ลู่เสี่ยวหมี่ไม่เหมาะจะพูดแทรก จึงแยกตัวออกไปนำคนจำนวนหนึ่งไปช่วยยกหัวหมูออกมา
เหล่าสตรีมีอายุที่ล้อมวงกันอยู่แอบมองจากที่ไกลๆ ก็อดใจเต้นไม่ได้ คิดอยากจะให้ลูกชายบ้านตัวเองแต่งเสี่ยวหมี่เป็ภรรยา
ทว่าสกุลลู่แม้จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขาหมีเหมือนคนอื่นๆ ยามปกติก็ไปมาหาสู่อย่างสนิทสนมกับคนในหมู่บ้านดี แต่ก็นับว่าพอจะมีฐานะ พวกเขามีที่นาเป็ของตนเอง ทั้งยังมีเรือนพักหลังใหญ่ บิดาลู่และบุตรชายคนที่สามยังเป็บัณฑิตมีการศึกษา ไม่แน่วันใดอาจจะสอบรับราชการได้สำเร็จ นำพาชื่อเสียงมาสู่วงตระกูลได้ เกรงว่าคงไม่ยอมยกเสี่ยวหมี่ให้แต่งกับนายพรานเป็แน่
ที่สำคัญก็คือ ไป๋ซื่อเพิ่งจะสิ้นไปเพียงสามเดือน เสี่ยวหมี่จำเป็ต้องไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดเดือน ยังต้องไว้ทุกข์อีกสองปีเต็มๆ
หากหมั้นหมายกันเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่าจะเร็วเกินไป ยังไม่ใช่เวลาที่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สตรีเหล่านี้จึงเปลี่ยนไปสนใจเื่อื่นแทน พากันแยกย้ายไปทำงานพลางสนทนาเื่คนนู้นคนนี้ไปด้วยให้ครื้นเครงกันไปทั้งเรือน
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่รู้ตัวว่าถูกบันทึกชื่อลงในรายนามลูกสะใภ้ในอนาคตของใครหลายคน ตอนนี้นางกำลังลังเลว่าควรจะทำบุญแทนไป๋ซื่อให้มากกว่านี้หรือไม่
ก่อนหน้านี้บ้านนางซื้อข้าวสารและแป้งทำบะหมี่มาตุนไว้ เฉียวม่ายที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้จึงเหมือนว่าจะกินไม่หมดแล้ว
แทนที่จะเก็บไว้จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ทั้งยังต้องคอยกลัวว่าจะโดนความชื้น หรือสัตว์เล็กๆ ตอมไต่ ไม่สู้เอาไปทำแป้งทอดแล้วแจกจ่ายแก่คนจรที่ประตูทิศใต้ ถือเป็การทำบุญไปในตัวด้วย
บรรดาสตรีล้วนใจอ่อน ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าเมืองไปต่างได้เห็นสภาพน่าสงสารของบรรดาคนจร ตอนนี้เมื่อได้ยินเสี่ยวหมี่บอกว่าจะทอดแป้งไปแจกจ่ายก็พากันกุลีกุจอเข้ามา
“ดีเลย เสี่ยวหมี่บริจาคแป้ง พวกเราบริจาคแรง”
“ใช่ ถือว่าได้ทำบุญไปในตัว เป็เื่ดีจริงๆ”
ครั้นเทเฉียวม่ายทั้งหมดออกมา รวมแล้วได้ถึงห้าถาดใหญ่เต็มๆ
เมื่อช่วยกันจัดเครื่องเซ่นไหว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาสตรีทั้งหลายนำโดยท่านป้าหลิวก็เริ่มแบ่งแป้งเตรียมนำไปทอด
งานในครัวไม่นับว่าหนักหนา แต่จุกจิกหลายขั้นตอน
คืนนี้ทุกคนยุ่งกันอยู่จนถึงตีสาม บรรดาสตรีทั้งหลายกลับบ้านไปเหมือนได้งีบเพียงครู่เดียวฟ้าก็สางแล้ว
บุตรชายสามหญิงหนึ่งของสกุลลู่ พูดตามจริงก็นับว่าเยอะแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับไร้ญาติ ไม่มีลูกพี่ลูกน้องทั้งชายหญิงจึงปราศจากคนช่วยงาน
ดีที่ครั้งนี้เป็งานร้อยวัน แค่ตั้งป้ายิญญาในสวนและเผากระดาษไปให้เป็พอ ไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงสุสานสกุลลู่ที่อยู่ห่างไปถึงสามลี้
อันที่จริงแล้ว ตัวลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวท่านปู่ของนางที่ ‘เหยียบศพหมีดำ’ สร้างหมู่บ้านขึ้นมาคนนั้นยิ่งนัก เดิมยังคิดจะถือโอกาสไปกราบไหว้ ตอนหลังถึงได้ยินท่านป้าหลิวบอกว่างานร้อยวันไม่จำเป็ต้องไปที่หลุมฝังศพ นางรู้สึกเสียดายแต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจที่ตนไม่ทำเื่น่าขันลงไปเสียก่อน
เดิมทีเรือนสกุลลู่ก็กว้างใหญ่ เป็เรือนขนาดใหญ่ที่มีห้องหับครบสมบูรณ์ ตัวเรือนหลัก เรือนพักฝั่งตะวันออกตะวันตก เรือนหลัง ห้องครัวใหญ่เล็ก ห้องสุขา ห้องเก็บของ
แต่วันนี้คนทั้งหมู่บ้านเขาหมีล้วนมารวมตัวอยู่ที่นี่ จึงทำให้เรือนหลังนี้ดูเล็กไปถนัดตา
แท่นไม้สนเคลือบสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่กลางโถงใหญ่ ้ามีป้ายิญญาของไป๋ซื่อวางไว้ หน้าป้ายิญญามีกระถางธูปทองเหลืองวางอยู่ ควันจากธูปลอยกำจายออกไปทุกทิศทาง
ถัดลงมาเป็โต๊ะไม้ยาวที่มีของเซ่นไหว้ตั้งเรียงรายอยู่เต็ม
หัวหมูตัวที่เกาเหรินล่ามาก่อนหน้านี้ถูกวางไว้ตรงกลางในตำแหน่งของเซ่นไหว้หลัก ฝั่งซ้ายเป็หัวแพะ ฝั่งขวาเป็ไก่ บนโต๊ะของเซ่นมีหมั่นโถวแต้มจุดสีแดงอีกสองถาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีลูกพลับ และของกินเล่นหลากสีสันที่ซื้อมาจากในเมืองครั้งนั้น รวมถึงผลไม้อีกจำนวนมาก ทั้งผิงกั่ว ส้ม รวมทั้งหมดมีของเซ่นไหว้ถึงสิบกว่าอย่าง
มีเด็กน้อยบางคนที่ซุกซน กัดเล็บยืนน้ำลายไหลแอบอยู่หลังกระโปรงมารดา รอให้สกุลลู่เซ่นไหว้เสร็จอย่างใจจดใจจ่อจะได้รับแจกจ่ายของไหว้
บิดาลู่ที่ไม่ได้เดินออกมาจากห้องมาหลายวัน วันนี้เปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ ด้านในสวมเสื้อตัวในที่พวกลู่เสี่ยวหมี่ทำให้ใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาตื่นแต่เช้ามาสระผมโกนหนวดจึงดูสง่างามกว่ายามปกติถึงสามส่วน แต่หว่างคิ้วกลับแลดูเศร้าหมอง มองแล้วเหมือนจะแตกสลายได้โดยง่าย
ตอนเด็กเสียมารดา เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนเสียภรรยา ยามชราเสียบุตร เป็ความทุกข์สามอย่างที่มนุษย์ยากจะรับไหว
ก่อนหน้านี้บิดาลู่และไป๋ซื่อรักกันแค่ไหน ยามนี้เมื่อภรรยาจากไปก็ยิ่งน่าเศร้าเท่านั้น
บิดาลู่เป็คนปักธูปคนแรก บุตรชายสามคนของสกุลลู่นำน้องสาวเพียงหนึ่งเดียวลู่เสี่ยวหมี่คุกเข่าลงโขกศีรษะ
เสี่ยวหมี่ไม่แอบอู้แม้แต่น้อย นางโขกศีรษะอย่างจริงใจ รูปร่างเล็กบอบบางเช่นนั้นโขกศีรษะลงไปอย่างแรง เพียงไม่นานหน้าผากก็แดงก่ำ
ที่จัดงานร้อยวันของไป๋ซื่ออย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังโขกศีรษะอย่างตั้งใจเพื่อจะแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่เคยให้กำเนิดและเลี้ยงดู วันหน้าต้องช่วยให้บิดาลู่และพี่ชายลู่ทั้งสามได้กินดีอยู่ดี เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปได้ในชาตินี้ รับความโชคดีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่อีกครั้งในร่างนี้
ในใจนางคิดเช่นนี้แต่คนอื่นๆ ไม่รู้ความคิดนาง
พวกท่านป้าหลิวเห็นเช่นนี้ ก็พากันปวดใจไม่น้อย แม่นางน้อยเช่นนี้ หากเป็เด็กสาวบ้านอื่นคงได้รับการทะนุถนอมรักใคร่ดุจสมบัติล้ำค่า ยามนี้นางไม่มีมารดาแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายกับการดูแลบ้านช่องอีก ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ไม่รอให้พิธีกราบไหว้เสร็จสิ้น ป้าหลิวก็ยื่นมือเข้ามาจะช่วยประคองเสี่ยวหมี่
“พื้นหนาวเย็นนัก ตอนที่มารดาเ้ายังอยู่นางรักเ้ามากที่สุด หากนางเห็นสภาพเ้าเช่นนี้ เกรงว่าดวงิญญาคงจะไม่สงบ รีบลุกขึ้นมาแล้วไปอบอุ่นร่างกายด้านในสักพักเถอะ ตรงนี้ยังมีพวกเราอยู่”
ลู่เสี่ยวหมี่ตื่นมายุ่งั้แ่เช้า ยังไม่ทันได้รับประทานอาหารเช้า ยามนี้ยังต้องมาโขกศีรษะอีก จึงรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยอยู่บ้างจริงๆ แต่นางกลับปฏิเสธมือของท่านป้าหลิว
“ท่านป้า สมควรแล้วที่ข้าต้องคุกเข่าต่ออีกหน่อยเ้าค่ะ ท่านอย่าได้กังวล”
บิดาลู่ที่อยู่ด้านหน้าตอนแรกเมื่อได้ยินเสียงด้านหลังสีหน้าก็เ็าทันที แต่เมื่อเห็นว่าบุตรสาวปฏิเสธ แววตาก็เกิดเป็ความซับซ้อนขึ้นมา คล้ายว่าจะตัดพ้อปนสงสาร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากให้บุตรสาวลุกขึ้น...
ท่านป้าหลิวทำอะไรไม่ได้มีแต่ต้องถอยหลังกลับไป ลูกสะใภ้ใหญ่ของนางซาบซึ้งกับข้าวสวยถ้วยนั้นที่เคยได้รับและชุดสำหรับลูกน้อยที่เสี่ยวหมี่มีน้ำใจคิดถึงและทำให้ลูกของนาง จึงอดเอ่ยตัดพ้อต่อความไม่เป็ธรรมที่ลู่เสี่ยวหมี่ได้รับไม่ได้
“ต่างกล่าวกันว่าเมื่อมีแม่เลี้ยงพ่อแท้ๆ ก็กลายเป็พ่อเลี้ยง ท่านลุงลู่ยังไม่ได้แต่งภรรยาใหม่ เหตุใดถึงไม่รักสงสารบุตรสาวบ้างเล่า หากว่าเสี่ยวหมี่ป่วยไปอีก ดูซิว่าเขาจะร้อนใจหรือไม่”
สตรีนางอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย สายตาที่มองบิดาลู่แฝงไว้ด้วยแววตำหนิ แต่ต่อให้พวกนางจะไม่พอใจแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอ่ยปากห้ามลู่เสี่ยวหมี่ได้ เพราะจะอย่างไรเสีย การที่บุตรสาวคุกเข่าโขกศีรษะให้มารดาก็เป็เื่ปกติและสมควรอย่างยิ่ง
ตอนนี้เองประตูเรือนพักฝั่งตะวันออกก็ถูกเปิดออก
เฝิงเจี่ยนมือหนึ่งจับผู้เฒ่าหยาง อีกมือถือไม้เท้า เดินขมวดคิ้วออกมาจากห้อง
เมื่อเขาหยุดยืนได้อย่างมั่นคง ก็ปรายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คนในหมู่บ้านเขาหมีต่างรู้อยู่แล้วว่าสกุลลู่มีแขกสูงศักดิ์พักอยู่ เพราะช่วยเหลือบุตรชายคนที่สามสกุลลู่เอาไว้จนได้รับาเ็ที่ขา จึงพักรักษาตัวอยู่ที่สกุลลู่มาตลอด
เพียงแต่นอกจากท่านป้าหลิวและลุงสามปี้แล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขามาก่อน
วันนี้ ในที่สุดเฝิงเจี่ยนก็ปรากฏกายออกมาให้ทุกคนเห็น เมื่อทุกคนได้เห็นจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดจึงเรียกเขาว่าเป็แขก ‘สูงศักดิ์’
บุรุษตรงหน้ารูปร่างสูงโปร่ง หล่อเหลาสง่างาม ต่อให้ดวงหน้าจะซีดขาวเพราะอาการาเ็ แต่กลับไม่อาจกลบความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างเขาไปได้
ดวงตาดำขลับคู่นั้นเพียงปรายตามองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง ไม่ว่าใครที่ได้สบตากับเขาต่างก้มหน้างุดทันที
“ตึกตึก” เสียงไม้เท้าเคาะลงบนพื้นหิน ไม่เร็วไม่ช้า กลับเป็ดั่งาาแห่งผืนป่าค่อยๆ เยื้องย่างเยี่ยมชมอาณาบริเวณของตนก็ไม่ปาน แลดูน่าเกรงขาม...
“ท่านลุงลู่ จะอนุญาตให้ผู้น้อยแซ่เฝิงผู้นี้ปักธูปบูชาได้หรือไม่?”
บิดาลู่จ้องป้ายิญญานิ่งไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ครั้นได้ยินประโยคนี้ ก็พยักหน้าเบาๆ ผู้เฒ่าหยางจึงรีบจุดธูปสามดอกและส่งให้เ้านายของตน เฝิงเจี่ยนโค้งคารวะอย่างจริงจัง จากนั้นจึงส่งธูปให้ผู้เฒ่าหยางนำไปปักในกระถาง
ตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่าเฝิงเจี่ยนจะหมุนกายกลับเข้าห้องไปนั้น เขากลับเดินไปข้างกายลู่เสี่ยวหมี่
คนอื่นๆ ในหมู่บ้านหลีกทางให้เขาอย่างรู้หน้าที่
เฝิงเจี่ยนก้มหน้าลงมองลู่เสี่ยวหมี่ นางกำลังก้มหน้า ลำคอขาวนวลโผล่พ้นเส้นผมและคอเสื้อออกมาให้เห็น ต่างจากยามปกติที่เฉลียวฉลาดว่องไว กลับคล้ายสัตว์ตัวน้อยๆ ที่กำลังาเ็แต่ก็อดทนฝืนสู้ ยิ่งขับให้นางดูบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เขาก็รู้สึกใจอ่อนยวบ ยื่นมือไปปลดเสื้อคลุมที่ผูกอยู่ออกมาเตรียมจะคลุมให้นางแทน
ลู่เสี่ยวหมี่กำลังใจลอย นางไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคือภาพหลอนจากอาการวิงเวียนศีรษะและลมหนาวที่พัดมาทำให้นางเหมือนจะไม่สบายหรือไม่ เมื่อครู่ราวกับว่าในสมองจะมีความทรงจำบางอย่างซ้อนทับขึ้นมา แต่นางคว้าไว้ไม่ทัน เพียงแวบขึ้นมาแล้วก็หายไป
แต่ความทรงจำนี้กลับวนเวียนติดอยู่ในใจนางจะอย่างไรก็ไม่ยอมหายไป
เป็ความรู้สึกทั้งหนาวเหน็บและสิ้นหวัง ต่อให้ในชาติก่อนนางจะเคยถูกทอดทิ้งมาแต่เด็กก็ยังไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน ลู่เสี่ยวหมี่ตัวจริงเคยประสบพบเจออะไรมากันแน่ แล้วนางลืมเลือนสิ่งใดไป...
จู่ๆ เสื้อคลุมที่ยังคงมีไออุ่นก็ทาบทับลงมา บดบังลมหนาวที่กำลังถาโถมเข้าใส่ ช่วยดึงหัวใจที่กำลังจ่อมจมลงสู่ธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บให้กลับขึ้นมา
นางเงยหน้าขึ้นมองทันที ดวงตาสีนิลคู่นั้นของเฝิงเจี่ยนยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม แต่นางกลับเห็นบางอย่างที่แปลกออกไปจากยามปกติแฝงอยู่ในนั้น...
ลมหนาวพัดเอาเถ้าจากกระดาษที่เผาแล้วให้หมุนขึ้นล่องลอยไปทั่วฟ้า ภายใต้ฟากฟ้านั้น เรือนหลังน้อยนั้น บางทีอาจเพราะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทอง หรืออาจเพราะเหตุผลอื่น จึงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมาทีละน้อย
ดังคำกล่าวที่ว่า ฤดูหนาวมาแล้ว ฤดูใบไม้ผลิยังจะห่างไกลอีกหรือ?
เมื่อเผากระดาษเสร็จแล้วคนในหมู่บ้านก็พากันทยอยไปปักธูป จนเมื่อครบทุกคนแล้ว พิธีเซ่นไหว้จึงจบลง
ลู่เสี่ยวหมี่ฝืนลุกขึ้นยืน นวดเข่าที่เป็เหน็บชาเบาๆ จากนั้นก็เริ่มแบ่งของไหว้ให้กับทุกคน
หัวหมู หัวแพะและไก่หนึ่งตัวนั้นถูกส่งไปที่ห้องครัว ใส่หม้อและเริ่มตุ๋น เมื่อตุ๋นจนสุกแล้วก็หั่นเป็ชิ้นๆ เป็อาหารจานหลักในวันนี้
ส่วนผลไม้และของกินเล่นทั้งหลายก็แจกจ่ายให้กับคนในหมู่บ้าน หมั่นโถวที่แต้มจุดแดงนั้นเป็ของสำคัญอย่างยิ่ง
คนโบราณมีธรรมเนียมสืบต่อกันมาว่า หมั่นโถวที่เป็ของไหว้ ให้เด็กๆ กินแล้วจะดี ช่วยปัดเป่าสิ่งที่น่าใได้ หรืออีกนัยก็คือจะช่วยปกป้องจากสิ่งรบกวนที่มองไม่เห็น
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่รู้ว่าเป็เื่จริงหรือไม่ แต่นางก็ไม่ได้ตระหนี่ถึงขั้นจะแบ่งหมั่นโถวให้ไม่ได้ นางจึงแบ่งให้เด็กเล็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านได้คนละลูกพอดี
มารดาของเด็กๆ ต่างพากันดีใจ เอ่ยคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วตั้งอกตั้งใจช่วยจัดเตรียมโต๊ะอาหารมากขึ้นสามส่วน
โต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้ทั้งสิ้นสี่แห่งคือในเรือนหลักหนึ่งโต๊ะ โถงหลักหนึ่งโต๊ะ เรือนพักฝั่งตะวันออกหนึ่งโต๊ะ เรือนพักฝั่งตะวันตกหนึ่งโต๊ะ ที่เรือนหลังลู่เสี่ยวหมี่ตั้งโต๊ะอีกสองโต๊ะ ที่ห้องครัวอีกหนึ่งโต๊ะ ก็นับว่าพอจะจัดแจงให้ทุกคนมีที่ทางรับประทานอาหารได้
เงินยี่สิบตำลึงที่ได้มาจากการขายถังหูลู่ ลู่เสี่ยวหมี่นำออกมาใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร บวกกับเงินที่ไม่ต้องจ่ายค่าทำกระดาษเงินกระดาษทองสองตำลึงนั้น จึงทำให้มีอาหารขึ้นโต๊ะอย่างอุดมสมบูรณ์
ข้าวสวยสีขาวราวหิมะ เนื้อหมูชิ้นใหญ่ บวกกับน้ำแกงไก่ตุ๋นเห็ดหอม เนื้อแพะผัดพริก ผักกาดขาวผัดเห็ดหูหนู ต้มกระดูกหมูใส่เต้าหู้ ผักดองผัดหมูสามชั้น...
ยังมีสุราฤทธิ์แรงอีกหลายไห เมื่อดื่มลงไป ความแสบร้อนจากกระเพาะวาบขึ้นมาถึงลำคอ พรานหนุ่มที่คออ่อนสักหน่อย กินเพียงชามเดียวก็ถึงกับเมาจนหมดสภาพ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้