มู่จื่อหลิงคิดอย่างเดือดดาล อย่าได้ให้นางรู้ว่าเ้าน่ารังเกียจคนใดมายั่วโทสะฉีอ๋องผู้เ็าหยิ่งทระนงของพวกข้าเชียว มิเช่นนั้นนางจะต้องป้อนน้ำยามี่ลู่ ให้ฝูงผึ้งพิษห้อมล้อมปรนนิบัติทุกเมื่อเชื่อวัน
ทว่ายามนี้สิ่งที่นางทำได้มีเพียงแค่หลั่งน้ำตานองหน้าท่ามกลางสายลมอย่างเงียบๆ!
หลงเซี่ยวอวี่ก้มหน้าโน้มตัวเข้ามาใกล้มู่จื่อหลิงอย่างเชื่องช้า
“ตำหนักของเปิ่นหวาง?” หลงเซี่ยวอวี่ถามมู่จื่อหลิงกลับ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงก็มิได้ปรากฏร่องรอยอารมณ์ใดๆ
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่ค่อยๆ เข้ามาใกล้นางก็ย่นคอ ผงกหัวราวกับไก่จิกข้าวสาร
“เพคะๆ ตำหนักของท่านอ๋อง ประสงค์จะมาย่อมมาได้ เป็หม่อมฉันที่ปากมากไปเพคะ”
มู่จื่อหลิงตอนนี้แทบอยากจะเอาผ้าห่มคลุมศีรษะ ตามองไม่เห็นนับว่าสะอาด [1] นางยอมหายใจไม่ออกตายในผ้าห่ม ไม่อยากถูกสายตาลุ่มลึกของหลงเซี่ยวอวี่ที่เรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ทำให้ใจนตาย
หลงเซี่ยวอวี่ยิ่งเรียบนิ่ง มู่จื่อหลิงก็ยิ่งไม่วางใจ หลงเซี่ยวอวี่ได้รับโทสะมาจากข้างนอกเหตุใดมาระบายที่นาง ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ในเมื่อเป็ตำหนักของเปิ่นหวาง เหตุใดบัดนี้จึงได้มีผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ที่นี่?” หลงเซี่ยวอวี่ยังคงเข้าใกล้เรื่อยๆ คำพูดนิ่งสงบราวกับสายน้ำ แต่น้ำเสียงกลับเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง
มู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตะลึงงันโดยพลัน พูดถ้อยคำใดไม่ออก
คนไม่เกี่ยวข้อง? ที่แห่งนี้มีนางกับเขา หลงเซี่ยวอวี่กำลังพูดว่านางคือคนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือ? แต่ว่าคำพูดนี้ฟังแล้วคุ้นเคยนัก คล้ายคลึงกับที่นางพูดกับเล่อเทียนไปก่อนหน้านี้ไม่นาน
ในใจมู่จื่อหลิงก็เจ็บแสบน้อยๆ
ที่แท้นางกล่าวไว้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หลงเซี่ยวอวี่กับนางเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้องกันจริงเสียด้วย บัดนี้หลงเซี่ยวอวี่ก็ยอมรับอย่างเงียบๆ แล้ว นางยังพูดอะไรได้อีก
เดิมคิดว่าตนเองจะเผชิญหน้าได้อย่างนิ่งสงบ เป็นางที่พูดก่อนว่าตนกับหลงเซี่ยวอวี่นั้นเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อได้ยินหลงเซี่ยวอวี่พูดเช่นนี้ด้วยหูของตนเอง ในใจนางก็ไร้รสชาตินัก เหตุใดยามนี้กลับเป็ตนเองที่เสียใจขึ้นมา
คนที่ไม่เกี่ยวข้อง? ใช่สิ นางกับเขาเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
“หืม?” หลงเซี่ยวอวี่ส่งเสียงแ่เบาอีกครั้งพลางเข้ามาใกล้ ใช้แรงกดดันข่มเหงผู้อื่น
ตามองหลงเซี่ยวอวี่ที่เข้ามาใกล้มากแล้ว กลิ่นเหมยอันเย็นเยียบลอยเข้ามาปะทะจมูก มู่จื่อหลิงพลันสั่นสะท้านได้สติกลับมา จึงเลิกผ้าห่มออกถอยหนีไปด้านในของเตียง
“หม่อมฉันทราบแล้ว” มู่จื่อหลิงเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก แสร้งพูดอย่างนิ่งสงบ
หลงเซี่ยวอวี่มองมู่จื่อหลิงที่หนีห่างออกไปไกล มิได้ขยับอีก เพียงจ้องมู่จื่อหลิงด้วยสายตัวที่แฝงความผิดปกติไว้ลึกๆ รอนางกล่าวต่อ
สตรีผู้นี้ทราบอันใดกัน?
มู่จื่อหลิงถูกจ้องจนจิตใจกระวนกระวาย ก็ผงะคิดจะถอยอีก แต่ว่ายามนี้ถอยจนติดผนัง สุดทางจะถอยหนีแล้ว
“หม่อมฉันรู้ว่าตนเองเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้อง อาศัยอยู่ในตำหนักอวี่หานมานานเพียงนี้ หม่อมฉันควรย้ายออกโดยเร็ว” มู่จื่อหลิงรวบรวมความกล้า กดข่มความเสียใจแล้วพูดต่อ
พูดจบมู่จื่อหลิงจึงขยับไปอีกด้านของเตียงอย่างระมัดระวัง ปีนออกไปอย่างช้าๆ
นางจะย้ายมันตอนนี้เลย จวนฉีอ๋องใหญ่เพียงนี้ นางไม่กลัวว่าจะไม่มีที่อยู่
แต่ว่า เื่ราวมิได้ง่ายดังที่นางคิดเอาไว้...
“ทั้งจวนฉีอ๋องเป็ของเปิ่นหวาง เ้าจะย้ายไปไหน?” จู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็ยืดกายขึ้นพูดอย่างเ็าถือดี ทำให้คนตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
เดิมหลงเซี่ยวอวี่คิดว่ามู่จื่อหลิงจะพูดอะไรกับเขา ไม่นึกว่าสตรีผู้นี้จะกินปูนร้อนท้อง ยามนี้เขาแทบอยากจะตีหญิงไม่รู้จักดีชั่วผู้นี้ให้ตายนัก
ได้ยินคำพูดนี้มู่จื่อหลิงก็หยุดการเคลื่อนไหวที่จะลงจากเตียงโดยพลัน คำพูดนี้ของหลงเซี่ยวอวี่หมายความว่าอะไร? ไม่อนุญาตให้นางอยู่จวนฉีอ๋องแล้ว? ความหมายของเขาคือต้องหย่าขาดกับนางหรือ?
เช่นนั้นนางก็เป็อิสระแล้วสิ นี่คือสิ่งที่นางเฝ้าปรารถนามานาน ควรจะยินดีมิใช่หรือ?
แต่ว่าทำไมใจของนางกลับเหมือนถูกสิ่งใดบีบไว้แน่นจนหายใจไม่ออก
มู่จื่อหลิงมิได้เอ่ยวาจาอีก หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก สะบัดอารมณ์กระวนกระวายทิ้งไป ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง โน้มตัวลงสวมรองเท้า หลงเซี่ยวอวี่มองการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิงอยู่ตลอด ราวกับรอให้มู่จื่อหลิงเปิดปาก
ทว่ามู่จื่อหลิงยังคงไม่กล่าวสิ่งใดเช่นเดิม สวมรองเท้าเสร็จก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากประตูไป
“เปิ่นหวางอนุญาตให้เ้าไปแล้ว?” น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่ห้าวเย็นและทรงอำนาจ ในความโดดเดี่ยวอ้างว้างก็แผ่ความน่าเกรงขามที่มิอาจขัดขืน
มู่จื่อหลิงชะงักฝีเท้า มิได้หันศีรษะกลับไป และมิได้ตอบคำถาม เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ มือค่อยๆ ยื่นออกมาจากแขนเสื้อ เตรียมนำสิ่งของออกมา
หลงเซี่ยวอวี่ราวกับรู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังจะทำอะไร จู่ๆ ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าคว้าไหล่ทั้งสองข้างของมู่จื่อหลิงอย่างแรง บังคับให้มู่จื่อหลิงเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาลุ่มลึกเย็นเยียบเฉียบคมเหมือน้ามองมู่จื่อหลิงให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น
มู่จื่อหลิงก้มศีรษะอย่างแน่วแน่ ไม่กล้าประสานสายตากับเขา หลงเซี่ยวอวี่คิดเช่นใดกันแน่
“ฉีอ๋อง ขอถามว่าข้าสามารถไปได้หรือยัง?” มู่จื่อหลิงก้มหน้ากัดฟัน ถามเสียงเบา ั้แ่ต้นจนจบไม่กล้ามองไปทางหลงเซี่ยวอวี่ แม้แต่สรรพนามก็เปลี่ยนไป
หลงเซี่ยวอวี่้าให้นางออกไป เช่นนั้นนางก็มิใช่ฉีหวางเฟยแล้ว เขามิได้เป็อะไรกับนางแล้วทั้งนั้น นางก็ไม่จำเป็ต้องแทนตนเองว่าหม่อมฉันอีก
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกจากมู่จื่อหลิง มือใหญ่แข็งแรงและทรงพลังของหลงเซี่ยวอวี่ก็เหมือนกับ้าบีบไหล่เรียวบางของมู่จื่อหลิงให้แตก
“มู่จื่อหลิง เ้าลืมคำพูดของเปิ่นหวางแล้ว?” หลงเซี่ยวอวี่พูดอีกครั้งอย่างเย็นเยียบ ในเสียงเย็นแฝงไปด้วยแววข่มกลั้นโทสะ
ไหล่ทั้งสองข้างของมู่จื่อหลิงถูกบีบจนเจ็บขึ้นมา นางจึงขมวดคิ้วอย่างทนไม่ไหว ทว่าก็ถูกคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ทำให้สงสัย นางกัดริมฝีปากตนเองแน่นรวบรวมความกล้าหาญ สบสายตากับหลงเซี่ยวอวี่ ดวงตาใสกระจ่างราวกับน้ำมีความไม่เข้าใจปรากฏอยู่
นางลืมคำพูดใดไป?
“เปิ่นหวางจะพูดเป็ครั้งสุดท้าย เ้าเป็ฉีหวางเฟย มิอาจมีธุระของตนเอง ตราบใดที่เ้าเป็ฉีหวางเฟย ก็อย่าได้คิดฝันว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนฉีอ๋อง” คำพูดของหลงเซี่ยวอวี่เ็าวางอำนาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แฝงความน่าเกรงขามที่มิอาจขัดขืนได้ง่ายๆ
มู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ก็สับสนขึ้นมา ตกลงเป็นางที่มั่ว หรือเป็หลงเซี่ยวอวี่ที่มั่วกัน
“ทำไม?” มู่จื่อหลิงโพล่งออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
เหตุใดวันนี้หลงเซี่ยวอวี่ถึงได้พูดแปลกประหลาดนัก นางจำที่หลงเซี่ยวอวี่เคยพูดได้ว่านางมิอาจมีธุระของตนเอง
เื่นี้จนถึงทุกวันนี้นางล้วนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด บัดนี้ทำไมหลงเซี่ยวอวี่จึงพูดขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้เล่า?
แล้วทำไมยามนี้นางถึงคิดฝันว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนฉีอ๋องไม่ได้
เพราะอะไรกันแน่?
หลงเซี่ยวอวี่มิใช่พูดว่านางเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือ? เหตุใดยามนี้จึงกลายเป็นางมิอาจคิดจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนฉีอ๋องได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เพราะเหตุใด?
ั์ตาเย็นราวกับบึงน้ำของหลงเซี่ยวอวี่ทอประกายประหลาด แล้วหายวับไปทันที เขามิได้ตอบคำถามมู่จื่อหลิง ทว่ามือใหญ่ที่จับหัวไหล่มู่จื่อหลิงไว้ปล่อยออกอย่างช้าๆ ก้าวเท้าออกไป
มู่จื่อหลิงยังคงตกอยู่ในภวังค์ เดิมก็คิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่ตอบนาง
ทว่าหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังจะออกไปอยู่รอมร่อ จู่ๆ ก็ส่งเสียงทรงอำนาจมาจากไกลๆ
“เปิ่นหวางไม่อนุญาต”
หลงเซี่ยวอวี่ทิ้งท้ายไว้อย่างเ็าจากนั้นจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
เพราะเขาไม่อนุญาต? แล้วทำไมเขาไม่อนุญาต? เป็เพราะเขาคือฉีอ๋อง?
บัดนี้หลงเซี่ยวอวี่้าให้นางไป หรือ้าให้นางอยู่กันแน่!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสี่ยวหานก็ยกอาหารเข้ามา เห็นสายตามู่จื่อหลิงทอดมองไปไกลอย่างเลื่อนลอย ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนราวกับถูกสกัดจุดเอาไว้
“นายน้อย เหตุใดท่านจึงมายืนอยู่ตรงนี้ ท่านอ๋องกับท่านหมอเล่อเทียนไปแล้วหรือ?” เสี่ยวหานกวาดสายตามองในห้อง เอ่ยถามเสียงเบา
“ไปแล้ว” ิญญามู่จื่อหลิงยังหลุดจากร่าง พูดอย่างอึนๆ
หนึ่งวิ สองวิ สามวิ
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็ได้สติขึ้นมา เบิกตากว้าง จับแขนเสื้อของเสี่ยวหาน ถามอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวหานเ้าเพิ่งพูดว่าอะไรนะ?”
“บ่า...บ่าวพูดว่าเหตุใดนายน้อยจึงมายืนตรงนี้เ้าค่ะ” เสี่ยวหานถูกการกระทำไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของมู่จื่อหลิงทำให้ใไปยกหนึ่ง เกือบจะทำอาหารในมือพลิกคว่ำเสียแล้ว
“ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคหลัง” มู่จื่อหลิงถามอย่างร้อนรน
ทำไมวันนี้นายน้อยถึงได้แปลกประหลาดนัก นางมิได้พูดว่าท่านอ๋องกับท่านหมอเล่อเทียนไปแล้วหรือ? เหตุใดยังถามอยู่
“เมื่อครู่เ้าอยู่ที่ห้องครัว เ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องมา?” มู่จื่อหลิงปล่อยมือที่จับเสี่ยวหาน ถามด้วยความไม่แน่ใจ นางรู้สึกมีตรงใดที่ไม่ค่อยถูกต้อง
“นายน้อย ท่านเป็อะไรไป ท่านอ๋องมาตำหนักอวี่หานั้แ่เช้าตรู่ นั่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ท่านไม่เห็นหรือ?” เสี่ยวหานถามอย่างงงงัน
นำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ ชี้ไปที่ตั่งนุ่มด้านข้าง
มู่จื่อหลิงมองไปตามทางที่เสี่ยวหานชี้ไป
มาั้แ่เช้าตรู่? นั่งอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด?
นางอยู่บนเตียงมองไม่เห็นตำแหน่งนั้นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็นั่งตรงนั้นมาโดยตลอด เช่นนั้นคำพูดของนางกับเล่อเทียน มิใช่ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะ...
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สองมือกำแน่นจนส่งเสียงเอี๊ยด ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันพูดทีละคำ “เล่อ เทียน สม ควร ตาย”
“เสี่ยวหาน เล่อเทียนมาเองจริงๆ หรือ?” มู่จื่อหลิงถามอีก
“ไม่ใช่เ้าค่ะ สามวันก่อนตอนที่นายน้อยนอนไม่ได้สติ เป็ฉีอ๋องให้กุ่ยหยิ่งไปพาเล่อเทียนมาเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเห็นท่าทางอยากฆ่าคนของมู่จื่อหลิงก็เกรงกลัวเล็กน้อย จึงโพล่งออกมา
มิอาจถูกภาพภายนอกสุภาพอ่อนโยนของเล่อเทียนทำให้สับสนได้จริงๆ ในใจกลับเป็จิ้งจอกทรยศ
อะไรคือขอคำชี้แนะวิชาแพทย์ อะไรคือว่างไม่มีอะไรทำจึงเปิดรังนกดู อะไรคือจะไม่นำเื่รังนกไปบอกหลงเซี่ยวอวี่...
ทั้งๆ ที่หลงเซี่ยวอวี่พาเขามา ทั้งๆ ที่เป็หลงเซี่ยวอวี่ให้เขาดูรังนก ทั้งๆ ที่หลงเซี่ยวอวี่รู้เื่รังนก...
เล่อเทียนที่น่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่อยู่ ยังหลอกลวงนางเช่นนั้น ปั่นหัวนางเสียหมุนไปหมด หลอกเสร็จแล้วก็เผ่นหนี
นางก็ว่าแล้วหลงเซี่ยวอวี่จู่ๆ จะมาพูดคำพูดคำจาแปลกประหลาดโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร ที่แท้หลงเซี่ยวอวี่ก็ได้ยินเข้าอย่างจังๆ นี่เอง
ในท้ายที่สุดจึงเป็ความเข้าใจผิด คนที่ยั่วโทสะหลงเซี่ยวอวี่คือนางเอง คนที่นางก่นด่าสาปแช่งมาตลอดคือตนเอง
คำพูดเ่าั้ของหลงเซี่ยวอวี่เพียงแค่ตักเตือนนางอีกรอบตามที่นางพูดกับเล่อเทียนเท่านั้น
เป็นางเองที่ปากไม่มีหูรูด ยามนี้ไม่มีอันใดน่าเสียใจแล้ว ล้วนเป็นางรนหาที่
ต่อมาที่หลงเซี่ยวอวี่พูดเช่นนั้น ก็คือ้าพูดว่านางยังคงเป็ฉีหวางเฟย ไม่ต้องย้ายออกจากจวนฉีอ๋อง ดังนั้นนางก็มิอาจทำอวดฉลาดย้ายไปได้ มิเช่นนั้นคงได้ตายก่อนวัยอันควร
มู่จื่อหลิงยามนี้กำลังอารมณ์เสีย ไม่มีจิตใจจะไปเดาความหมายที่หลงเซี่ยวอวี่พูด เพียงคิดว่าฉีอ๋องต้องรักษาหน้าตาถึงพูดเช่นนี้
แต่ว่า สิ่งของอย่างหนึ่งย่อมมีของมาพิชิตได้ แต่ไหนแต่ไรมามู่จื่อหลิงล้วนอยู่ในฐานะใช้กลอุบายกับผู้อื่น ไหนเลยที่นางจะถูกวางอุบาย
เล่อเทียน หลุมที่เ้าขุดไว้ ให้เปิ่นหวางเฟยมาถม ครั้งหน้าที่ได้พบกัน ถ้าเปิ่นหวางเฟยไม่จัดการเ้าจนสะอาดสะอ้านถึงที่สุด มู่จื่อหลิง สามคำนี้ก็ให้เ้าเขียนกลับหลังได้เลย
อีกด้านหนึ่งในขณะนี้ เล่อเทียนที่หนีออกมาจากตำหนักอวี่หานนานแล้ว กำลังใช้วิชาตัวเบาบินไปอุทยานจื่อจู๋เต็มกำลัง ไปได้ครึ่งทางเขาก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนเกือบจะล่วงไปกลางอากาศ
เขากระชับเสื้อผ้าชั้นเดียวบางๆ บนกาย ทั้งที่อยู่ห่างจากตำหนักอวี่หานมาไกลถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดจู่ๆ ก็หนาวเหน็บขึ้นมา
---------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตามองไม่เห็นนับว่าสะอาด หมายถึง เื่หรือสิ่งที่มองแล้วรบกวนจิตใจ ก็อย่าได้ไปมอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้