จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “เมิ่งเอ๋อร์ ชาตินี้ข้าผิดต่อเ้านัก”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า ก่อนจะหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้อง ทันทีที่ปิดประตู นางก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เหยาหงที่เห็นก็เดินเข้ามาถามด้วยความเป็ห่วง “อนุฉู่ ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ หรือท่านได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมา”
ฉู่มิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า ถอดเสื้อคลุมออกแล้วล้มตัวนอนบนเตียง เหยาหงเห็นก็ถอนหายใจออกมา นางเป่าเทียนทั้งหมดในห้องให้ดับลงอย่างเงียบๆ แล้วเดินออกไป
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์รู้ดีว่า แม้นางจะเป็หญิงสาวในหอนางโลม ซึ่งมีหลายคนถือสากับฐานะนี้ของนาง แต่ที่นางไม่อยากเป็ที่สุดคือการเป็มือที่สาม กล่าวได้ว่า ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มีความคิดที่ดีกว่าสตรีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีเสียอีก
นางร้องไห้จนผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกคราก็พบว่าตาบวมอย่างกับลูกเหอเถา[1] ก็ไม่ปาน
อาการไข้เพราะต้องลมหนาวของหนิงมู่ฉือหายเป็ปกติภายในไม่กี่วันอย่างน่าแปลก เมื่อนางลองขยับแขนขา พบว่าสบายตัวดีแล้ว นางจึงเกิดความคิดอยากจะทำอาหารให้ท่านอ๋องและจ้าวซีเหอขึ้นมา
นางยกอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วไปให้ท่านอ๋อง มองท่านอ๋องทานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็ลำบากใจ “ท่านอ๋องเ้าคะ ฉือเอ๋อร์มีเื่อยากจะขอร้องท่านเ้าค่ะ”
ท่านอ๋องหันมามอง “นางหนูหนิง มีเื่ใดเ้าก็พูดมาเถิด”
นางมีสีหน้าลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “คือว่า ท่านอ๋อง ฉือเอ๋อร์อยากกลับไปทำหน้าที่สอนขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่ในวังเ้าค่ะ”
เอ่ยจบ จ้าวซีเหอเกือบจะพ่นข้าวในปากออกมา ท่านอ๋องถลึงตาใส่บุตรชายอย่างรังเกียจ ก่อนจะหันไปพูดอย่างลำบากใจกับหนิงมู่ฉือต่อ “ฉือเอ๋อร์ เ้าพักผ่อน รักษาตัวให้แข็งแรงกว่านี้ก่อนดีหรือไม่”
หนิงมู่ฉือส่ายหน้า ก่อนจะก้มหน้าลง เอ่ยตอบออกมาว่า “ฉือเอ๋อร์รู้ดีว่าท่านอ๋องเป็ห่วงข้า แต่ปัญหาบางอย่างข้าต้องเป็คนเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเอง ฉือเอ๋อร์อยากจะสอนขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่เ่าั้ให้เป็ไวๆ หลังจากนั้นฉือเอ๋อร์จะได้สบายสักทีเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ย่อมได้” ท่านอ๋องรู้ดีว่าหนิงมู่ฉืออยากแอบไปหาข้อมูลเื่ที่ครอบครัวของนางถูกฆ่าล้างสกุล และที่อยากกลับเข้าไปในวังก็เพราะ้าเข้าไปสืบหาเบาะแส
หนิงมู่ฉือยิ้มก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัว เมื่อเข้าไปข้างใน นางเห็นหลินมู่มีรอยแผลที่ใบหน้าเพิ่มมาก็ถอนหายใจออกมา นางนำน้ำใส่ในถัง ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำจนเปียก บิดเล็กน้อยพอหมาด ก่อนจะนำไปเช็ดที่รอยแผลให้
ใบหน้าหลินมู่ตอนนี้แลดูดุดัน น่ากลัวเป็ที่สุด
นางมองอย่างปวดใจขณะกล่าว “ข้าก็คิดอยู่ว่าหลายวันมานี้เหตุใดถึงไม่เห็นเ้า ที่แท้ก็… เฮ้อ เหตุใดเ้าถึงไม่ระวังตัวนะ!”
หลินมู่เอ่ยตอบ “เป็เื่ที่ข้าน้อยสมควรทำขอรับ”
กล่าวจบหลินมู่สูดปากออกมาด้วยความเจ็บ ทำให้หนิงมู่ฉือถึงกับชะงัก “ข้าทำให้เ้าเจ็บหรือ”
หลินมู่ยิ้มมุมปาก มองหนิงมู่ฉือจัดการแผลให้ตัวเองอย่างเงียบๆ
“ข้ากับเ้าเติบโตมาด้วยกันั้แ่เด็ก มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ว่าเ้ามีนิสัยเช่นไร ั้แ่เ้าตามข้าเข้าไปในวัง ข้าก็ไม่เห็นหน้าเ้าอีกเลย จึงรู้ว่าเ้าน่าจะแอบไปหาข่าวบางอย่าง” หนิงมู่ฉือเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
สีหน้าหลินมู่เรียบเฉย รอจนหนิงมู่ฉือจัดการแผลเสร็จเรียบร้อย ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณหนู ท่านเข้าวังครานี้ต้องระวังตัวให้มากนะขอรับ ข้าลอบเข้าไปในตำหนักของพระสนมซูเฟย พบว่าภายในมีข่าวเกี่ยวกับท่านแม่ทัพไม่น้อย”
ข่าวนี้ทำให้นางทั้งใและสงสัย เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ภายในตำหนักของพระสนมซูเฟย! จะเป็ไปได้อย่างไร ท่านพ่อกับพระสนมซูเฟยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย!”
“ข้าน้อยคิดว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับบิดาของพระสนมซูเฟย อัครมหาเสนาบดีเฉินอวี้มากกว่าขอรับ เพราะท่านแม่ทัพเคยล่วงเกินท่านอัครมหาเสนาบดีมาก่อน” แววตาหลินมู่ฉายแววลึกล้ำยากจะคาดเดา
หนิงมู่ฉือได้ฟังก็กำหมัดแน่น หากแต่ไม่ได้กล่าวอะไรมาก “ได้ ต่อไปข้าจะระวังตัว”
นางเบนสายตาไปยังท้องฟ้าด้านนอก ก่อนจะร้องอุทานในใจว่าแย่แล้ว จากนั้นรีบวิ่งออกไปด้านนอกตำหนัก ขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ทันทีที่ขึ้นมาบนรถม้าก็แลเห็นจ้าวซีเหอมีสีหน้าไม่สบอารมณ์นั่งอยู่ นางเอ่ยทักเขาอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะทรุดนั่งลงด้านข้าง เพราะเขาเอาแต่ทำหน้าอึมครึม ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
รถม้าวิ่งมาถึงหน้าประตูสีแดง นางเหลือบมองเขาที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา
นางยกมือคำนับเขาด้วยสีหน้าเ็า จ้าวซีเหอเห็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ย “ระวังตัวด้วย”
นางพยักหน้า หลังลงจากรถม้าก็เดินตรงไปทางห้องเครื่องอย่างเร่งรีบ ระหว่างที่เดินไปตามทางที่นางคุ้นเคย จู่ๆ นางรู้สึกว่าทางมันน่ากลัวอย่างไรชอบกล นางจึงเปลี่ยนเป็ออกวิ่งแทน
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะมองเห็นประตูห้องเครื่อง นางรีบวิ่งตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าขันทีพ่อครัวได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาจึงหันมามอง ครั้นเห็นหนิงมู่ฉือจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางหนิง ท่านเป็ไข้หายดีแล้วหรือ”
นางส่งยิ้มให้ขันทีหัวหน้าพ่อครัว พร้อมทั้งยื่นมือออกไปตบไหล่อีกฝ่ายไม่แรงนัก “ข้าหายดีแล้ว ทั้งยังคิดถึงพวกท่านมากด้วย ข้าจะไม่คิดถึงพวกท่านได้อย่างไร!”
ทุกคนหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ขันทีผู้หนึ่งถึงกับกล่าวว่า “แม่นางหนิง ่ที่ท่านไม่มา ผู้คนในวังล้วนทำหน้าเศร้ากันทุกคน แม้แต่ฮ่องเต้ยังทรงส่งคนมาถามหลายครั้งหลายคราว่าท่านมาหรือยัง”
ริมฝีปากนางยกเป็รอยยิ้ม ได้ยินคำชม นางรู้สึกเขินอายยิ่งนัก
“วันนี้ท่านจะสอนพวกเราปรุงอาหารใดหรือ” ขันทีหัวหน้าพ่อครัวถูมือไปมาราวกับหนาวนักหนาขณะเอ่ย ระหว่างที่พูดถึงกับมีควันออกมาจากปากอีกด้วย
นางมองขันทีหัวหน้าพ่อครัวพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะหันไปมองหิมะหนาเตอะบนพื้นด้านนอกห้องครัว จากนั้นจึงหันกลับมาถาม “ท่านหนาวหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้า นางยิ้มพร้อมกับเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะสอนทุกคนทำน้ำแกงซึ่งมีสรรพคุณช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น น้ำแกงนี้มีชื่อที่แสนจะไพเราะว่า น้ำแกงเทาเที่ย”
กล่าวจบทุกคนหัวเราะออกมา “แม่นางหนิง ชื่อน้ำแกงนี้น่าฟังตรงที่ใด เทาเที่ยไม่ใช่ว่าเป็หนึ่งในสัตว์ในตำนานสมัยโบราณหรอกหรือ มันกินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งยังกินไม่เลือก เหตุใดท่านถึงตั้งชื่อน้ำแกงเช่นนี้เล่า”
นางยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบหัวไชเท้าหัวหนึ่งขึ้นมากะน้ำหนักด้วยมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความถือดี “เื่แค่นี้พวกเ้าก็ไม่รู้หรือ ในน้ำแกงเทาเที่ยมีวัตถุดิบครบทุกอย่าง เฉกเช่นเดียวกับเทาเที่ยที่กินได้ทุกอย่าง เมื่อทานเข้าไปแล้ว ร่างกายจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก”
ขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่ทั้งหลายพยักหน้าด้วยสีหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ บางคนถึงขั้นหยิบพู่กันกับกระดาษขึ้นมาจด
นางลุกขึ้นยืน ปรบมือขณะเอ่ยกับทุกคน “ทุกคนฟังข้าให้ดี น้ำแกงเทาเที่ยจะใช้กระดูกวัวและกระดูกหมูมาต้มเพื่อทำเป็น้ำแกง เวลาที่ใช้ในการต้มคือสี่ชั่วยาม เมื่อครบเวลาแล้ว ค่อยใส่ขาหมู เห็ดต่างๆ ผัก และเนื้อที่ปั้นเป็ก้อนซึ่งปรุงรสโดยใช้สูตรลับของข้าลงไป จากนั้นใส่เม็ดยี่หร่าและโป๊ยกั๊กลงไปเพื่อทำให้น้ำแกงมีกลิ่นหอม ในขณะเดียวกันก็ใส่วัตถุดิบสุดท้ายลงไป นั่นก็คือหนังหมู!”
[1] ลูกเหอเถา คือลูกวอลนัท
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้