ฮวาเหยียนใช้น้ำเสียงต่อรองในการเอ่ยถาม
มู่เฉิงอินไม่ใช่ผู้ที่ชอบบังคับฝืนใจผู้อื่น นางรู้ว่าน้องหญิงเหยียนที่อยู่ข้างหน้านางในตอนนี้กำลังประสบปัญหาเป็แน่ ดังนั้นจึงไม่บอกตัวตนและชื่อของนาง มู่เฉิงอินจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ "เช่นนั้นเ้าต้องไปหาข้าที่ตระกูลมู่นะ”
นางเน้นเสียงกดเสียงทีละคำ
"ตกลง"
ฮวาเหยียนพยักหน้า
เมื่อเห็นฮวาเหยียนตอบรับแล้ว มู่เฉิงอินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางแค่รู้สึกว่าตราบใดที่สตรีที่อยู่ข้างหน้านางตอนนี้ตอบรับคำสัญญาที่จะมาหานาง นางก็จะไม่มีวันผิดสัญญา
ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็รีบหยิบบัตรทองตัดดำตามสัญญาณของหลงจู้หออู๋ิแล้วยื่นส่งให้มู่เฉิงอิน "แม่นางมู่ หออู๋ิยินดีต้อนรับท่านทุกเมื่อ"
บัตรทองตัดดำเป็สัญลักษณ์สถานะของลูกค้ากิตติมศักดิ์ของหออู๋ิ
หลงจู้แห่งหออู๋ิไม่ได้กล่าวส่งเดชไปเช่นนั้นเอง
ที่แท้แล้วมู่เฉิงอินก็ได้รับบัตรทองคำตัดดำจากหออู๋ิจริงๆ
มู่เฉิงอินรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย นางมองไปที่ฮวาเหยียนโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยักหน้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะส่งสัญญาณให้สาวใช้หลิงหลงที่อยู่ข้างหลังรับบัตรไป
ในเวลานี้เองที่สายตาอิจฉาริษยาของทุกคนกำลังจะปะทุออกมา
บัตรทองตัดดำ... ช่างเป็ที่น่าปรารถนายิ่งนัก
อีกทั้ง…
ปรารถนาจะผูกไมตรีกับสตรีในหมวกงอบด้วย
“คุณหนู สีของท้องฟ้าดึกมากแล้วจริงๆ นายท่านและฮูหยินคงเป็ห่วงแย่แล้ว”
สาวใช้หลิงหลงมองดูท้องฟ้าด้านนอกและอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเบาเพื่อเตือนมู่เฉิงอิน หญิงสาวยังคงไม่อยากจากไป ทำท่ากระยึกกระยักรีรอ นางแค่้าใช้เวลากับฮวาเหยียนให้มากขึ้นอีกนิด ฮวาเหยียนเป็คนอารมณ์ขัน ต้องให้นางรับประกันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะไปหาที่จวนตระกูลมู่ในอีกสองสามวัน มู่เฉิงอินถึงยอมพยักหน้าและก้าวเท้าเล็กๆ เดินออกจากหออู๋ิไปในที่สุด
...
ฮวาเหยียนเดินตามชายชุดแดงไปที่ชั้นสอง
ที่นี่ยิ่งเป็เสมือนโลกอีกใบหนึ่ง
โครงสร้างอาคารบนชั้นสองยิ่งมีบรรยากาศที่หนักอึ้งมากกว่าชั้นแรก ชั้นนี้มีพื้นที่กว้างขวาง มีภาพวาดภูมิทัศน์ที่มีชื่อเสียงบนผนัง ผนังแต่ละฝั่งติดตั้งตาข่ายโปร่งแสงและในนั้นปรากฏสมบัติล้ำค่ามากมายจัดแสดงอยู่ ฮวาเหยียนมองจนน้ำลายแทบจะหกอยู่รอมร่อ
ดีเยี่ยม สมบัติล้ำค่าเยอะยิ่งนัก...
มูลค่ามหาศาลยิ่ง
บนชั้นสองนี้มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้เนื้อแข็ง กาน้ำชาลายประณีตวางอยู่บนโต๊ะซึ่งใช้สำหรับแขกที่มาพักโดยเฉพาะ
ทันทีที่นางก้าวขึ้นสู่ชั้นสองทั้งร่างก็พลันรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลาย
“แม่นาง เชิญนั่งลงก่อน”
หลงจู้หออู๋ิดึงเก้าอี้ออกมาแล้วเชิญให้ฮวาเหยียนนั่งลง จากนั้นก็รินชาให้นาง
กาน้ำชาทำจากวัสดุชั้นหนึ่งกระจกเจ็ดสี แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง โปร่งใสและแวววาว ถ้วยน้ำชาทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน เมื่อเจอน้ำร้อน จะเกิดการหักเหของแสง สีทั้งเจ็ดจะส่องสว่างเปล่งประกาย หากมองใกล้ๆ จะพบว่าเศษสีเขียวของใบชา แยกชั้นไม่จมลงไปในน้ำ สีมรกตสดใส กลิ่นหอมหวานราวกับกล้วยไม้หอม กลมกล่อมและสดชื่น
"เชิญ"
หลงจู้หออู๋ิเปิดปากเชิญ ดวงตาของเขาเป็ประกาย
ฮวาเหยียนยกถ้วยชาขึ้น ก่อนจะยกผ้าคลุมหน้า เอียงแก้วจรดริมฝีปากแล้วจิบเบาๆ "ชาดี"
“ชานี้เรียกว่าชาอวิ๋นอู เก็บจากหลู่ซานเพื่อมอบเป็ของบรรณาการฮ่องเต้”
หลงจู้หออู๋ิกล่าว
วินาทีถัดมา ฮวาเหยียนก็เงยหน้าขึ้นและดื่มชาในถ้วยไปอีกอึกหนึ่ง “ชาย่อมเป็ชาที่ดี แต่ข้าไม่ใช่คนหรูหราฟุ่มเฟือย ข้าโปรดปรานการดื่มชาอึกใหญ่และกินเนื้อชิ้นโต ให้ข้าได้ดื่มชาดีๆ เช่นนี้ ถือว่าสิ้นเปลืองแล้ว”
ฮวาเหยียนตอบ
ทว่ากลับเห็นดวงตาหงส์ของหลงจู้หออู๋ิสว่างวาบ เขารินชาใส่แก้วให้ตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้นดื่มในอึกเดียว ภายใต้ความเกียจคร้านมีความกล้าหาญถึงสามส่วน
“สุขใจยิ่ง [1] ”
เขากล่าว
หลังจากนั้นก็เช็ดปากอย่างขอไปที "ชาก็เข้าปากไปแล้ว เหตุใดยังต้องเสียเวลากล่าวถึงมันอีก บางคนชอบชื่นชม บางคนชอบดื่ม แล้วแต่ใจจะปรารถนา ข้าโชคดีที่ได้พบกับแม่นางในวันนี้ นับได้ว่าเป็โชคชะตาเช่นกัน ทุกสิ่งย่อมขึ้นอยู่กับข้า จีอู๋ซวง”
ชาหนึ่งถ้วย นามหนึ่งนาม
ในที่สุดดวงตาที่เลื่อนลอย [2] ของจีอู๋ซวงก็มองตรงไปที่ฮวาเหยียน เขารู้สึกเพียงว่าสตรีนางนี้มองแล้วสบายตายิ่งนัก
เขาเติบใหญ่มาจนถึงตอนนี้ ดื่มชาดีๆ มามากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีใครยินยอมจะดื่มน้ำชามากมายไปพร้อมกับเขา
ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ได้พบกับคนผู้นั้นในวันนี้ ทั้งยังเป็เพียงแค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง
ใน่เวลานั้นเองที่จีอู๋ซวงรู้สึกราวกับว่าเขาได้พบกับสหายสนิทที่รู้ใจ
ดวงตาหงส์ของเขาที่มองไปยังฮวาเหยียนทอประกายสว่างมากขึ้น
ฮวาเหยียนรู้ว่านามที่ชายตรงหน้าเอ่ยคือนามที่แท้จริงของเขา
หลงจู้แห่งหออู๋ิมีนามว่าจีอู๋ซวง
นางพยักหน้าแสดงออกว่านางรับรู้แล้ว การกระทำที่สงบนิ่งนั้นทำให้จีอู๋ซวงรู้สึกหดหู่ใจอยู่ชั่วครู่ เขาสงสัยว่าแม่นางน้อยคนนี้สงบสติอารมณ์ได้อย่างไรเมื่อรู้จักนามที่แท้จริงของหลงจู้หออู๋ิ ทั้งต้าโจวมีคนที่ทราบนามของเขาไม่เกินสิบคนด้วยซ้ำ
แม่นางน้อยคนนี้...
เห็นแค่ฮวาเหยียนเงยศีรษะขึ้น นางกล่าวตอบแลกเปลี่ยนอย่างสุภาพว่า "ฮวาเหยียน"
ไม่มีการประจบ เยินยอ สอพลอ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยยิ่งนัก
จีอู๋ซวงพบว่าแม่นางน้อยที่อยู่ข้างหน้าของเขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะอยากสานสัมพันธ์ใดๆ กับเขาทั้งสิ้น เขาลูบจมูก ปรับอารมณ์เล็กน้อยและกลับไปมีบรรยากาศที่เกียจคร้านของเขาต่อ สุดท้ายก็กล่าวทักทายว่า "ที่แท้แล้วก็คือแม่นางฮวา..."
ฮวาเหยียน "...! "
แม่นางฮวา?
บ้าเอ๊ย ทำไมชื่อนี้มันแปลกพิกล
“หลงจู้จี เรียกข้าว่าแม่นางเหยียนเถิด”
ฮวาเหยียนกล่าว
จีอู๋ซวงเลิกคิ้ว แม่นางน้อยทราบนามของเขา แต่นางก็ยังเรียกเขาว่าหลงจู้หออู๋ิ นั่นย่อมหมายความว่านางไม่้าสนิทกับเขามากเกินไป นางเพียง้ารักษาความสัมพันธ์ระหว่างหลงจู้กับแขก
แม่นางคนนี้ มีหลักการแน่วแน่ยิ่งนัก
ดังนั้นไม่จำเป็ต้องพูดพร่ำทำเพลง มุ่งตรงเข้าเื่การเจรจาธุรกิจ
“แม่นางฮวาเหยียน เ้ามีผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดใช่หรือไม่? ”
ฮวาเหยียนพยักหน้า
“เช่นนั้นเ้าสามารถกลับจวนไปเพื่อนำมันมาได้หรือไม่ หออู๋ิยินดีจะให้ราคาที่น่าพอใจอย่างแน่นอน”
ดวงตาหงส์ของจีอู๋ซวงเปล่งประกายแวววาว
"เท่าไหร่? "
ฮวาเหยียนถามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ราคาของผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดย่อมขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์และขนาดของมัน แต่ข้าให้สัญญาต่อเ้า ไม่ว่ามันจะมีขนาดเท่าไหร่ เ้าจะได้ราคาเริ่มต้นที่สามแสนตำลึง”
เขากล่าว
เฮือก
ฮวาหยานค่อยๆ สูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด เงินจำนวนสามแสนตำลึงเกินความคาดหมายของนาง ราคาที่หลงจู้หออู๋ิเสนอมาไม่ถือว่าต่ำจนเกินไป หน้าอกของนางเต้นตึกตัก นางตื่นเต้นเล็กน้อย ที่แท้แล้วหลงจู้หออู๋ิช่างร่ำรวยจริงๆ ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเลยแม้แต่นิด
เมื่อเห็นว่าฮวาเหยียนไม่ได้พูดตอบเป็เวลานาน จีอู๋ซวงก็เหลือบมองนาง "ทำไมรึ? แม่นางฮวาเหยียนไม่พอใจกับราคาที่เสนอไปอย่างนั้นหรือ? "
เขาถาม
ผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดนี้จะมีค่าก็ต่อเมื่ออยู่ในมือของคนปรุงยาเท่านั้น หากอยู่ในมือของคนธรรมดา มันก็เป็แค่ผลิญญาอัคคีทั่วไปเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากท่าทางของจีอู๋ซวงก็เหมือนว่าเขามีความจำเป็เร่งด่วนจริงๆ
ในใจของฮวาเหยียนรู้สึกพึงพอใจเป็อย่างยิ่งแต่นางไม่ได้แสดงออกบนใบหน้า หญิงสาวเคาะนิ้วบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะได้ยินนางกล่าวว่า “ราคานี้ดียิ่ง แต่ข้าไม่ได้มีความจำเป็ที่จะต้องมีเงินมากมายขนาดนั้น ที่จริงแล้วเมื่อสักครู่ข้าก็เพิ่งได้รับเงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงมา และข้าก็ไม่สามารถใช้จ่ายให้หมดภายในระยะเวลาไม่กี่ปี"
จีอู๋ซวง "...! "
เ้าแน่ใจหรือ?
แม่นางผู้นี้ ไม่ใช่เ้าหรอกหรือที่ถามข้าว่าผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดนี้มีราคาเท่าไหร่?
ตอนนี้เ้ากลับบอกข้าว่ามีเงินไม่ขาดมือ?
จีอู๋ซวงราวกับถูกปิดปาก กล่าวอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิด
“แต่มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้าที่จะเก็บผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดนี้ไว้ มิสู้ขายมันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าถูกชะตากับท่าน หลงจู้แห่งหออู๋ิ”
จีอู๋ซวงยังไม่ทันจะหายใจออก ฮวาเหยียนก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
อารมณ์ในขณะนั้นเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง
เขากระแอมในลำคอ รินน้ำชาให้เสี่ยวไป๋ จากนั้นก็มองไปที่ฮวาเหยียนแล้วกล่าวต่อว่า "ในเมื่อแม่นางมีอารมณ์ที่ปลอดโปร่งสดชื่น ข้าก็จะไม่พูดจาวกวนอ้อมไปอ้อมมา [3] แล้ว แม่นางสามารถเก็บหญ้าิญญาลึกลับได้เป็ร้อยต้น อีกทั้งยังมีผลไม้ิญญาโลหิตสีชาด ที่แท้แล้วคงมีเื่บังเอิญอันใดเป็แน่
หออู๋ิของข้าชื่นชอบสมบัติของ์และใต้หล้าเป็ที่สุด ไม่ว่าจะเป็สิ่งที่บินบนท้องนภาหรือเติบโตบนพื้นดินพื้นหญ้า ข้าในนามของหออู๋ิก็สามารถให้ในราคาที่สูงมากได้
หากแม่นางตั้งใจจะขายผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดนี้ให้แก่ข้า ข้ายินดีจ่ายด้วยเงินสามแสนห้าหมื่นตำลึง”
ผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดราคาสามแสนห้าหมื่นตำลึง ตอนนี้ราคาของมันเพิ่มขึ้นจากตอนแรกถึงห้าหมื่นตำลึง
ฮวาเหยียนหลับตาลง นางทราบดีว่าจีอู๋ซวงได้เสนอราคาที่สูงที่สุดแล้ว
นางเม้มปากก่อนจะกล่าวตอบว่า “ตกลง! ”
เชิงอรรถ
[1] 痛快 /tòngkuài/ 【形容词】高兴;舒畅 「心里非常 痛快」 หมายถึง มีความสุขสนุกสุดๆ สะใจ โคตรได้ใจ
[2] 漫不经心" 漫不经心 【mànbù-jīngxīn】 คำว่า 漫不经心 จะเป็การพูดถึง การทำอะไรซักอย่าง โดยทำแบบส่งเดช ทำแบบลวกๆ หรือทำแบบไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็การพูดก็จะแปลว่าพูดแบบลอยๆ
[3] 拐弯抹角 หมายถึง เดินไปตามถนนที่คดเคี้ยว การพูดเชิงเปรียบเทียบ การเขียนบทความและทางอ้อม ไม่ตรงไปตรงมา หรือคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่าชักแม่น้ำทั้งห้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้