หา?” ลู่เสี่ยวหมี่อึ้งไป จากนั้นก็ราวกับถูกอะไรกระแทกหัวใจเข้าอย่างจัง นางรู้สึกแสบจมูก
ถึงแม้นางจะมีพี่ชายสามคนที่เชื่อฟังนางเสมอ ไม่เคยแตกแถว ส่วนบิดาลู่ก็ถึงขั้นปล่อยให้บุตรสาวเป็คนจัดการงานในบ้านแต่เพียงผู้เดียว นางได้รับอิสระอย่างที่สตรีในยุคนี้ต้องอิจฉา
แต่ไม่มีใครคอยช่วยปกป้องสกุลลู่กับนาง ช่างเป็เื่น่าหวาดกลัวนัก
สำหรับการปลูกผักครั้งนี้ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปอย่างมาก จะมากน้อยก็ยังรู้สึกเป็กังวล
ยามนี้ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนที่้า บิดานางก็คิดแต่จะให้แจกจ่ายส่งมอบให้ผู้อื่น ไม่คิดถึงความลำบากของนาง ถึงแม้จะเป็เื่ที่นางคิดไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
ซึ่งเป็สิ่งที่ไม่มีใครมองออกเลย แต่ชายตรงหน้าผู้นี้ ผู้ที่แท้จริงแล้วก็เป็แค่คนแปลกหน้า กลับเห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของนาง ทั้งยังกล่าวกับนางอย่างแน่วแน่ว่าขอเพียงนางไม่อยากทำ ก็ไม่จำเป็ต้องทำ
เชิงอรรถ
[1] ต้นหยาง(杨树)ต้นพอปลาร์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้