แม่นมโจวไร้ข้อโต้แย้ง จึงให้คนไปส่งจดหมายให้บุตรชายคนที่สองที่อยู่ที่เคหาสน์ในชนบททันที เรียกเขาให้เตรียมตัวออกเดินทางไปนอกพื้นที่หาท่านรองเฉิงจือซวี่ที่เป็ผู้ว่าการเขตพิเศษ
ได้เป็บ่าวข้างกายของเฉิงจือซวี่ก็ถือว่าเป็หนทางก้าวหน้าอย่างหนึ่ง
ตัวคนไปอยู่ที่หนานอี๋ นายท่านห้าจะตรวจสอบอย่างไรก็ถือว่าเสียแรงเปล่าแล้ว
เื่นี้แม่นมโจวจัดการได้ไม่ดี หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะต้องทำเื่มากน้อยเท่าใดถึงจะสามารถชดเชยได้ จึงรู้สึกหดหู่เป็อย่างยิ่ง
แม่นมโจวไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านห้าเฉิงถึงมาได้รวดเร็วขนาดนั้น กระทั่งสอบถามไปทั่วจึงได้ความว่าผู้ที่ไปแจ้งข่าวรับคำสั่งมาจากคุณชายสามตระกูลอวี๋ บ่าวหนุ่มของร้านเหล้าผู้นั้นโอหังมาก เกือบจะถูกคนบริเวณตรอกหยางหลิ่วจับตัวทุบตีแล้ว… แม่นมโจวนึกอยากร้องไห้โดยไร้น้ำตา คุณชายสามตระกูลอวี๋กับนายน้อยเฉิงกุยสนิทกัน ตัวคนจึงยืนอยู่ฝั่งบ้านรอง ที่ให้บ่าวหนุ่มของร้านเหล้ากลับตัวอำเภอไปแจ้งข่าวก็เพื่อเยาะเย้ยเฉิงชิง!
เรียกว่าประสงค์ดีแต่ทำเื่ร้าย พอบ่าวหนุ่มของร้านเหล้าไปแจ้งข่าว จึงทำให้นายท่านห้าเฉิงไปยังสถานศึกษาอย่างรวดเร็ว
เมื่อโชคชะตาทอดทิ้งมนุษย์เช่นนี้ แม่นมโจวจึงได้แต่โทษตนเองว่าโชคร้ายเสียแล้ว
อวี๋ซานคิดว่าส่งบ่าวหนุ่มที่ร้านเหล้าไปแจ้งข่าวแล้วนายท่านห้าเฉิงจะตรวจสอบไม่พบหรือ?
บุตรบ้านอื่นนายท่านห้าเฉิงคร้านจะช่วยชี้แนะ แต่คุณชายสามตระกูลอวี๋ผู้นี้มายุ่งเื่ในตระกูลเฉิงสองครั้งแล้ว นายท่านห้าเฉิงไม่ใช่พระพุทธรูปที่จะโกรธไม่เป็
นายท่านห้าเฉิงจึงเขียนจดหมายส่งไปยังตัวเมืองทันที หลังจากเ้าเมืองอวี๋อ่านแล้วก็โกรธจัด ส่งเ้าหน้าที่หลายคนไปยังอำเภอหนานอี๋เพื่อหาตัวอวี๋ซาน ให้มัดเขานำตัวกลับมายังตัวเมืองแล้วตีด้วยแผ่นไม้ลงทัณฑ์
อวี๋ซานเป็เด็กซุกซนเล็กน้อย เขามีประสบการณ์ต่อสู้กับบิดาตนอย่างโชกโชน เ้าหน้าที่ยังไม่ทันจะจับตัว ตัวคนก็วิ่งหนีไปแล้ว พวกเขาไม่กล้ามัดคนต่อหน้าผู้คนในสถานศึกษา จึงได้แต่รายงานกลับไปยังตัวเมืองอย่างขุ่นเคือง
เมื่อฮูหยินาุโตระกูลอวี๋ได้ยินเื่นี้ ก็เรียกเ้าเมืองอวี๋มาดุด่าต่อหน้า
“เสี่ยนเกอยังอายุเท่าไรเอง ยากที่จะไม่เล่นซน เ้าอย่าได้ทำลายความกล้าของเขา สั่งสอนเขาดีๆ เสีย!”
เมื่อเ้าเมืองอวี๋นึกไปถึงเนื้อความในจดหมายของนายท่านห้าเฉิง ใบหน้าก็ร้อนผ่าว เอ่ยอย่างไม่เห็นแก่ใบหน้ามารดาชรา “เ้าตัวร้ายนั่นมีความสามารถหลบอยู่ในสถานศึกษาได้ตลอดชีวิต ยามนี้ไม่จัดการเขา หลังจากนี้อยากจะจัดการก็จัดการไม่ได้แล้ว เขาไม่รู้จักประมาณตน ไปวางอำนาจบาตรใหญ่ในเขตของผู้อื่น ไม่จัดการไม่ได้!”
ฮูหยินาุโอวี๋ไม่เห็นด้วย
ยามเฉิงจือหย่วนยังมีชีวิตอยู่ก็เป็แค่นายอำเภอตัวเล็กๆ ขั้นเจ็ด บุตรชายเป็ถึงเ้าเมืองขั้นสี่ จะต้องกลัวแค่นายอำเภอคนหนึ่งเชียวหรือ?
นับประสาอะไรกับเฉิงจือหย่วนได้ตายไปแล้ว อีกทั้งยังตายอย่างน่าอัปยศอีกด้วย
เฉิงชิงเป็บุตรชายของขุนนางต้องโทษ หากไม่ได้แซ่เฉิง ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเข้าศึกษาในสถานศึกษาเดียวกับหลานชายอันเป็ที่รักของนาง!
เ้าเมืองอวี๋ไม่อาจเอ่ยด้วยเหตุผลกับมารดาชราได้ จึงได้ให้ฮูหยินาุโเป็คนตัดสินใจทันที
ครั้งนี้ฮูหยินาุโอวี๋ก็ปกป้องหลานรักไม่ได้ เ้าเมืองอวี๋ส่งข่าวไปบอกว่าจะจัดการบุตรเนรคุณ อวี๋ซานก็เอาแต่หลบอยู่ในสถานศึกษาไม่ยอมออกมา เ้าเมืองอวี๋จึงตัดค่าใช้จ่ายของบุตรชาย
ทั่วทั้งเมืองไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มอบเงินมอบสิ่งของกับอวี๋ซาน อวี๋ซานใช้เงินมือเติบโดยตลอด พอใช้เงินที่ตัวจนหมดก็ย่อมจะกลับบ้านเป็เด็กดีมารับผิดเป็ธรรมดา
อีกด้านหนึ่ง เ้าเมืองอวี๋ไม่เพียงเขียนจดหมายขอโทษต่อนายท่านห้าอวี๋ ยังส่งคนที่ไว้ใจได้ นำของขวัญหนึ่งกองไปที่ตรอกหยางหลิ่วเพื่อบรรเทาความใของนางหลิ่วและขออภัยแทนบุตรชาย
นางหลิ่วไม่กล้ารับสิ่งของจากตระกูลอวี๋ เฉิงชิงจึงออกมารับอย่างมั่นใจ
“ใต้เท้าอวี๋รักและห่วงใยปวงประชา เมืองเซวียนตูมีเ้าเมืองเช่นใต้เท้าอวี๋นับเป็บุญของชาวเมือง!”
คำพูดจริงใจของนางไม่คล้ายจะเป็การประจบ คนที่ตระกูลอวี๋ส่งมาขออภัยหน้าแดงก่ำ เื่ที่นายน้อยบ้านตนทำช่าง… เหตุใดแม้กระทั่งครอบครัวแม่หม้ายบุตรกำพร้าก็ยังรังแกด้วย?
พอคนที่ตระกูลอวี๋ส่งมาจากไปแล้ว เฉิงชิงก็แกะของขวัญพร้อมกับพี่สาวทั้งสาม
บุตรสาวคนที่สามพึมพำ “น้องชาย อย่าแกะเลย ถ้าเกิดว่าผ่านไปไม่กี่วันต้องส่งคืนตระกูลอวี๋ในแบบเดิมเล่า…”
เฉิงชิงหลุดหัวเราะ “พี่สาม คงไม่หรอก นี่ไม่เหมือนกับเงินที่บ้านรองส่งมา เ้าเมืองอวี๋ส่งของขวัญมาขออภัยแทนบุตรชาย หากเราไม่รับ เ้าเมืองอวี๋ก็จะเสียหน้า! อยู่ดีๆ ไยต้องตั้งตนเป็ศัตรูกับใต้เท้าเ้าเมืองด้วยเล่า?”
ความแค้นของนางกับอวี๋ซานเดิมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋
เื่ที่อวี๋ซานบังคับม้าข่มขวัญคนก็ผ่านมาตั้งสองเดือนกว่าแล้ว เ้าเมื่ออวี๋ถึงเพิ่งส่งคนมาขออภัย… เฉิงชิงรู้สึกว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับนายท่านห้าเฉิง
เื่ใส่ร้ายนางว่าทุจริตผ่านมาตั้งหลายวัน ทางบ้านรองซึ่งเป็บ้านเดิมก็ไม่ได้เอ่ยอะไรจนถึงวันนี้ เฉิงชิงไม่ได้หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย นางมองออกถึงความจริงใจของนายท่านห้าเฉิงในการแก้ไขเื่ราวครั้งนี้
ในบรรดาของขวัญที่เ้าเมืองอวี๋ส่งมาให้ มีสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[1] คุณภาพดี บนจานฝนหมึกสลักคำว่า ‘เด็ดดอกหอมหมื่นลี้บนวังจันทรา[2]’ นางหลิ่วรู้สึกว่าความหมายแฝงดียิ่งนัก จึงให้เฉิงชิงนำไปใช้ในสถานศึกษา
“ยามที่ท่านพ่อของเ้ายังมีชีวิตอยู่ มักจะกล่าวว่าการตามใจบุตรเกินไปจะเป็การฆ่าบุตร ความประพฤติของคุณชายสามตระกูลอวี๋เป็ที่รู้กันไปทั่ว แต่ใต้เท้าอวี๋กลับดูแลเขาไม่ได้ เฮ้อ!”
นางหลิ่วรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเ้าเมืองอวี๋ที่ขออภัยแทนบุตรชายผ่านของขวัญ ถึงอย่างไรก็เป็พ่อแม่คนเช่นเดียวกัน นางอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความหดหู่
เฉิงชิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจ
นางชมเ้าเมืองอวี๋เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็คนใจกว้าง แต่ไม่ได้ชมว่าฝ่ายตรงข้ามสอนบุตรชายเป็
ในเมื่อการรับราชการก็ถือเป็อาชีพหนึ่ง การประสบความสำเร็จในอาชีพไม่ได้แสดงถึงความสามารถเลี้ยงดูบุตรของตนเองได้ดี พวกทายาทข้าราชการและทายาทเศรษฐีที่ไม่ได้ความยิ่งกว่าอวี๋ซาน นางเองก็เห็นมาเยอะแล้ว!
หลังจากตระกูลอวี๋ส่งคนมาขออภัยได้ไม่ถึงสองวัน ก็ถึงวันที่เฉิงชิงเข้าร่วมการสอบเข้าของสถานศึกษาใหม่
ครั้งนี้ นายท่านห้าสั่งบ่าวรับใช้ให้ส่งนางขึ้นเขา ไม่มีผู้ใดโผล่มาก่อเื่วุ่นวายทำให้เฉิงชิงอึดอัดใจอีก สถานศึกษาเปลี่ยนผู้คุมสอบเป็อาจารย์วัยกลางคนท่านหนึ่ง แววตาของอาจารย์ท่านนี้สว่างประหนึ่งคบเพลิง ไม่มีผู้เข้าสอบคนใดที่กล้าพึ่งพาดวง
เฉิงชิงเดินอย่างผ่อนคลายยามออกจากสนามสอบ นางรู้สึกว่าการสอบครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย
เมื่อสอบเสร็จแล้ว ผู้เข้าสอบหลายคนก็จับกลุ่มสามถึงห้าคนแลกเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามกัน… ไม่มีใครสนใจเฉิงชิง รวมถึงผู้เข้าสอบที่เป็บุตรหลานตระกูลเฉิง ทั้งหมดต่างหลบเลี่ยงเฉิงชิงราวกับหลบงูเลี่ยงแมงป่อง
ราวกับว่านางเหยียบมูลสุนัขเหม็นเน่า พอเข้าใกล้หน่อยก็จะได้กลิ่นโชยมา
บางคนชี้ไม้ชี้มือมายังเฉิงชิง หาว่านางหนังหน้าหนา เฉิงชิงจึงทำเป็ไม่ได้ยิน
คงไม่ใช่ว่าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวหรอกนะ?
หากนางเผชิญหน้าเื่พวกนี้ไม่ไหว หลังจากนี้เมื่อพบเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่าจะทำอย่างไร
โดดเดี่ยวก็โดดเดี่ยวสิ เฉิงชิงชมตัวเองว่าจิตใจเข้มแข็ง ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ผู้อื่นไม่สนใจนาง นางก็ไม่ยินดีไปตีสนิทกับผู้อื่น ทอดน่องเดินไปตามระเบียงทางเดินเพียงลำพัง ผ่านไปเจ็ดแปดโค้งก็มาถึงห้องเรียนของสถานศึกษา
ประตูทางเขาลานมีตัวอักษร ‘ปิ่ง’ เขียนอยู่ตัวใหญ่ ที่นี่ก็คือห้องเรียนปิ่งนั่นเอง
ศิษย์ของสถานศึกษากลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ภายนอกห้องเรียน แต่ละคนส่ายหน้าติดต่อกันด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
เมื่อเฉิงชิงยื่นหัวออกไปดู ภายในห้องมีการเรียนการสอนอยู่ ผู้ที่สอนก็คือเมิ่งไหวจิ่น!
เมิ่งไหวจิ่นถึงขนาดสอนศิษย์ห้องปิ่ง… คนผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
เฉิงชิงกลับไม่รีบลงเขาแล้ว ไปร่วมฟังกับศิษย์ที่นั่งเรียนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
ห้องปิ่งคือกลุ่มที่สอบผ่านระดับถงซื่อแต่ยังไม่ผ่านซิ่วไฉ ระดับจึงสูงกว่านาง แต่เมิ่งไหวจิ่นสอนเนื้อหาส่วนที่ยากให้กลายเป็ง่าย ขนาดเฉิงชิงเองยังฟังเข้าใจ
ตนเองเข้าใจกับทำให้ผู้อื่นเข้าใจถือเป็คนละชั้นกัน เมิ่งไหวจิ่นมีความเข้าใจในความรู้เกี่ยวกับการสอบเข้ารับราชการอยู่ในระดับสูง
เฉิงชิงค่อยๆ กำจัดความคิดฟุ้งซ่าน ฟังอย่างดื่มด่ำ พลันเสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังขึ้น เฉิงชิงราวกับตื่นขึ้นจากฝัน
ภายในห้องถอนหายใจอย่างเสียดาย!
เฉิงชิงเอ่ยถามเหล่าศิษย์พี่ที่นั่งเรียนอยู่ด้านนอกห้องเรียนว่า “ศิษย์พี่เมิ่งมาสอนทุกท่านบ่อยหรือ?”
[1] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ คือเครื่องเขียนที่ต้องมีติดห้องหนังสือไว้ ประกอบด้วยกระดาษ หมึก พู่กัน และจานฝนหมึก
[2] เด็ดดอกหอมหมื่นลี้บนวังจันทรา หมายถึงสอบผ่านการสอบเข้ารับราชการ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้